เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
พระคริสต์แห่งไม้กางเขน THE CHRIST OF THE CROSS โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเช้าวันของพระเป็นเจ้าที่ 20 เดือนตุลาคม ค.ศ. 2013 ณ “ยิ่งกว่านี้ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่านคำนึงถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าเคยประกาศแก่ท่านทั้งหลาย ซึ่งท่านได้ยอมรับไว้ อันเป็นฐานซึ่งท่านทั้งหลายตั้งมั่นอยู่ และซึ่งทำให้ท่านรอดด้วย ถ้าท่านยึดหลักคำสอนที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไว้แก่ท่านทั้งหลายนั้น เว้นเสียแต่ท่านได้เชื่ออย่างไร้ประโยชน์ เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายก่อน คือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์” (1 โครินธ์ 1:15-1-3) |
นี้เป็นหลักคำสอนที่ชัดเจนและรัดกุมที่อัครทูตเปาโลพูดถึงพระกิตติคุณของคริสเตียน คำว่ากิตติคุณนั้นหมายถึง "ข่าวดี" เปาโลบอกคริสตจักรโครินธ์ว่าเขาได้เทศนาถึงข่าวดีแห่งพระกิตติคุณนี้ เขากล่าวว่าพวกเขาจะได้รับความรอดโดยพระกิตติคุณนี้ก็ต่อเมื่อพวกเขากลับใจใหม่ "เว้นเสียแต่ท่านได้เชื่ออย่างไร้ประโยชน์" (1 โครินธ์ 15:2 ) จากนั้นเขากล่าวย้ำถึงข่าวดีอีกครั้งหนึ่ง ในพระกิตติคุณนั้นจะมีหลักสำคัญอยู่ด้วยกันสามประการ: (1) "พระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเราตามที่ปรกฏในพระคัมภีร์" (2) "และพระองค์ถูกฝังอยู่" (3) "และในวันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย" นั่นคือพระกิตติคุณ และนั่นคือข่าวดีที่นักเทศน์ที่แท้จริงได้ประกาศในหลายยุคหลายสมัยที่ผ่านมา ตอนที่ผมได้รับการสถาปนาให้เป็นศาสนาจารย์ ในใบรับรองนั้นมีใจความว่า "พันธกิจแห่งพระกิตติคุณ" นั่นหมายความว่าผมได้รับการแต่งตั้งให้ทำการประกาศข่าวประเสริฐ สิ่งสำคัญที่ผมจะต้องทำใน "พันธกิจแห่งพระกิตติคุณ" คือการประกาศข่าวดีของการสิ้นพระชนม์ การฝังพระศพ และการฟื้นคืนชีพของพระคริสต์ นั่นคือสิ่งที่ผู้รับใช้ทุกคนถูกเรียกให้เข้ามาทำ ถูกสถาปนาและจะต้องทำ และเปาโลยังกล่าวว่า "ข้าพเจ้าขอให้ท่านคำนึงถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าเคยประกาศแก่ท่านทั้งหลาย" (1 โครินธ์ 15:1 ) แต่ผมต้องบอกว่ามีหลายสิ่งหลายอย่างที่เกี่ยวกับการถูกเรียกให้มาประกาศข่าวประเสริฐ I. ประการแรก พวกแรกคือผู้ที่เทศนาเกี่ยวกับเรื่องของการเมือง การเทศนาของพวกเขาตั้งอยู่บนพื้นฐานของเรื่องการเมือง นักเทศน์เช่นนี้ไม่ค่อยเน้นเรื่องของความรอด เพราะพวกเขาไม่คิดว่านั่นเป็นสิ่งที่จำเป็น พวกเขาเป็นเพียงคนที่บ้าการเมือง หลายปีที่ผ่านมาในคริสตจักรจีนที่ครั้งหนึ่งผมเคยไปเป็นสมาชิก มีชายหนุ่มคนหนึ่งคิดว่า ดร. หลิน ควรเทศนาต่อต้านสงครามเวียดนาม ในที่สุดเขาก็หนีออกจากคริสตจักรพร้อมกับพาพวกอนุชนบางคนไปกับเขา พวกเขาได้ไปเข้าร่วมคริสจักรที่เรียกว่า เซนต์สอีพิสโคปอล์ ใน พาซาดีนา อยู่แถวชานเมืองของนคร ลอสแอนเจลิส พวกเขาพิจารณคริสตจักรนี้เป็นพิเศษ เพราะศิษยาภิบาลที่ชื่อ จอร์จ รีกาส เทศนาเกือบทุกวันอาทิตย์ต่อต้านสงครามในเวียดนาม และรวมถึงเรื่องอื่นๆที่เกียวข้องกับเรื่องการเมือง แต่หลังจากนั้นไม่นานคนที่หนีจากคริสตจักรของเราไปเข้าร่วมที่นั่นจะไม่พูดเรื่องอื่นๆ ยกเว้นแต่เรื่องของการเมือง ในที่สุดพวกเขาทั้งหมดก็หนีออกจากคริสตจักรนี้ไปอีก และเดินกลับไปสู่ทางโลก ตามที่ผมรู้ไม่มีใครสักของคนกลุ่มนี้ที่ยังไปโบสถ์อยู่ นั่นคือกลุ่มคนที่ได้ฉายาว่าคณะ "ยึดติดกฏเกณฑ์" การเทศนาที่เน้นหนักแต่เรื่องทางการเมืองไม่อาจรั้งคนให้ติดกับคริสตจักร ตรงกันข้ามพวกเขากลับทำให้คนนับเป็นหมื่นเป็นล้านหนีออกจากคริสตจักรไปเพียงแค่ในช่วงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นเพราะว่าการเทศนาของพวกเขาที่มีแต่เรื่องการเมืองและความกังวลในทางสังคม จากนั้นคือพวกที่เทศนาเน้นหนักไปในทางจิตวิทยา ตัวอย่างของนักเทศน์ที่เทศนาสอนให้ช่วยเหลือตัวเองเช่นนี้คือ โรเบิร์ต ชูลเลอร์และโจเอล ออสติน การเทศนของพวกเขาอาจวกเข้ามาที่ข้อพระคัมภีร์เป็นบางครั้ง แต่ส่วนมากคำเทศนาของพวกเขาจะไม่ไช้พระคัมภีร์เป็นศูนย์กลาง การเทศน์เช่นนี้ก็ไม่ต่างอะไรไปกับนักจัดรายการทีวีอย่าง โอปราฮ์ วินเฟรย์ และดร ดริว คนที่เทศน์เช่นนี้เนื้อหาหลักของพวกเขาคือการประสบความสำเร็จ เมื่อวันอังคารที่ผ่านมาผมได้พูดกับพยาบาลที่เป็นโรมันคาทอลิคและเข้าร่วมพิธีมิสซาในทุกวันอาทิตย์และก็ชอบดู โจเอล ออสติน บนหน้าจอโทรทัศน์ เธอเป็นพยาบาลและเป็นคนฟิลิปปินส์ ทำงานในโรงพยาบาลที่ผมเคยไปรักษาตอนเป็นไข้เล็ก ๆ น้อย ๆ ในขณะที่ผมมองเธอ ๆ มักจะทำหน้าอึมครึม แม้ว่าผมพยายามเล่าเรื่องตลกก็ไม่สามารถทำให้เธอยิ้ม สุดท้ายผมก็ถามเธอว่านับถือศาศนาอะไร เธอบอกผมว่าเธอไปที่มิสซาและดู ออสติน เทศนาทุกวันอาทิตย์เพราะเขาสอนเธอว่าจะมีความสุขได้อย่างไร! นักเทศน์เช่นนี้อาจทำให้คนมีความรู้สึกที่ดี แต่ผลดีต่อชีวิตส่วนตัวนั้นน้อยมาก เพราะคำสอนเช่นนี้ไม่เกี่ยวข้องใดๆกับความรอดในฝ่ายจิตวิญญาณนิรันดร์ของพวกเขาเลย! ประการที่สาม คือผู้ที่เทศนาแบบอธิบายพระคัมภีร์ข้อต่อข้อ ในพระคัมภีร์นั้นจะมีหัวข้อหรือเนื้อหาที่หลากหลาย ดังนั้นคนที่เทศน์แบบนี้จะกระโดดไปรอบๆจากความคิดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง นักเทศน์เช่นนี้ส่วนมากจะอยู่ในพวกอนุรักษ์นิยม แต่ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย ดูเหมือนว่าจะมีความคิดที่หลากหลายแต่การทำเช่นนี้ไม่สามารถเปลี่ยนชีวิตคนได้ ผู้รับใช้ร่วมงานของผมที่ชื่อ ดร. คาเกน เคยเข้าร่วมคริสตจักรของ ดร. จอห์น แมคอาร์เทอร์ มาเป็นเวลาหลายเดือนก่อนที่ท่านจะกลับใจใหม่ ดร. อาร์เทอร์ เทศนาอธิบายพระคัมภีร์ได้น่าสนใจ แต่สำหรับ ดร. คาเกน แล้วไม่เคยได้รับแรงจูงใจจากคำเทศนาเหล่านั้นให้แสวงหาความรอด เขาจึงมาและจากคริสตจักรไปอย่างคนที่ยังไม่รอด แม้ว่าเขาจะมีใจที่เสาะแสวงหาอยากเป็นคริสเตียน การเทศนาแบบอธิบายจากข้อหนึ่งไปยังอีกข้อหนึ่งเป็นวิธีการเทศนาที่ไม่ต่างอะไรจากการนำศึกษาพระคัมภีร์ เรียกพวกนี้ว่า เซนดีเมเนียนนิยม สมาชิกคริสตจักรของคนกลุ่มนี้จะเป็นคริสเตียนที่เติบโตแบบเย็นชา แต่ยังอวดว่าตนฉลาดเหมือนอย่างพวกฟาริสี กลุ่มสุดท้ายคือผู้ที่ให้ความสนใจแต่เรื่อง "การนมัสการ" ระบบแบบนี้จะบิดเบือนและแปลกประหลาดมากๆ ผมและเพื่อนที่เป็นศิษยาได้ไปเห็นกับตาถึงการ "นมัสการ" แบบนี้ ตอนนมัสการคนที่นั่นจะส่งเสียงร้องคำรามอย่างสิงโตให้กันและกัน ในขณะเดียวกันบางคนก็ร้องตะโกนและนอนลงไปกลิ้งอยู่บนพื้นยังกะว่าถูกผีเข้า ยังมีการนมัสการในอีกแบบหนึ่งที่ผมภรรยาและลูกเคยไปร่วม พวกเขายังมีการบูชารูปเคารพบางคนก็หัวเราะและหมอบตัวลงไปนอนบนพื้น ในเวลานั้นพวกเรารู้สึกราวกับว่ากำลังอยู่ในโรงพยาบาลบ้า! ยังมีอีกแห่งหนึ่งอยู่ที่วิทยาลัยคริสเตียน ผมเห็นสาว ๆ เต้นเหมือนหญิงแพศยาและเหมือนควันสีแดงที่ถูกเทออกมาจากเครื่องจักร และเพลงก็เปิดดังสนั่นหวั่นไหว ในอีกที่หนึ่ง "การนมัสการ" จะมีสีสันน้อยมากแต่กลับร้องเพลงนานเป็นชั่วโมง ร้องเพลงซ้ำแล้วซ้ำอีกจนดูเหมือนว่าคนเหล่านั้นถูกสะกดจิตไปหมด การนมัสการที่ได้เล่ามานี้จะเหลือเวลาน้อยมากให้กับการเทศนาซึ่งเป็นหัวใจสำคัญ คริสตจักรเหล่านี้มีการพูดถึงพระคริสต์น้อยมาก! และ "พระคริส" ที่ถูกพูดที่คริสตจักรที่มีการนมัสการเช่นนี้ไม่ไช่พระคริสต์ที่แท้จริง วัตถุประสงค์ของพระกิตติคุณที่กล่าวถึงพระเยซูนั้นคือกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในความรู้สึกส่วนตัวของคนๆนั้น ในหนังสือของเขาชื่อ ศาสนาคริสต์ที่ไร้พระคริสต์ หรือ Christless Christianity ดร. ไมเคิล ฮอร์ตัน กล่าวว่า ถึงแม้ว่าเราจะพูดถึงความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าผ่านทางพระเยซูคริสต์มากเท่าไหร่ก็ตาม นั่นไม่ได้หมายความว่าความสัมพันธ์นั้นจะมากขึ้นและเป็นจริงตามนั้น ยกเว้นกับตัวเอง... จริงๆแล้วพระเยซูต้องกลายมาเป็นส่วนหนึ่งในตัวของตัวเรา (Michael Horton, Ph.D., Baker Books, 2008, p. 43) ผมได้พบชายหนุ่มคนหนึ่งเมื่อเร็ว ๆ นี้ บอกผมว่า "ผมไม่จำเป็นต้องมีพระคัมภีร์หรือไปคริสตจักร การที่ผมมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระคริสต์นั่นคือทั้งหมดที่ผมต้องการ" นักเทศน์ในสมัยนี้กำลังผลิตผู้เชื่อเช่นชายคนนี้ ที่เชื่อว่าความคิดและความรู้สึกของตัวเองนั้นคือพระคริสต์ ยังมีพระเยซูอีกองค์หนึ่ง! และเป็นพระคริสต์ที่เทียมเท็จ! นี่ไม่ไช่ความจริงเกี่ยวกับพระกิตติคุณที่อาจารย์เปาโลกล่าวเอาไว้ในพระธรรมของเรา! ชนิดความคิดที่ผิดๆเช่นนี้มาจากผู้รับใช้บางคนที่พูดมากจนเกินไปและไม่ได้เป็นไปตามในพระกิตติคุณ อัครทูตเปาโลกล่าวถึงคนเช่นนี้เอาไว้ว่า "เพราะว่าถ้าคนใดจะมาเทศนาสั่งสอนถึงพระเยซูอีกองค์หนึ่ง" (II โครินธ์ 11:4) การเทศนาทั้งหมดที่ผมได้พูดผ่านมานี้ไม่ใช้ "พระกิตติคุณ" เป็นจุดศูนย์กลาง เปาโลกล่าวว่า “เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายก่อน คือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์” (I โครินธ์ 15:3) นั่นคือพระกิตติคุณ! II. ประการที่สอง รูปแบบการเทศนาที่ผมได้กล่าวมานี้พระคริสต์ไม่ใช่จุดศูนย์กลาง - ไม่ใช่จุดที่สำคัญ – และไม่ใช่รากฐานของศาสนาคริสต์ ดร. ดับบลิว เอ คริสเวลล์ กล่าวว่า ถ้าเอาการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ออกจากคำเทศนาแล้ว...และคำเทศนานั้นก็ไม่มีอะไรเหลืออีก เพราะนักเทศน์คนนั้นไม่มี "ข่าวดี" แห่งการให้อภัยบาปของเรา...ซึ่งถ้าเช่นนี้...คริสเตียนนี้ยังดำเนินตามพันธสัญญาใหม่อยู่หรือไม่? ศาสนาคริสต์คือการเขน (W. A. Criswell, Ph.D., In Defense of the Faith, Zondervan Publishing House, 1967, p. 67) อาจารย์เปาโลกล่าวว่า “แต่พระเจ้าไม่ทรงโปรดให้ข้าพเจ้าอวดตัวนอกจากเรื่องกางเขนของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ซึ่งโดยกางเขนนั้นโลกตรึงไว้แล้วจากข้าพเจ้า และข้าพเจ้าก็ตรึงไว้แล้วจากโลก” (กาลาเทีย 6:14) "พระคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา" นั่นคือคำสอนหลักของเปาโล ความจริงแล้วท่านกล่าวให้กับคริสตจักรที่โครินธ์ว่า "ข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใด ๆ ในหมู่พวกท่านเลยเว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน" (1 โครินธ์ 2:2) ถ้าเป็นคริสเตียนตามในพระคัมภีร์ต้องเป็นคริสเตียนแห่งกางเขน สเปอร์เจียน "ราชาแห่งนักเทศน์" กล่าวว่า "หัวใจสำคัญของพระกิตติคุณคือการทรงไถ่และสาระสำคัญของการไถ่นั้นคือการเสียสละสิ้นพระชนม์แทนบนไม้กางเขน" ทุกวันนี้มีคริสตจักรจำนวนมากมายใช้นกพิราบเป็นสัญลักษณ์แทนความเชื่อของพวกเขา กับผมแล้วคิดว่ามันผิด นกพิราบเป็นตัวแทนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ใช่จุดศูนย์กลางในตรีเอกานุภาพตามที่กล่าวไว้ในพระกิตติคุณ ในพระธรรมยอห์นบทที่สิบหก พระเยซูตรัสถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่า "เพราะพระองค์จะไม่ตรัสโดยพระองค์เอง" (ยอห์น 16:13) พระเยซูตรัสอีกครั้งว่า "พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ" (ยอห์น 16:14) การงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้มุ่งตรงไปที่ตัวเอง แต่จะนำพระเกียรติแด่พระเยซูคริสต์ ดังนั้นคริสตจักรที่มุ่งเน้นไปที่พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่ไช่คริสตจักรที่ดำเนินตามพระคัมภีร์ใหม่อย่างแท้จริง อัครทูตเปาโลกล่าวว่าพระคริสต์จะต้องอยู่ในระดับที่สุงสุดในการทำพันธกิจทั้งหมดและการเทศนาของเรา ท่านกล่าวถึงพระคริสต์ว่า “…เป็นศีรษะของกายคือคริสตจักร พระองค์ทรงเป็นที่เริ่มต้น เป็นบุตรหัวปีที่ทรงเป็นขึ้นมาจากความตาย: เพื่อพระองค์จะได้ทรงเป็นเอกในสรรพสิ่งทั้งปวง ด้วยว่าเป็นที่ชอบพระทัยพระบิดาที่จะให้ความบริบูรณ์ทั้งสิ้นมีอยู่ในพระองค์…พระองค์ทรงทำให้มีสันติภาพโดยพระโลหิตแห่งกางเขนของพระองค์” (โคโลสี 1:18-20) เราได้รับการอภัยบาปและมีสันติสุขกับพระเจ้า "ผ่านทางโลหิตที่กางเขนของพระองค์" - และผ่านทางพระโลหิตของพระคริสต์ที่กางเขนเท่านั้น! คุณเข้ามาที่พระเยซูเพื่อฤทธิ์อำนาจจะชำระคุณให้สะอาดหรือไม่? โอ้! โลหิตอันมีค่าไหลลงมา “เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายก่อน คือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย…(I โครินธ์ 15:3) ดร. คริสเวลล์ กล่าวว่า เขาหมายถึงอะไรกับคำว่า "เหนือสิ่งอื่นใด"? การอ้างอิงของเขาไม่ได้ให้ความสำคัญมากกับเวลา...หลักคำสอนนั้นคือกล่าวถึงการชำระบาปของเราด้วยการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ [แทนที่ของคนบาป] นั่นคือกุญแจสำคัญของพระคุณ และหัวใจสำคัญของพระกิตติคุณ...ทุกหลักคำสอนในพระคัมภีร์ต่างก็มุ่งไปที่กางเขน III. ประการที่สาม ชาวมุสลิมก็เชื่อในพระเยซู – แต่อยู่ในความรู้สึก พวกเขาเรียกพระองค์ว่า "อีซา" แม้แต่ในคัมภีร์อัลกุรอาน ก็กล่าวว่า พระองค์เกิดมาจากหญิงพรหมจารีย์ และยังกล่าวว่าพระองค์เสด็จกลับสู่สวรรค์ คนโง่บางคนคิดว่าเชี่อแค่นั้นก็เกินพอ แต่หนุ่มสาวหลายร้อยคนในโลกมุสลิมได้หันจากจากพระเยซูที่ชื่อ "อีซา" ของอัลกุรอาน ทุกวันนี้หนุ่มสาวเหล่านั้นส่วนมากจะเปลี่ยนมาเชื่อพระเยซูในพระคัมภีร์มากเป็นประวัติศาสตร์ คนเหล่านี้ต่างก็ต้องเผชิญกับการกดขี่ขมเหงเพราะเข้ามาไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ ทำไมพวกเขาถึงถูกทรมาณเพียงเพราะเข้ามาไว้วางใจในพระเยซูใช่หรือไม่? ผมจะบอกคุณว่าทำไม! คัมภีร์อัลกุรอานบอกว่าพระองค์ไม่ได้สิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนเพื่อชำระบาปของเรา – นั่นถึงว่าทำไม! คัมภีร์อัลกุรอานถึงไม่บอกพวกเขาว่าจะได้รับการอภัยบาปได้อย่างไร เพียงบอกให้พวกเขาทำดี และปฏิบัติตามกฎต่างๆ แต่ก็ไม่บอกว่าจะรับการอภัยบาปได้อย่างไรในฐานะลูกของพระเจ้า อัลกุรอานไม่อาจบอกพวกเขา เพราะอัลกุรอานได้ปฏิเสธการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนของพระเยซู! พวกที่กลับใจยอมถูกข่มเหงเพราะเชื่อว่าพระเยซูของเราเท่านั้นสามารถประทานสันติสุขของพระเจ้ามาให้พวกเขาได้ "พระองค์ทรงทำให้มีสันติภาพโดยพระโลหิตแห่งกางเขนของพระองค์" ( โคโลสี 1:20 ) คุณจะยอมผ่านการกดขี่ขมเหงเพราะเชื่อในพระคริสต์แห่งกางเขนนั้นหรือไม่? คุณกล้าที่จะเสี่ยงชีวิตเพื่อเสาะหาสันติภาพกับพระเจ้า "ผ่านทางพระโลหิต [ที่] กางเขนนั้นหรือไม่"? พวกเขาก็ทำ พวกเขาทำทุกๆวัน คุณจะยอมผ่านไฟแห่งความเกลียดชังของชาวมุสลิมเพื่อเสาะหาการให้อภัยบาปโดยโลหิตของพระคริสต์ที่หลั่งลงมาจากไม้กางเขนเพื่อให้คุณรอดหรือไม่? พวกเขาก็ทำ พวกเขาทำทุกๆวันด้วย ในนิตยสารของศิษยาภิบาลท่านหนึ่งที่ชื่อ วูลม์เบรมด์ เมื่อหลายปีมานี้ ผมเห็นใบหน้าของหญิงสาวชาวมุสลิมในประเทศอินโดนีเซีย พวกมุสลิมโยนน้ำกรดใส่ไปที่ใบหน้าของเธอเพราะการที่เธอมาวางใจพระเยซู ทำให้ใบหน้าของเธอตอนนี้ดูน่าเกลียดเหนือคำบรรยาย แต่เธอก็สามารถยิ้มได้ พวกเขาบอกว่าเธอยิ้มตลอดเวลา เธอรู้สึกว่ามันคุ้มค่ามากต่อการสูญเสียใบหน้าของเธอและเข้ามารับกางเขนของพระคริสต์! ทำไม? เพราะว่า “เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายก่อน คือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย… (I โครินธ์ 15:3) บาปของฉัน - โอ้ความสุขแห่งความคิดอันรุ่งโรจน์นี้ ใช่พระคริสต์เสด็จกลับสู่สวรรค์ แต่อัลกุรอานกล่าวว่า! พระเยซูกลับขึ้นสู่สวรรค์โดยไม่มีเรื่องของไม้กางเขน - คุณไม่อาจรับความรอด ถ้าคุณไม่มีการเขน! เพราะบนไม้กางเขนนั้นพระเยซูทรงชำระค่าบาปของคุณ หากไม่มีไม้กางเขนก็จะไม่มีการชำระบาปและไม่มีสันติภาพกับพระเจ้า พระคริสต์แห่งไม้กางเขนเท่านั้นที่สามารถช่วยให้คุณรอดพ้นจากบาปได้! พระโลหิตของพระคริสต์ที่กางเขนเท่านั้นที่สามารถชำระบาปของคุณทั้งหมด ใช่แล้ว “พระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย” ธรรมิกชนผู้ยอมเสียชีวิตเพราะความเชื่อต่างก็กล่าวด้วยเสียงอันเดียวกันว่า "ฉันจะให้ชีวิตของฉันให้กับพระคริสต์แห่งกางเขนนั้น! ฉันจะให้มือและเท้าของฉันให้กับพระคริสต์แห่งกางเขนนั้น! ฉันจะให้ร่างกายของฉันให้สัตว์ป่าร้ายเหล่านั้นเพราะห์นแก่พระคริสต์แห่งกางเขนนั้น! ชีวิตทั้งชีวิตฉันจะให้กับพระคริสต์แห่งกางเขนนั้น" พวกเขาถูกดัดด้วยเหล็กจากคนชั่ว พวกเขากล่าวว่ามันก็คุ้มค่ามากเพราะความผิดบาปของพวกเขาได้รับการให้อภัยและชำระล้างโดยพระโลหิตของพระคริสต์ที่กางเขน คุณจะรับพระคริสต์หรือไม่? คุณจะวางใจในพระองค์ในตอนเช้านี้เลยหรือไม่? คุณพร้อมที่จะพูดกับ ดร. วัตต์ ว่า "พระองค์เจ้าข้า ข้าฯถวายตัวข้าพระองค์เองแด่พระองค์" คุณจะพูดว่า "ฉันพร้อมที่จะให้ตัวเองให้กับพระคริสต์แห่งกางเขน คือพระองค์ผู้ทรงชำระฉันออกจากบาป" กรุณาลุกออกจากที่นั่งของคุณเดินออกไปข้างหลังของห้องนมัสการในเวลานี้ ดร. คาเกน จะพาพวกคุณไปยังห้องอธิษฐานเพื่อพูดคุย ดร. ชาน กรุณานำเราอธิษฐานเผื่อคนที่ตอบสนองรับเอาพระเยซูในค่ำคืนนี้ด้วย อาเมน! (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย อาเบล พลูโฮมมี: 1 โครินธ์ 15:1-4. |
โครงร่างของ พระคริสต์แห่งไม้กางเขน โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “ยิ่งกว่านี้ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่านคำนึงถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าเคยประกาศแก่ท่านทั้งหลาย ซึ่งท่านได้ยอมรับไว้ อันเป็นฐานซึ่งท่านทั้งหลายตั้งมั่นอยู่ และซึ่งทำให้ท่านรอดด้วย ถ้าท่านยึดหลักคำสอนที่ข้าพเจ้าได้ประกาศไว้แก่ท่านทั้งหลายนั้น เว้นเสียแต่ท่านได้เชื่ออย่างไร้ประโยชน์ เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายก่อน คือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์” (1 โครินธ์ 1:15-1-3) I. ประการแรก II. ประการที่สอง จุดศูนย์กลางของพระกิตติคุณคือไม้กางเขนของพระคริสต์ III. ประการที่สาม พระคริสต์แห่งกางเขนนั้นช่วยเหลือเราให้พ้นจากบาปของเรา |