เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
เหมือนคนมากมายต้อนรับพระองค์AS MANY AS RECEIVED HIM! โดย ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์ บทเทศน์ในคริสตจักรเทเบอนาเคลเมืองลอสแอนเจลิส “พระองค์ได้เสด็จมายังพวกของพระองค์ และพวกของพระองค์นั้นหาได้ต้อนรับพระองค์ไม่ แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานสิทธิอำนาจให้เขาเป็นบุตรของพระเจ้า คือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์ ซึ่งมิได้เกิดจากเลือด หรือจากความประสงค์ของเนื้อหนัง หรือจากความประสงค์ของมนุษย์ แต่จากพระเจ้า” (ยอห์น 1:11-13) |
พระเยซูอยู่ในกรุงเยรูซาเล็มในช่วงเทศกาลปัสกา หลายคนเห็นพระเยซูทำปาฏิหาริย์ เมื่อพวกเขาเห็นบรรดาปาฏิหาริย์เหล่านั้นพวกเขาศรัทธา แต่พวกเขาไม่เชื่อในพระองค์ พวกเขาเชื่อในปาฏิหาริย์ แต่ไม่ได้อยู่ในพระองค์ ความเชื่อของพวกเขาจึงไร้ค่า พวกเขาเตือนให้ผมนึกถึงพวกคาลิสเมติในทุกวันนี้ ความศรัทธาของพวกเขาเป็นศูนย์เพราะเชื่อในปาฏิหาริย์ ที่จริงหมายถึง "หมายสำคัญ" พวกเขามักจะมองหาหมายสำคัญและปาฏิหารย์ การนี้ไม่ได้ช่วยพวกเขาให้รอดเลย “แต่พระเยซูมิได้ทรงวางพระทัยในคนเหล่านั้น เพราะพระองค์ทรงรู้จักมนุษย์ทุกคน และไม่มีความจำเป็นที่จะมีพยานในเรื่องมนุษย์ ด้วยพระองค์เองทรงทราบว่าอะไรมีอยู่ในมนุษย์” (ยอห์น 2:24, 25) พระเยซูทรงสามารถมองเห็นในจิตใจของพวกเขา พระองคืทรงรู้ว่าพวกเขาไม่เคยเชื่อพระองค์ พวกเขาเชื่อในปาฏิหาริย์เท่านั้น พระองค์ทรงรู้ว่าพวกเขาเชื่อในหมายสำคัญและในปาฏิหาริย์ แต่เพียงแค่นีไม่สามารถช่วยอะไรพวกเขาได้ "พระองค์ทรงทราบสิ่งที่อยู่ภายในพวกเขา." พระองค์ทรงรู้ใจของ "มนุษย์ทุกคน" พระองค์ทรงรู้ใจของคุณ พระองค์ทรงรู้ว่าคุณมีประสบการณ์เกี่ยวกับการบังเกิดใหม่หรือไม่ ก่อนที่คุณจะได้สัมผัสกับการบังเกิดใหม่นั้น ใจของคุณต้องละทิ้งความบาปทุกอย่าง พระคัมภีร์กล่าวว่า " “จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียวThe...” (เยเรมีย์ 17:9) พระคัมภีร์ไม่ได้บอกเราว่าพระเยซูทรงอยู่ในคืนนั้น แต่นิโคเดมัสผู้มีชื่อเสียงชื่อ "มาหาพระเยซูในเวลากลางคืน" (ยอห์น 3: 1, 2) ตอนนี้ดูที่ยอห์น 1: 11-13 “พระองค์ได้เสด็จมายังพวกของพระองค์ และพวกของพระองค์นั้นหาได้ต้อนรับพระองค์ไม่ แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานสิทธิอำนาจให้เขาเป็นบุตรของพระเจ้า คือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์ ซึ่งมิได้เกิดจากเลือด หรือจากความประสงค์ของเนื้อหนัง หรือจากความประสงค์ของมนุษย์ แต่จากพระเจ้า” (ยอห์น 1:11-13) ความรอดเกิดขึ้นเมื่อคนบาปมารับเชื่อพระคริสต์ ทั้งสามข้อนี้จะเปิดเผยถึงพื้นฐานของการรับพระองค์ ในข้อ 11 บอกเราว่าคนส่วนใหญ่จะไม่รับพระคริสต์ คนส่วนใหญ่จะไปนรก พระคัมภีร์บอกว่า “พระองค์ได้เสด็จมายังพวกของพระองค์ และพวกของพระองค์นั้นหาได้ต้อนรับพระองค์ไม่” (จอห์น 1:11). คำแรกการใช้คำว่า "ของเขา" เป็นการพูดถึงโลกของมนุษยชาติโดยทั่วไป การใช้ครั้งที่สอง "ของเขา" พูดถึงคนยิว แม้ว่าพวกเขามีคำทำนายมากมายในพระคัมภีร์เดิมที่กล่าวถึงพระองค์ แต่คนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้เชื่อพระองค์ในฐานะที่ทรงเป็นพระเมสสิยาห์และพระเจ้าของพวกเขา ทั้งชาวยิวและคนอื่นๆไม่ได้รับพระคริสต์ เมื่อพระองค์เสด็จลงมาบนโลกและทุกวันนี้พวกเขาก็ยังไม่ยอมรับพระองค์ “ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง...และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน” (อิสยาห์ 53:3) ต้องอาศัยพระเจ้าในการนำคนบาปให้กลับมาหาพระคริสต์ แต่นั่นจะนำเราไปสู่พระคำหลักของเราในยอห์น 1:12 “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานสิทธิอำนาจให้เขาเป็นบุตรของพระเจ้า คือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์” (ยอห์น 1:12) เราจะแบ่งพระคำข้อนี้ออกเป็นสามประการ I. หนึ่ง ผมจะอธิบายว่าการรับพระเยซูนั้นหมายความว่าเช่นไร ว่า “รับ” ในภษากรีกใช้คำว่า “lambanō” หมายถึง "ต้อนรับ" "ยอมรับ" "เพื่อให้ได้" เราขอให้คุณรับพระเยซูคริสต์ เราขอให้คุณยอมรับพระคริสต์ เราขอให้คุณรับพระองค์ วางใจพระองค์เพื่อให้พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและเป็นพระเจ้าของคุณ การรับพระเยซูคริสต์ คุณต้องยอมรับพระองค์ตามที่มรการบันทึกไว้ในพระคัมภีร์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นอิมมานูเอล - พระเจ้าทรงอยู่กับเรา พระเจ้าทรงปรากฏในเนื้อหนัง พระบุตรองค์เดียวของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดา บุคคลที่สองของตรีเอกานุภาพผู้ทรงบังเกิดมาในฐานะมนุษย์ ผู้ทรงสถิตอยู่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าพระบิดาในสวรรค์ ทรงบังมาจากเกิดจากมารีย์ พระองค์คือพระเป็นเจ้าแห้งนิรันดร์ - โดยไม่มีจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุดพระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่ชั่วนิรันดร์ คุณจะได้รับผลอะไรบ้างหากคุณไม่รับพระองค์ตามที่กล่าวมานี้? พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดที่สามารถแบกบาปของคุณ และช่วยให้คุณรอดพ้นจากบาปของคุณตลอดนิรันดร์! แต่คุณไม่สามารถรับพระเยซูได้ เว้นแต่คุณจะยอมรับพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ของคุณ พระองค์ต้องปกครองชีวิตของคุณ คุณต้องยอมจำนนต่อพระองค์ คุณต้องถูกนำไปหาพระองค์ คุณต้องให้ร่างกายและวิญญาณให้พระองค์ทรงปกครอง คุณต้องยอมอยู่ในการควบคุมของพระองค์ คุณต้องยอมทนต่อพระองค์และปล่อยให้พระองค์ทรงครองแฃะยอมทำตามพระประสงค์ของพระองค์ ให้พระองค์ทรงควบคุมความคิดความหวังและชีวิตของคุณ คุณต้องไม่พูดอีกว่า "เราจะไม่มีชายคนนี้ปกครองเรา" จอห์นคาแกนได้ยินว่า "ยอมจำนนต่อพระคริสต์! ให้แก่พระคริสต์!" แต่ทำให้เขาทุกข์ใจ เพราะเขาไม่ต้องการ "ยอมจำนนต่อพระเยซู" เขาไม่ต้องการให้พระเยซูทรงควบคุมเขา แต่จอห์นรู้สึกอับอาย "พระเยซูถูกตรึงบนกางเขนสำหรับข้าพระองค์ ... แต่ข้าพระองค์ไม่ยอมจำนนต่อพระองค์ ความคิดนี้ทำให้ผมต้องสำนึกบาป ..." ในขณะนั้นจอห์นได้ต้อนรับพระเยซู เขากล่าวว่า "ผมต้องละทิ้งตัวเองให้ตายไปแล้วพระคริสร์ประทานชีวิตใหม่แก่ผม" จอร์จ แมทสัน (1842-1906) กล่าวว่าได้ดีมากในบทเพลงนมัสการของเขาที่เรียกว่า "ทำให้ข้าฯเป็นเชลยพระเจ้า" “Make Me a Captive, Lord” ข้าพระองค์เป็นเชลยองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วข้าพระองค์จะเป็นอิสระ การต้อนรับพระเยซูคริสต์ คุณต้องมีพระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอดและเป็นพระมหากษัตริย์ของคุณ คุณต้องมอบตัวเองให้กับพระองค์ ต้องเกิดขึ้นอย่างนี้ให้กับคุณ โลหิตอันล้ำค่าของพระองค์ได้ลบบาปของคุณหรือไม่? คุณไว้ใจในโลหิตของพระองค์หรือไม่? โลหิตของพระองค์ได้ล้างบาปของคุณหรืองยัง? คุณได้มอบตัวคุณให้กับพระองค์ และให้พระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ของคุณหรือไม่? คุณไม่สามารถรับพระคริสต์ได้ ยกเว้นแต่คุณจะจับตัวพระองค์และให้พระองคืเป็นของคุณ การ "ตอนรับ" พระองค์คือการ "เชื่อ" พระองค์ - ซึ่งจวางใจพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดของคุณเองและเป็นพระมหากษัตริย์ของคุณ เกรงว่าพระองค์จะโกรธและพินาศ ... บรรดาผู้ที่วางใจในพระองค์ก็เป็นสุข "(สดุดี 2:12) จูบพระบุตรของพระเจ้า! ไปหาพระบุตรของพระเจ้า! วางใจในพระบุตรของพระเจ้า! นั่นคือสิ่งที่หมายถึง "รับ" พระบุตรของพระเจ้า! II. สอง เราเรียนรู้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ประทานให้เราดดยการต้อนนรับพระบุตรของพระองค์ “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานสิทธิอำนาจให้เขาเป็นบุตรของพระเจ้า...” คำว่า "ฤทธิ์อำนาจ" แปลว่า "อีโซเซีย" เจเมสัน โฟเซท และบราวน์ กล่าวว่า "คำนี้ชี้แจงถึง ... อำนาจและความสามารถ อย่างแน่นอนทั้งสองอย่างนี้รวมอยู่ด้วยกัน" (หน้า 348) "พระบุตรของพระเจ้า" แปลว่า "บุตรของพระเจ้า" (NKJV) การรับพระเยซูคริสต์คือการวางใจเชื่อวางใจพระองค์และยอมมอบตัวคุณให้กับพระองค์ คุณจะเป็นลูกของพระเจ้าได้อย่างไร? โดยการรับพระเยซูคริสต์ ตอนที่ผมมีอายุได้สองขวบพ่อของพาอของผมก็จากไปและผมไม่เคยอยู่กับเขาอีกเลย เมื่อผมโตขึ้นผมถูกเด็กผู้ชายล้อเลียนอย่างสนุกสนานและพูดว่า "โรเบิร์ตอ้ายลูกไม่มีพ่อ" นั่นคือจุดเริ่มต้นที่ผมใช้ชื่อ "Robert L. Hymers, Jr." ผมตั้งชื่อตามพ่อของผม เพียงแค่ผมใส่ "จูเนียร์" เพิ่มลงไปเพื่อแสดงว่าผมก็มีพ่อจริงๆ ทุกวันนี้ผมยังใช้ชื่อนี้ ผมต้องการให้ทุกคนรู้ว่าผมมีพ่อ! แต่สิ่งสำคัญยิ่งกว่านั้นคือผมมีพระเจ้าเป็นพระบิดาของผม! ทุกคนไม่ว่าจะเป็นผู้หญิง หรือเด็กที่ได้รับพระเยซูมีพระเจ้าเป็นพระบิดาของพวกเขา ถ้าผมยืนอยู่ที่นี่คืนนี้ และบอกคุณว่าผมเป็นบุตรของประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกาคุณจะอิจฉาผมแน่นอน แต่ที่ผมภูมิใจมากกว่านั้นที่ได้กล่าวว่าผมเป็นบุตรของพระเจ้า ผมได้รับพระเยซูและพระเยซูทรงประทานผมสิทธิอำนาจให้ผมเป็นบุตรของพระเจ้าเป็นบุตรของพระองค์ผู้ครองราชย์ทั่วจักรวาล! ฉันเป็นลูกของกษัตริย์ ถ้าคุณเป็นลูกของพระเจ้า คุณจะเป็นที่รักของพระเจ้าเป็นอย่างมาก ถ้าคุณเป็นลูกของพระเจ้าคุณเกี่ยวข้องกับพระองค์ "ผู้มีส่วนร่วมในธรรมชาติ" ถ้าคุณเป็นลูกของพระเจ้า คุณสามารถมาหาพระองค์ได้ทุกเวลาและพระองค์ทรงอยู่ที่นั่นเพื่อช่วยคุณและ แนะนำคุณ จอห์น คาเกนมีพ่อที่เยี่ยมยอด เขามักจะแนะนำพ่อที่ยอดเยี่ยมของเขาด้วยการพูดว่า "พ่อของผมมีสอง Ph.D." แต่ผมสามารถพูดได้มากกว่านั้นมากยิ่งขึ้นเกี่ยวกับพ่อของผม! พ่อของผมบนโลกไม่ได้จบการศึกษาจากโรงเรียนมัธยม แต่พระบิดาบนสวรรค์ของเราคือพระมหากษัตริย์แห่งจักรวาล! พระบิดาของฉันอุดมไปด้วยบ้านเรือนและที่ดิน ผมไม่มีพ่อทางโลกที่ต้องจ่ายค่าเล่าเรียนในวิทยาลัยหรือวิทยาลัยหรือซื้อรถใหม่ แต่ผมมีพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงประทานทุกอย่างตามความมั่งคั่งของพระองค์ ในพระรัศมีพระมหากษัตริย์โดยพระเยซูคริสต์ (ฟีลิปปี 4:19) ผมมีพระบิดาในสวรรค์ผู้ทรงให้คำสัญญาอันเหลือเชื่อแก่ผมว่า "ข้าพเจ้าสามารถทำทุกสิ่งโดยผ่านพระคริสต์ซึ่งเสริมกำลังให้ข้าพเจ้า" (ฟีลิปปี 4:13) สรรเสริญ สรรเสริญและเป็นเกียรติแก่พระบิดาของเราและพระมหากษัตริย์ของพระองค์ผู้ทรงให้กำลังข้าพเจ้าและทรงประทานสิ่งที่ข้าพเจ้าปรารถนาตลอดชีวิตของข้าพเจ้า ดร. คาเกน กล่าวในหนังสืออัตชีวประวัติดังนี้ว่า เป็นเรื่องราวของชายคนหนึ่งที่สะดุดช้ำซ้ำเล่าและสูญเสียหลายๆอย่างและแล้วท่านก็เอาชนะอุปสรรคมากมายที่จะแสดงให้ผู้คนเห็นว่าพระเยซูคริสต์สามารถช่วยเหลือพวกเขาได้เช่นกัน! ผมเป็นลูกของกษัตริย์! เยาวชนได้เชื่อและไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ รับพระคริสต์และพระองค์จะทรงประทานอำนาจให้เป็นบุตรและธิดาของพระเจ้า พระองค์จะอวยพรชีวิตของคุณ เหมือนที่พระองค์ได้ทรงอวยพรให้ผมมีบ้านหลังใหญ่พร้อมกับมีคริสตจักรที่ยอดเยี่ยม เป็นศิษยาภิบาลที่มีภรรยาที่ดี มีลูกชายสองคนที่น่ารัก และหลานสาวสองคนที่สวยงาม ผมเป็นลูกของกษัตริย์! ถ้าคุณรับพระคริสต์และจงใช้ชีวิตอยู่เพื่อพระองค์ พระองค์จะทรงอวยพรชีวิตคุณด้วย เพราะคุณก็เป็นลูกของพระมหากษัตริย์ และคุณจะสามารถร้องเพลง ฉันเป็นลูกของกษัตริย์ “พระองค์ได้เสด็จมายังพวกของพระองค์ และพวกของพระองค์นั้นหาได้ต้อนรับพระองค์ไม่ แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานสิทธิอำนาจให้เขาเป็นบุตรของพระเจ้า คือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์ ซึ่งมิได้เกิดจากเลือด หรือจากความประสงค์ของเนื้อหนัง หรือจากความประสงค์ของมนุษย์ แต่จากพระเจ้า” (ยอห์น 1:11-13) III. สาม เราเรียนรูการบังเกิดใหม่ที่พระเจ้าให้เราตอนเราต้อนรับพระคริสต์ “พระองค์ได้เสด็จมายังพวกของพระองค์ และพวกของพระองค์นั้นหาได้ต้อนรับพระองค์ไม่” (ยอห์น 1:13) ต้องบอกว่าโครงร่างและความคิดพื้นฐานของบทเทศน์นี้ยืมมาจาก "เจ้าชายแห่งการเทศน์" สเปอร์เจียน ทุกคนที่วางใจในพระเยซูคริสต์ได้บังเกิดใหม่ นักศาสนาศาสตร์บางคนสงสัยว่าเกิดอะไรเกิดขึ้นก่อน - ความเชื่อหรือการบังเกิดใหม่ ผมเห็นด้วยกับ สเปอร์เจียน ท่านกล่าวว่าความเชื่อและการบังเกิดใหม่เกิด "พร้อมกัน" การบังเกิดใหม่ สเปอร์เจียน กล่าวว่า "ถ้าเราเชื่อในพระเยซูคริสต์ เราไม่จำเป็นต้องถามว่าเราถูกสร้างใหม่หรือไม่เพราะคนที่ไม่ได้รับการฝึกอบรมไม่เคยเชื่อในองค์พระเยซูคริสต์ ถ้าเกิดขึ้นใหม่ผมก็ต้องเชื่อในพระเยซูเพราะคนที่ไม่ทำอย่างนั้นก็ตายไปแล้วอย่างสิ้นเชิงในความบาป ... การกระทำของความเชื่อนั้นแสดงให้เห็นว่าบุคคลหนึ่งได้รับการบังเกิดใหม่" เราไม่ได้บังเกิดเป็นคริสเตียน หรือเราไม่ได้เกิดมา "ด้วยเจตนารมณ์ของมนุษย์" คริสเตียนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกไม่สามารถสร้างเราใหม่ได้ เราไม่ได้บังเกิดใหม่ "ของน้ำพระทัยของเนื้อหนัง" ไม่ใช่ด้วยความตั้งใจของเราเอง มนุษย์จะไม่สามารถบังเกิดใหม่ด้วยตัวเองได้ เราต้องบังเกิดใหม่จากเบื้องบน พระวิญญาณบริสุทธิ์เข้ามาสู่เราและทำให้เรามีชีวิตใหม่ ตราบใดที่มีความเชื่อในพระเยซู ก็มีชีวิตใหม่ หากไม่มีความเชื่อก็ไม่มีชีวิต ถ้าคุณวางใจในพระเยซูคริสต์ คุณก็ได้บังเกิดใหม่แล้ว "ไม่ใช่จากความปรารถนาของมนุษย์ แต่จากพระเจ้า" ผมต้องถามคุณคำถามนี้แก่ว่า คุณยอมรับพระคริสต์หรือไม่? ใช่หรือไม่ คุณรับพระเยซูคริสต์หรือไม่? คุณไว้ใจพระองค์ผู้เดียวหรือไม่? คุณสามารถพูดได้ไหมว่า ฉันอยู่อยู่บนพระคริสตืผู้เป็นศิลา คุณวางใจในพระเยซูคริสต์หรือไม่? คุณรับพระองค์แล้วหรือ? ถ้าคุณยังไม่ได้รับพระองค์ทำไม ไม่รับ? มีอะไรที่ยากลำบากในการรับพระองค์หรือ? มีสิ่งหนึ่งที่จะเชื่อในตัวฉัน แต่เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะเชื่อในพระเยซูคริสต์ การเชื่อในพระองค์คือการวางใจพระองค์ การวางใจพระองค์คือการรับพระองค์ ถ้า ดร. คาร์แกน ถามคุณว่า "คุณเชื่อพระคริสต์หรือไม่?" คุณจะตอบว่าอย่างไร? คุณไม่จำเป็นต้องเห็นพระองค์ คุณไม่จำเป็นต้องรู้สึกถึงพระองค์ คุณต้องเชื่อพระองค์เท่านั้น ดร. คาร์แกนจะไม่หลอกลวงคุณ เขาต้องการให้คุณบังเกิดใหม่และผมต้องการที่จะให้บัพติศมาคุณ เราชอบที่จะเห็นคุณวางใจพระเยซู พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อชดใช้บาปของคุณ คุณไว้วางใจพระองค์หรือไม่? พระเยซูทรงรักคุณอย่างสุดซึ้งในคืนนี้ คุณไว้วางใจพระองค์หรือไม่? ทำไมไม่วางใจพระเยซูตอนนี้คืนนี้? คุณพูดว่า "ฉันต้องการที่จะไว้ใจพระองค์" แล้วทำไมไม่ทำเช่นนั้นตอนนี้? อย่ามองหาความรู้สึก มองไปที่พระเยซู อย่ามองหาประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยม มองไปที่พระเยซู อย่ามองเข้าไปในตัวเอง ไม่มีสิ่งใดในตัวคุณเองที่สามารถช่วยคุณได้ อย่าวางใจในความคิดของคุณเอง เชื่อพระเยซูเอง รับพระเยซูและพระองค์จะทรงรับคุณ! ทำไมไม่ได้ตอนนี้? ทำไมไม่ได้ตอนนี้? การวางใจพระเยซูนั้นมันไม่ยากเลย ลองฟังว่าเอมิซัลลากากล่าวว่า "ฉันกำลังมองหาความรู้สึกหรือประสบการณ์บางอย่างเพื่อยืนยันความเชื่อของฉัน ... ปฏิเสธพระเยซูสิ้นพระชนม์อยู่เรื่อยไป จอห์น คาแกน กล่าวว่า "ไม่มีการกระทำหรือความตั้งใจใด ๆ ทั้งสิ้น แต่ใจของผมพักอยู่ในพระคริสต์ พระองค์ทรงช่วยผมให้รอด" เอมิและยอห์นไว้ใจพระเยซู พวกเขาได้รับพระองค์ ทั้งหมดนี้! ผมขออธิษฐานให้คุณวางใจพระเจ้าคืนนี้ อาเมน ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452 (จบการเทศนา) หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ ร้องเพลงเดี่ยวก่อนเทศนาโดย ผป. เบนจามิน คินเคด กรี่ฟฟี่ท: |
โครงร่างของ เหมือนคนมากมายต้อนรับพระองค์ AS MANY AS RECEIVED HIM! โดย ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “แต่ส่วนบรรดาผู้ที่ต้อนรับพระองค์ พระองค์ทรงประทานสิทธิอำนาจให้เขาเป็นบุตรของพระเจ้า คือคนทั้งหลายที่เชื่อในพระนามของพระองค์” (ยอห์น 1:11-13). (จอห์น 2:24, 25; เยเรมีย์ 17:9; I. หนึ่ง ผมจะอธิบายว่าการรับพระเยซูนั้นหมายความว่าเช่นไร สดุดี 2:12. II. สอง เราเรียนรู้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าที่ประทานให้เราดดยการต้อนนรับพระบุตรของพระองค์ ฟิลิปปี 4:19, 13; จอห์น 1:11-13. III. สาม เราเรียนรูการบังเกิดใหม่ที่พระเจ้าให้เราตอนเราต้อนรับพระคริสต์ จอห์น 1:13. |