เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
กางหลงผิดของมนุษย์THE FALL OF MAN โดย ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์ |
พระธรรมปฐมกาลถือว่าเป็นเป็นเหมือน “ต้นกำเนิด” ของพระคัมภีร์ สิ่งหนึ่งที่สำคัญของปฐมกาลคือตอบคำถามว่าสิ่งที่คนในสมัยนี้เชื่อกันนั้นล้วนแต่เป็นเรื่องโกโหก ซี เอส ลุยส์ ก่อนท่านจะเสียชีวิตนั้นได้กล่าวว่า หลักการวิวัฒนาการดิวลนิยมว่า “ล้วนแต่โกโหก” ให้คนสมัยนี้เท่านั้น การโกหกของวิวัฒนาการของดาร์วินถูกหักล้างโดยปฐมกาลในสองประการดังต่อไปนี้ ประการแรกเราได้รับการบอกเล่าซ้ำ ๆ ว่าสัตว์และพืชถูกสร้างขึ้นโดยพระเจ้าโดยตรง ประการที่สอง ปฐมกาลบอกเราว่าพืชและสัตว์ทั้งหมดสามารถออกลูก "ตามชนิดของสัตว์เหล่านี้" เท่านั้น สัตว์และพืชสามารถผลิตผลออกลูกตาม "ชนิด" ของมันเท่านั้น นี่เป็นการหักล้างทฤษฎีวิวัฒนาการซึ่งกล่าวได้ว่าการผลิตผลออกลูกของสัตว์สามารถออกเป็น "ชนิดต่างๆ" ได้ หนึ่งในข้อโต้แย้งที่อ่อนแอที่สุดของกลักการวิวัฒนาการก็คือสามารถข้ามพันธุ์หรือ "ชนิด" จากชนิดหนึ่งไปสู่อีก "ชนิด" หนึ่ง คนหนึ่งสามารถพัฒนาไปสู่อีกมุมมองหนึ่งได้ เรื่องนี้ไม่ได้รับการพิสูจน์ ดังนั้นปฐมกาลแสดงให้เห็นว่าหนึ่งในข้อสันนิษฐานพื้นฐานของทฤษฎีวิวัฒนาการเป็นเรื่องโกหกเท่านั้น! เช่นสุนัขไม่สามารถเปลี่ยนเป็นม้าได้ นกอินทรีไม่สามารถกลายเป็นไก่ได้ ไม่มี "กลายพันธุ์" จาก "ชนิด" หนึ่งไปยังอีกชนิด ปฐมกาลแสดงให้เห็นว่าหนึ่งในสมมติฐานพื้นฐานของวิวัฒนาการเป็นเรื่องโกหกสกปรก! ประการที่สองคำโกหกที่มนุษย์มีต้นกำเนิดมาจากสัตว์นั้นถูกปฏิเสธโดยปฐมกาล พ่อแม่คนแรกของเราอาศัยอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สมบูรณ์แบบ ถึงกระนั้นพวกเขาก็กลายเป็นคนบาป และลูกชายคนแรกของพวกเขาคือฆาตกร! ประการที่สาม ความคิดที่ว่าปัญหาของความชั่วร้ายเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจถูกปฏิเสธโดยปฐมกาล สวนเอเดนเป็นที่หนึ่งในที่ๆมารสามารถเข้ามาได้ ซาตานได้เข้าสิงงูที่ล่อลวงเอวาให้กระทำบาป คำว่า "nephilim" ในบทที่หกเป็นผลมาจากการที่ผู้ชายที่มีวิญญาณครอบครองร่วมกับผู้หญิง "ปัญหา" ของความชั่วร้ายคือเรื่องโกหกซึ่งมนุษย์สมัยใหม่แต่งโดยไม่คำนึงถึงความจริงของซาตานและวิญญาณชั่ว ประการที่สี่ ปฐมกาลแสดงให้เห็นว่าทฤษฎีเกี่ยวกับธรณีวิทยายุคใหม่ที่เป็นรูปธรรม (uniformitarian theory) เป็นเรื่องโกหก โลกแสดงให้เห็นถึงหลักฐานมากมายที่ทำให้เกิดน้ำท่วม "สิ่งทั้งปวงยังคงดำเนินต่อไปตั้งแต่เริ่มแรกของการทรงสร้าง" (II เปโตร 3: 4) น้ำท่วมโลกครั้งยิ่งใหญ่ในสมัยโนอาห์ นั้นพวกเขา "ไม่รู้ตัว" นักธรณีวิทยาสมัยใหม่ไม่มีคำอธิบายที่น่าเชื่อถือเกี่ยวกับลักษณะที่ปรากฏในแถบแกรนด์แคนยอนหรือวิธีฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตบนภูเขาสูงที่สุด ดังนั้นปฐมกาลจึงปฏิเสธข้อกล่าวหาของธรณีวิทยาสมัยใหม่ ประการที่ห้าความเลวทรามของมนุษย์ไม่สามารถอธิบายได้อย่างน่าเชื่อถือ และทฤษฎีเกือบทั้งหมดได้รับการพิสูจน์แล้วว่าล้วนเป็นเรื่องโกหก เพราะปฐมกาลแสดงให้เห็นว่าผู้คนตกจากความชอบธรรมดั้งเดิมของพระองค์ลงสู่ความโหดเหี้ยมอันโหดร้ายที่เราเห็นอยู่รอบตัวเราในโลกสมัยใหม่ "พราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป" (โรม 1:21) ดังนั้นทฤษฎีต่างๆของจิตวิทยาสมัยใหม่ได้รับการพิสูจน์ว่าเป็นเรื่องโกหกโดยหนังสือปฐมกาล ตืนนี้เราจะมาศึกษารายละเอียดถึงการโกโหกของคนสมัยใหม่นี้ กรุณาเปิดไปที่ ปฐมกาล 3:1-10. “ในเวลานี้งูนั้นฉลาดหลักแหลมกว่าบรรดาสัตว์ป่าแห่งท้องทุ่งซึ่งพระเยโฮวาห์พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ และมันกล่าวแก่หญิงนั้นว่า “จริงหรือที่พระเจ้าตรัสว่า ‘พวกเจ้าจงอย่ากินผลจากต้นไม้ทุกชนิดในสวนนี้ ละหญิงนั้นจึงกล่าวแก่งูว่า “ผลของต้นไม้ชนิดต่าง ๆ ในสวนนี้พวกเรากินได้ แต่ผลของต้นไม้ต้นหนึ่งซึ่งอยู่ท่ามกลางสวน พระเจ้าตรัสว่า ‘พวกเจ้าจงอย่ากินมัน หรือแตะต้องมัน เกรงว่าพวกเจ้าจะตาย และงูจึงกล่าวแก่หญิงนั้นว่า “พวกเจ้าจะไม่ตายแน่ เพราะว่าพระเจ้าทรงทราบว่า พวกเจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นวันนั้น และพวกเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้าที่รู้ดีรู้ชั่ว และเมื่อหญิงนั้นเห็นว่า ต้นไม้นั้นเหมาะสำหรับเป็นอาหารและมันงามน่าดู และต้นไม้ต้นนั้นเป็นที่น่าปรารถนาเพื่อให้เกิดปัญญา หญิงจึงเก็บผลไม้นั้น และได้กิน และส่งให้สามีของนางด้วย และเขาได้กิน และตาของเขาทั้งสองก็สว่างขึ้น และเขาทั้งสองรู้ว่าเขาเปลือยกายอยู่ และเขาทั้งสองก็เอาใบมะเดื่อมาเย็บรวมกัน และทำเครื่องปกปิดสำหรับตัวเองและในตอนเย็นของวัน เขาทั้งสองได้ยินพระสุรเสียงของพระเยโฮวาห์พระเจ้าเสด็จดำเนินอยู่ในสวน ทั้งอาดัมและภรรยาของเขาซ่อนตัวจากพระพักตร์ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าท่ามกลางต้นไม้ต่าง ๆ ในสวนนั้น และพระเยโฮวาห์พระเจ้าทรงเรียกอาดัมและตรัสแก่เขาว่า เจ้าอยู่ที่ไหน และเขาทูลว่า “ข้าพระองค์ได้ยินพระสุรเสียงของพระองค์ในสวน และข้าพระองค์ก็กลัว เพราะว่าข้าพระองค์เปลือยกายอยู่ และข้าพระองค์ได้ซ่อนตัวเสีย” (ปฐมกาล 3:1-10) อาร์เทอร์ ดับบริว พิงก์ เป็นนักศาสนศาสตร์และนักเขียนหนังสืออรรถธิบายพระคัมภีร์ชาวอังกฤษ พิงก์พูอถูกต้องที่กล่าวว่าปฐมกาลบทที่สามเป็นส่วนสำคัญที่สุดในพระวจนะของพระเจ้าทั้งหมด พิงก์กล่าวว่า เป็น "เมล็ดของพระคัมภีร์" ต่อไปนี้คือรากฐานที่ทำให้หลักคำาสอนเกี่ยวกับความเชื่อของเรามีอยู่มากมาย ที่นี่เราติดตามกลับไปยังแหล่งที่มาของพวกเขาหลายแห่ง แม่น้ำแห่งความจริงเกี่ยวกับระเจ้าที่นี่เริ่มต้นประวัติศาสตร์ของมนุษย์ ... ที่นี่เราจะพบคำอธิบายที่ถูกต้องของพระเจ้าเกี่ยวกับสภาพการล่มสลายและการทำลายล้างในปัจจุบันของเชื้อชาติ [มนุษย์] ที่นี่เราเรียนรู้เกี่ยวผู้ที่ตั้งตัวต่อต้านพระเจ้า... ที่นี่เราทำเครื่องหมายแนวโน้มสากลของธรรมชาติของมนุษย์เพื่อปกปิดความอัปยศทางศีลธรรมของตัวเองโดยอุปกรณ์ของฝีมือของของมนุษย์เอง (Arthur W. Pink, Gleanings in Genesis, Moody Press, 1981 edition, p. 33) บทที่สามบอกเราว่า ซาตานเข้าไปในสวนเอเดนอาศัยอยู่ที่นั่น และพูดผ่านงู เราเห็นว่าซาตานได้พูดกับหญิงคนนี้และเพื่อให้สงสัยในสิ่งที่พระเจ้าตรัสกับอาดัม มันทำให้เธอบิดเบือนพระวจนะที่พระเจ้าประทานให้แก่เธอและบอกว่า "เจ้าจะไม่ตายแน่" ถ้าเจ้ากินผลไม้ที่ต้องห้ามนั้น “ต้นไม้แห่งความรู้ดีและชั่ว" ควรจำไว้ว่าซาตานอยู่แล้วในเวลานี้มันคือจอมหลอกลวง พระคัมภีร์กล่าวไว้ในหนังสือวิวรณ์ “หางพญานาคตวัดดวงดาวมากมายในฟ้าสวรรค์ทิ้งลงมาที่แผ่นดินโลก…” (วิวรณ์ 12:4) ความหมายของข้อนั้นได้ถูกนำออกมาอย่างเห็นได้ชัดในวิวรณ์บทที่ 12:9, “พญานาคใหญ่ซึ่งเป็นงูดึกดำบรรพ์ ที่เขาเรียกกันว่า พญามารและซาตาน ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก พญานาคและพวกทูตของมันก็ถูกผลักทิ้งลงมาในแผ่นดินโลก” (วิวรณ์ 12:9) ดร. เฮนรี่เอ็มมอร์ริสกล่าวว่า พญานาคในที่นี้คือแสดงให้เราเห็นถึงงูในสวนเอเดน (ปฐมกาล 3: 1) ... และเป็นมารตนเดียวกันที่ทดลองพระเยซู [ในถิ่นทุรกันดาร] (Henry M. Morris, Ph.D., The Defender’s Study Bible, World Publishing, 1995, p. 1448; note on Revelation 12:9) ซาตานได้รับการปลดปล่อยหรือถูกขับออกจากสวรรค์เพราะกบฏต่อพระเจ้าและแย่งบัลลังก์ของพระอฃค์ (อิสยาห์ 14: 12-15; เอเสเคียล 28: 13-18) ซาตานถูกเหวี่ยงออกจากสวรรค์ลงสู่โลก “…เจ้าแห่งอำนาจในย่านอากาศ คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในบุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง” (เอเฟซัส 2:2) แต่สิ่งที่เกี่ยวกับทูตสวรรค์ที่ติดตามซาตานร่วมกันกบฏต่อพระเจ้า? วิวรณ์ 12: 9 กล่าวว่า “ผู้ล่อลวงมนุษย์ทั้งโลก พญานาคและพวกทูตของมันก็ถูกผลักทิ้งลงมาในแผ่นดินโลก” (วิวรณ์ 12:9) มีทูตกี่ตนที่กบฏกับซาตาน? มีกี่ตนที่ "โยนออกไปกับมัน" ลงสู่บนแผ่นดินโลก? วิวรณ์ 12: 4 กล่าวว่า “หางพญานาคตวัดดวงดาวมากมายในฟ้าสวรรค์ทิ้งลงมาที่แผ่นดินโลก” (วิวรณ์ 12:4) ดร. มอร์ริสกล่าวว่า มีดวงดาวถึงบ่งบอกว่านั่นเป็นทูตสวรรค์ของซาตานใน วิวรณ์ 12:9 (Morris, ibid., p. 1447) ดังนั้นเราเชื่อว่าหนึ่งในสามของทูตสวรรค์ร่วมกบฎกับซาตานผู้นำของพวกเขา และถูกขับออกมาบนโลก กลายเป็นวิญญาณชั่วที่พระเยซูมักเผชิญตลอกการทำพันธกิจของพระองค์ในโลกนี้ ซาตานได้โกหกทูตสวรรค์เหล่านี้ อย่าได้สงสัยเลยว่าทำไมเขาได้ใช้วิธีแบบเดียวกันกับอาดัมและเอวาในสวนเอเดนเมื่อมันกล่าวว่า "เจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า" (ปฐมกาล 3: 5) "มากับเราและเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า" พวกเขาก็เชื่อคำโกหกของมาร สุดท้ายพวกเขาไม่ได้ "เป็นเหมือนพระเจ้า" โอ้ไม่! กลายเป็นวิญญาณชั่วที่ไม่สะอาดมสัญจรไปทั่วโลกด้วยความโกรธความปรารถนาและความโกรธ! และเช่นเดียวกับซาตานโกหกทูตสวรรค์โดยการล่อลวงให้พวกเขาทำบาปต่อพระเจ้าดังนั้นพระองค์จึงทรงกระทำอีกเมื่อโกหกมนุษย์ ความคิดเช่นเดียวกันที่เขาล่อลวงทูตสวรรค์เหล่านั้นด้วยซึ่งทำลายพวกเขามีความคล้ายคลึงกับความคิดที่ผิดพลาดที่เขาใช้ในการล่อลวงอาดัมและเอวาในสวนเอเดน ฟังปฐมกาล 3: 4-5, “และงูจึงกล่าวแก่หญิงนั้นว่า “พวกเจ้าจะไม่ตายแน่เพราะว่าพระเจ้าทรงทราบว่า พวกเจ้ากินผลไม้นั้นวันใด ตาของพวกเจ้าจะสว่างขึ้นวันนั้น และพวกเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้าที่รู้ดีรู้ชั่ว” (ปฐมกาล 3:4-5) ซาตานมักใช้ข้อโต้แย้งที่คล้ายคลึงกันการโกหกที่คล้ายคลึงกันเพื่อนำเอาหนึ่งในสามของทูตสวรรค์ตกจากฐานะการเป็นทูต เพราะนั่นตำแหน่งอันสูงส่งของพวกเขาในสวรรค์ และตอนนี้เขานำเรื่องโกหก และการบิดเบือนพระวจนะของพระเจ้าแก่บรรพบุรุษแรกแรกของเรา และเช่นเดียวกับพวกทูตสวรรค์ บรรพบุรุษของเราพ่อแม่ของเราในสวนก็เชื่อการโกหกของมาร และได้กลายเป็นที่ถึงวาระอย่างที่เทวดาผู้ซึ่งเชื่อในพระบิดาแห่งการมุสาเพราะนั่นคือสิ่งที่พระเยซูคริสต์ได้ทรงเรียกว่าซาตานเมื่อพระองค์ตรัสกับพวกฟาริสีว่า “ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือพญามาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เดิมมา และมิได้ตั้งอยู่ในความจริง เพราะความจริงมิได้อยู่ในมัน เมื่อมันพูดมุสามันก็พูดตามสันดานของมันเอง เพราะมันเป็นผู้มุสา และเป็นพ่อของการมุสา (ยอห์น 8:44) ในข้อนั้นพระเยซูตรัสกับเราสองเรื่องสำคัญเกี่ยวกับซาตาน: (1) "มารเป็นฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรก" และ (2) มารเป็นคนพูดเท็จและบิดาแงการโกโหก" ซาตานโกหกทูตสวรรค์เมื่อมันล่อลวงให้พวกเขาไปติดตามมัน ซาตานโกหกอาดามและเอวาเมื่อมันล่อลวงพวกเขาให้กินผลจากต้นไม้ต้นหนึ่งในสวนซึ่งเป็นที่ต้องห้าม ซาตานเป็น "ฆาตกรตั้งแต่เริ่มแรก" โดยการโกหก มัน "ฆ่า" ทูตสวรรค์ที่ติดตามพระองค์ไป "ทูตสวรรค์ของพระองค์" เพราะพวกเขาถูกขับไล่ออกไปจากสวรรค์สู่แผ่นดินซึ่งพวกเขารอคอยการลงโทษในนรก "เตรียมไว้ให้ มารและสาวกของมาร" (มัทธิว 25:41) "เขาเป็นฆาตกรตั้งแต่แรก" ไม่เพียง แต่เขา "ฆาตกรรม" หนึ่งในสามทูตสวรรค์เท่านั้น นยังฆ่ามนุษย์ด้วยการหลอกลวงและโดยการโกหกข พระเยซูตรัสว่า “ท่านทั้งหลายมาจากพ่อของท่านคือพญามาร และท่านใคร่จะทำตามความปรารถนาของพ่อท่าน มันเป็นฆาตกรตั้งแต่เดิมมา และมิได้ตั้งอยู่ในความจริง เพราะความจริงมิได้อยู่ในมัน…” (ยอห์น 8:44) ซาตานทำลายหนึ่งในสามของทูตสวรรค์ พวกเขาและซาตาน "ฆ่า" เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดโดยการกักขังพวกเขาไว้ในบาปอันยิ่งใหญ่นี้ พวกเขากระทำโดยการต่อต้านพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์และติดตามซาตานเพื่อลงโทษในการร่วงหล่นลงของมนุษย์ซึ่งตามบันทึกไว้ในในหนังสือปฐมกาล 3: 1-10 เมื่ออาดามทำบาปเขาไม่ใช่มนุษย์อย่างที่พระองค์ทรงสร้างอีก เขาเป็นหัวหน้าแห่งธรรมชาติของเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดและสิ่งอื่น ๆ ด้วยเช่นกัน การกบฏของซาตานได้รับผลกระทบโดยตรงต่อหนึ่งในสามของทูตในสวรรค์ ดังนั้น การกบฏของอาดามและการทำบาปจึงมีผลอย่างมากต่อคนอื่น เผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมดตกลงไปในอาดามต้นเหตุ "การตกจากมาตราฐานของอาดามทำให้เราทำบาป" โดยเชื่อการโกหกของซาตานและกินผลไม้ที่ต้องห้ามนั้นอาดามได้นำความตายมาสู่ลูกหลานของตนทั้งหมด - เพื่อเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด ดังที่อัครทูตเปาโลกล่าวไว้ “เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น …” (โรม 5:12) ผลกระทบจากความบาปของอาดามต่อมนุษยชาตินั้นใหญ่โต ก่อนหน้านั้นร่วงพระเจ้าและมนุษย์สามัคคีธรรมกัน หลังจากหลงทำบาปความสามัคคีธรรมนั้นก็สิ้นสุดลง พวกเขาถูกตัดขาดจากพระเจ้า หลังจากหลงทำบาป พวกเขาพยายามซ่อนตัวจากพระเจ้า ก่อนทำบาปมนุษย์นั้นคนบริสุทธิ์ อาดามและเอวาไม่มีธรรมชาติบาป หลังจากนั้นพวกเขาก็บาปและอับอาย อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า " “เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลก” (โรม 5:12) พระข้อนั้นไม่ได้กล่าวว่า "บาป" เข้าสู่โลก แต่บอกว่า "บาป" ในรูปเอกพจน์ อาดามไม่ได้นำความบาปเข้าสู่โลกด้วยการเป็นแบบอย่างไม่ดี การกระทำบาปของเขาทำให้ธรรมชาติของเขาทั้งหมดเปลี่ยนไป ใจของเขาก็โกโหก ก่อนจะทำบาปนั้น มนุษย์กินผลจากต้นไม้แห่งชีวิตและดำรงชีวิตอยู่เรื่อย ๆ (ปฐมกาล 2: 9; 3:22) หลังจากการล่มสลายการตายของร่างกายกลายเป็นส่วนหนึ่งของโทษสำหรับบาปของอาดาม โรม 5:12 กล่าวว่า “เหตุฉะนั้นเช่นเดียวกับที่บาปได้เข้ามาในโลกเพราะคน ๆ เดียว และความตายก็เกิดมาเพราะบาปนั้น …” (โรม 5:12) ซึ่งหมายถึงความตายทั้งทางวิญญาณและทางกาย หลังจากที่อาดามทำบาปพระเจ้าตรัสว่า " “…เพราะเจ้ามาจากดิน เพราะเจ้าเป็นผงคลีดิน และเจ้าจะกลับไปเป็นผงคลีดิน” (ปฐมกาล 3:19) ความตายทางกายและจิตวิญญาณเป็นผลมาจากความบาปของอาดาม อันเป็นผลมาจากการตกสู่บาปของอาดามความบาปได้กลายเป็นสากลในมนุษยชาติ มนุษย์ทุกคนเกิดมาพร้อมกับธรรมชาติที่บาปซึ่งสืบทอดมาจากอาดามซึ่งเป็นหัวหน้าเผ่าพันธุ์มนุษย์ พระคัมภีร์กล่าวว่า “โดยทางพระองค์ เราจึงได้เข้าในร่มพระคุณที่เรายืนอยู่โดยความเชื่อ และเราชื่นชมยินดีในความหวังใจว่าจะได้มีส่วนในสง่าราศีของพระเจ้า” (โรม 5:12) ลักษณะความบาปของมนุษย์ที่หลงทำบาปมีสอนอยู่ทั่วในพระคัมภีร์ “ถ้าเขาทั้งหลายกระทำความบาปต่อพระองค์” (1 พงศ์กษัตริย์ 8 8:46) “แน่ทีเดียวไม่มีคนชอบธรรมสักคนเดียวบนแผ่นดินโลก ที่ได้ประพฤติล้วนแต่ความดี และไม่กระทำบาปเลย” (ปัญญาจารย์ 7:20) “ด้วยว่าความเชื่อด้วยใจก็นำไปสู่ความชอบธรรม และการยอมรับด้วยปากก็นำไปสู่ความรอด เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า ‘ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์นั้นก็จะไม่ได้รับความอับอาย เพราะว่าพวกยิวและพวกกรีก ไม่ทรงถือว่าต่างกัน ด้วยว่าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันของคนทั้งปวง ซึ่งทรงโปรดอย่างบริบูรณ์แก่คนทั้งปวงที่ทูลขอต่อพระองค์” (โรม 3:10-12) “และเพื่อให้มนุษย์ทุกคนในโลกมีความผิดจำเพาะพระพักตร์ของพระเจ้า” (โรม 3:19) “ถ้าเราทั้งหลายจะว่าเราไม่มีบาป เราก็หลอกตัวเอง และความจริงไม่ได้อยู่ในเราเลย” (1 ยอหน์ 1:8) ความบาปของอาดามถูกกำหนดให้กับลูกหลานของเขาทุกคนนั่นคือเผ่าพันธุ์มนุษย์ทั้งหมด เนื่องจากความสามัคคีของมนุษยชาติ พระเจ้าทรงกำหนดบาปของอาดามทันทีให้กับลูกหลานของเขาทุกคน ธรรมชาติของมนุษย์ทุกคนในปัจจุบันเป็นลักษณะที่เลวทรามเช่นเดียวกับที่อาดัมที่หลงมำบาป ตามที่กล่าวไว้ในพระธรรมโรม 5:12 ความตาย (ทั้งทางด้านจิตใจและทางกาย) ได้ส่งผ่านไปยังมนุษย์ทุกคนเพราะทุกคนทำบาปในอาดามเป็นต้นเหตุจองทุกคน นี่คือสิ่งที่เราหมายถึง "ความเสื่อมโทรมทั้งหมด" ของมนุษยชาติ นั่นหมายความว่ามนุษย์ที่อยู่ในสภาพที่ผิดธรรมชาติของเขาไม่มีความรักที่แท้จริงสำหรับพระเจ้า หมายความว่าเขาชอบพระเจ้ามากกว่าที่เขารักตัวเองมากกว่าผู้สร้างของเขา ความเสื่อมโทรมรวมหมายความว่าทุกคนในสภาพธรรมชาติของเขามีความเกลียดชังต่อพระเจ้าการขับไล่หรือความรังเกียจต่อพระองค์และต่อต้านพระองค์ “เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า” (โรม 8:7) ที่กล่าวว่า “ใจบาปนั้น” เป็นการพูดถึง “ใจมนุษย์ที่ยังไม่ได้บังเกิดใหม่” หรือกลับใจใหม่ (The Geneva Bible, 1599, note on Romans 8:7) การทำบาปของอาดามในปฐมกาลบทที่สามนั้นมีผลโดยตรงกับคุณ ไม่ว่าคุณจะถูกเลี้ยงดูมาในคริสตจักรหรือไม่ก็ตามคุณได้รับธรรมชาติที่ไม่เหมือนพระเจ้าและพระคริสต์ เพรั่นเป็นผลที่ได้รับมาจากบรรพบุรุษของเราคืออาดาม ไม่มีอะไรที่คุณคิด เรียนรู้หรือสิ่งอื่นที่ช่วยคุณได้ ดังนั้นความรอดต้องมาจาก "คนภายนอก" หรือที่ไม่ใช่เกิดจากมนุษย์ และแหล่งที่มานั้นคือพระเจ้าเอง พระเจ้าต้องปลุกคุณให้ตื่นขึ้นมาภายในตัวคุณ พระเจ้าต้องทำให้ตัวเก่าของคุณเหี่ยวแห้งไปความคิดที่ผิดพลาดของคุณเกี่ยวกับความรอดและโน้มน้าวให้คุณเห็นถึงความเลวทรามภายในของคุณ พระเจ้าต้องดึงดูดคุณให้กับพระคริสต์เพื่อการชำระล้างและการสร้างการเกิดใหม่ภายในตัวคุณ เพราะความบาปของอาดามไม่มีใครนอกจากพระคริสต์ "อาดามสุดท้าย" ช่วยให้คุณรอดได้ นั่นคือความรอดโดยพระคุณเพียงอย่างเดียวโดยพระคริสต์ผู้เดียว นั่นคือสิ่งที่เราเชื่อและประกาศ ก่อนที่อาดามจะล้มลงเขามีความสัมพันธ์ที่ดีสมบูรณ์แบบกับพระเจ้า เขาเดินกับพระเจ้าเป็นเพื่อนกัน แต่หลังจากที่เขาทำบาปอาดามและภรรยาของเขาก็ซ่อนตัวจากพระเจ้าในสวนนั้น คุณเป็นลูกของอาดาม นั่นเป็นเหตุผลที่ความคิดของคุณเกี่ยวกับพระเจ้าไม่ถูกต้อง! แทนการไว้วางใจในพระองค์ แต่คุณกลับกบฏต่อพระองค์และซ่อนตัวจากพระองค์ไว้ดังที่บรรพบุรุษของคุฯได้กระทำ นั่นคือเหตุผลที่คุณทำผิดพลาดอย่างใดอย่างหนึ่งต่อเมื่อคุณพยายามวางใจในพระคริสต์ และนั่นคือเหตุผลที่จิตใจของคุณบาป - ทำให้เกิดข้อผิดพลาดเหมือนกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า คำพยานของนักศึกษาในวิทยาลัย ฉันกลับใจใหม่ผิดๆครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันคิดว่าฉันจำเป็นต้องมีความรู้สึกในการกลับใจใหม่ การเข้าใจผิดนี้เป็นช่วงเวลาที่แย่มากสำหรับฉันมาก ตอนที่ฉันได้รับคำแนะนำฉันจะพยายามคิดว่าจะพูดอะไรบางอย่าง ฉันพยายามจดจำสิ่งที่ได้กล่าวไว้ในบทเทศน์ ดังนั้นฉันจึงสามารถทำซ้ำบางส่วนได้ แต่คำพูดของฉันไม่มีความหมายอะไรเลย ฉันพยายามคัดลอกพยานหลักฐานของคนอื่น อะไรที่แย่มาก! ฉันเริ่มอธิษฐานอยู่คนเดียวและคิดถึงบาปของตัวเอง แล้วการประกาศข่าวประเสริฐก็เป็นที่ประจักษ์แก่ฉัน ฉันมาหาพระเยซูเป็นคนบาปที่ไร้ความหวังไม่มีความหวังในตัวฉัน แต่ความหวังของฉันอยู่ในพระเยซูคริสต์ สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับฉันคือการมาถึงพระเยซูและบาปของฉันถูกล้างให้สะอาดด้วยเลือดของพระองค์ ฉันไว้ใจเลือดของเขา คำพยานของหญิงสาวในวิทยาลัย ซาตานยังคงบอกฉันว่า "คนเหล่านี้ผิด คุณสมบูรณ์แบบตามที่คุณต้องการ คุณไม่จำเป็นต้องการพระเยซู "แล้วฉันก็มาที่โบสถ์และฉันรู้ว่าฉันผิด ฉันร้องไห้และฉันไม่สามารถหยุดได้ ดร. คาร์แกนถามฉันว่า "คุณจะมาหาพระคริสต์หรือไม่?" ฉันตอบว่า "ใช่ฉันจะมาหาพระองค์ ฉันจะมาหาพระองค์" ในวันนั้นดิฉันพึ่งพาพระเยซู ดิฉันยอมจำนนต่อพระเยซู พระเยซูคริสต์ทรงกอดฉันไว้และบาปของดฺฉันถูกล้างออกไปด้วยโลหิตของพระองค์ คำพยานของชายหนุ่ม ผมไม่สามารถละเลยความจริงที่ว่าใจของผมน่าเกลียด น่ารังเกียจและเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและต่อพระเจ้า ใจของผมไม่สามารถหลอกลวงผมให้คิดได้ว่าผมเป็นคนดี ผมไม่เป็นไรและไม่มีความดีในตัวผม ผมรู้ว่าถ้าผมต้องตายในทันทีจะไปสู่นรก ผมควรจะไปนรก ผมเป็นคนบาป ผมคิดว่าสามารถซ่อนบาปของผมจากผู้คนได้ แต่ผมไม่สามารถซ่อนมันไว้จากพระเจ้าได้ พระเจ้าเห็นบาปทั้งหมดของผม ผมรู้สึกเหมือนอาดามพยายามซ่อนตัวจากพระเจ้าหลังจากที่เขากินผลไม้ต้องห้าม ผมรู้สึกสิ้นหวังอย่างสิ้นเชิง การกระทำที่ดีทั้งหมดของผมไม่สามารถช่วยคนบาปที่ไร้ความผิดเช่นผมได้ พระคริสต์เพียงอย่างเดียวช่วยผมไว้ โลหิตของพระองค์ปกคลุมผมและล้างความบาปทั้งหมดของผม พระคริสต์ได้ทรงสำแดงแก่ผมในพระโลหิตของพระองค์ พระองค์ทรงตกแต่งผมด้วยความชอบธรรมของพระองค์ โลหิตของพระองค์ได้ล้างจิตใจบาปของผม ความเชื่อและความเชื่อมั่นของผมอยู่ในพระคริสต์เท่านั้น ผมเป็นคนบาป - แต่พระเยซูช่วยผมไว้ คำพยานของหญิงสาวในวิทยาลัย ฉันเดินเข้าไปในโบสถ์และเหมือนมใจที่กำลังแบกภาระหนัก ฉันรู้สึกว่าฉันเป็นคนบาป ฉันไม่สามารถละเลยความจริงที่ว่าหัวใจของฉันน่าเกลียดน่ารังเกียจ และเต็มไปด้วยความชั่วร้ายต่อพระเจ้า จากนั้นตอนการเทศนาใกล้ถึงจุดสิ้นสุดแล้วฉันได้ยินพระกิตติคุณเป็นครั้งแรก ก่อหน้านี้มันไม่เคยมีความหมายอะไรกับฉันเลย พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์แทนเราบนไม้กางเขนเพื่อชำระบาปของเรา พระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อฉัน! พระโลหิตของพระองค์ทรงหลั่งสำหรับข้าพระองค์ ฉันต้องการพระเยซู ตาของฉันไม่มองที่ตัวเอง ฉันมองไปที่พระคริสต์เป็นครั้งแรก และในขณะนั้นพระเยซูคริสต์ทรงช่วยดิฉันตอนนี้ ฉันจึงเข้าใจว่าบทเพลงที่ จอห์น นิวตัน ว่าหมายถึงอะไร "พระคุณอันน่าอัศจรรย์! เสียงหวานที่ช่วยคนยากจนเช่นฉัน! แต่ตอนนี้ฉันได้พบแล้วคนตาบอด แต่ตอนนี้ฉันเห็น" ฉันเป็นคนบาปและพระเยซูคริสต์ช่วยฉันให้พ้นจากบาปของฉัน ฉันไม่จำเป็นความรู้สึกว่ามีพระเยซูอีก ฉันไม่จำเป็นว่าต้องมีประสบการณ์ทางศาสนา ฉันเพียง แต่เชื่อพระองค์เท่านั้น ขณะที่ฉันไว้ใจพระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงล้างบาปของฉันด้วยโลหิตของพระองค์ ฉันได้ยินเสียงเรียกของพระผู้ช่วยให้รอด พระผู้ช่วยให้รอดเรียกฉัน พระองค์ ข้าพระองค์กำลังมาหาพระองค์ ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452 (จบการเทศนา) หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ ร้องเพลงเดี่ยวก่อนเทศนาโดย ผป. เบนจามิน คินเคด กรี่ฟฟี่ท: |