Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




จะเตรียมบทเทศนาประกาศได้อย่างไร –
ขึ้นอยู่กับความจริงและการกลับใจใหม่

HOW TO PREPARE AN EVANGELISTIC SERMON –
FORGOTTEN TRUTHS NEEDED FOR REAL CONVERSIONS
(Thai)

โดย ดร. ซี เอล ค่เกน และ ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. C. L. Cagan and Dr. R. L. Hymers, Jr.

เทศนาที่คริสตจักรแบ๊บติสต์เทเบอร์นาเคลในนครลอสแอนเจลิส
ช่วงเย็นวันของพระเป็นเจ้า 7 ตุลาคม ค.ศ. 2017
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Saturday Evening, October 14, 2017

"จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ" (2 ทิโมธี 4: 5)


อัครสาวกเปาโลกล่าวคำเหล่านี้ให้กับทิโมธีไม่นาน ก่อนที่ท่านจะถูกประหารภายใต้การปกรองจักรพรรดินีโร ทิโมธีเป็นศิษย์ของเปาโล เปาโลได้ฝึกเขาให้รู้จักทำพันธกิจ ต่อมาทิโมธีได้กลายมาเป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรในเมืองเอเฟซัส งานหลักของทิโมธีคือการเป็นศิษยาภิบาล

ทิโมธีไม่มีพันธกิจเช่นเดียวกับ "ฟิลิปผู้ประกาศข่าวประเสริฐ" (กิจการ 21: 8) ฟิลิปเดินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ฟีลิปเดินทางไปสะมาเรียและประกาศเรื่องพระคริสต์ที่นั่น (กิจการ 8: 5) ฟิลิปเข้าไปในถิ่นทุรกันดารและนำขันทีเอธิโอเปียมาพบกับพระคริสต์ (กิจการ 8: 26-39) ฟิลิปสั่งสอนในเมืองอื่น ๆด้วย (กิจการ 8:40) ฟิลิปเป็นนักประกาศที่เดินทางไปมา ส่วนทิโมธีเป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรท้องถิ่นแห่งหนึ่ง

ทำไมเปาโลบอกทิโมธีว่า "จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ"? เพราะศิษยาภิบาลทุกคนถูกเรียกให้ทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ! เปาโลได้กล่าวแก่ทิโมธีว่า "จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ" (2 ทิโมธี 4: 5) อะไรคือหลักฐานแสดงถึงพันธกิจของพระองค์? ทำงานของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ! ศิษยาภิบาลทุกคนถูกเรียกให้ทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าคุณไม่ทำ แสดงคุณไม่ได้ทำตามพระมหาบัญชาที่พระเจ้าทรงประทานให้คุณ!

ศิษยาภิบาลทุกคนเทศนาในคริสตจักรขอพวกงเขา นั่นคือการทรงเรียกของคนๆนั้น และทุกคนต้องเทศน์ในคริสตจักรของตนและสอนบ่อยๆ! ในแต่ละปีถ้าคุณเอาพระกิตติคุณออกจากชั้นเรียนระวีวาระศึกษา นั่นแสดงว่าคุณไม่ได้เป็นนักเทศน์ที่สัตย์ซื่อ ถ้าสิ่งที่อย่างที่คุณทำคือการสอนคน นั่นแสดงว่าคุณไม่ได้เป็นครูระวีฯที่สัตย์ซื่อ พันธกิจของคุณไม่ใช่แค่การสอนพระคัมภีร์เท่านั้น คุณต้องทำงานแบบผู้ประกาศข่าวประเสริฐ คุณต้องเทศนาเผยแพร่ข่าวประเสริฐและทำเป็นประจำ

การเทศนาแบบประกาศคืออะไร? การเทศนาแบบประกาศนั้นมีเป้าหมายคือสำหรับผู้ที่ยังหลงหายในฝ่ายวิญญาณที่อยู่ในคริสตจักร และคนที่มานมัสการเป็นประจำด้วย ทั้งหมดของคำเทศนาแบบประกาศข่าวประเสริฐคือกล่าวถึงความจริงเกี่ยวกับความบาปและความรอดในพระคริสต์ - เพื่อให้ผู้หลงหายได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นและหันมาวางใจพระเยซูและได้รับความรอด การเทศนาแบบการประกาศข่าวประเสริฐไม่ใช่การเทศนาแบบอธิบายพระคัมภีร์เป็นข้อๆ แต่เป็นการเลือกเอาข้อใดข้อหนึ่งเพื่อนำมาสอน และเน้นความจริงจากพระคัมภีร์ในข้อนั้น การอถถรธิบายพระคัมภีร์นั้นไม่ใช่การเทศนาประกาศ ลองศึกษาบทเทศนาของท่าน สเปอร์เจียน ทุกบทในนั้นมีที่เราเรียกว่า "expository" ในพระธรรมกิจการล้วนเป็นแบบ "expository" เราควรปฏิบัติตามตัวอย่างของพวกอัครสาวกและท่านสเปอร์เจียน เมื่อเราเทศนาการประกาศข่าวประเสริฐ!

ทุกวันนี้มีนักเทศน์ส่วนน้อยที่เทศนาในแบบประกาศข่าวประเสริฐ ส่วนใหญ่ไม่รู้ที่จะเทศน์เสียด้วยซ้ำ อเมริกาในทุกวันนี้เราไม่ค่อยได้ยินคำเทศนาแบบประกาศข่าวประเสริฐ และในต่างประเทศก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ศิษยาภิบาลสอนแต่พระคัมภีร์ให้กับคนของพวกเขา ไม่งั้งก็เทศนาเรื่องการรักษา ความเจริญรุ่งเรืองและความรู้สึกดีๆ - ไม่มีเนื้อหาที่ชี้ถึงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เลย! พวกเขาไม่เชื่อฟังตามพระคัมภีร์กล่าวว่า "จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ"

คุณสามารถพูดได้ว่า "แต่ฉันจะเตรียมคำเทศนาแบบประกาศข่าวประเสริฐได้อย่างไร? ฉันควรทำอย่างไร? "นั่นคือสิ่งที่ข้อความนี้เกี่ยวกับ ผมจะบอกคุณถึงวิธีการเทศนาประกาศพระกิตติคุณ

การเทศนาประกาศคือการเทศน์ที่เน้นพระกิติตคุณ พระกิตติที่คุณเทศนาคืออะไร? เพื่อประกาศข่าวประเสริฐ คุณต้องรู้จักพระกิตติคุณ อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า "

“ยิ่งกว่านี้ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่านคำนึงถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าเคยประกาศแก่ท่านทั้งหลาย ซึ่งท่านได้ยอมรับไว้ อันเป็นฐานซึ่งท่านทั้งหลายตั้งมั่นอยู่ เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายก่อน คือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ละทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์นั้น” (1 โครินธ์ 15:1, 3, 4)

อาจารย์เปาโลกล่าวอีกว่า

“คำนี้เป็นคำสัตย์จริงและสมควรที่คนทั้งปวงจะรับไว้ คือว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก” (1 ทิโมธี 1:15)

การเทศนาประกาศนั้นมีอยู่สองส่วน อันดับแรก ปํญหาบาปของมนุษย์ และสอง พระเยซูคริสต์กระทำอำรให้คนบาป เพื่อช่วยเหลือคนให้รอดจากบาป

I. ประการแรก คุณต้องเทศนาถึงธรรมบัญญัติ - ซึ่งบอกให้พวกเขารับรู้บาปที่อยู่ในใจ

ในส่วนแรกของการประกาศพระกิตติคุณ คุณต้องสอนธรรมบัญญัติ ทำไมคนควรเชื่อพระเยซู? เหตุผลคืออะไร? ทำไมพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน? นักเทศน์ส่วนมากบอกให้คนเชื่อพระเยซูเพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือมีความสุข หรือพบกับความรักและมิตรภาพ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน! นักเทศน์บางคนบอกให้คนเชื่อพระเยซูเพื่อพวกเขาจะได้ไปสวรรค์ แต่นั่นไม่ใช่หัวใจของพระกิตติคุณถ้าไม่ได้บอกว่าเหตุใดพวกเขาจึงต้องการพระเยซูเพื่อไปยังสวรรค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา" พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อช่วยคนบาป"

ถ้าคนไม่รู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนบาป ทำไมพวกเขาควรจะมาหาพระคริสต์? พวกเขาจะไม่มา! พวกเขาอาจอธิษฐานตามบทอธิษฐาน พวกเขาอาจยกมือขึ้น พวกเขาอาจเดินไปข้างหน้าในตอนท้ายของการเทศนา แต่พวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยกู้ชีวิต! ทำไม? เพราะพวกเขาไม่มีอะไรที่จะได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากสิ่งนั้น!

คุณจะแสดงให้คนเห็นว่าพวกเขาเป็นคนบาปได้อย่างไร? โดยการประกาศพระวจนะของพระเจ้าแก่พวกเขา พระคัมภีร์กล่าวว่า "

“เพราะฉะนั้น พระราชบัญญัติจึงเป็นครูของเราซึ่งนำเรามาถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ” (กาลาเทีย 3:24)

พระบัญญัติแสดงให้คนเห็นว่าพวกเขาเป็นคนบาป หลังจากที่พวกเขาถูกตัดสินลงโทษบาปที่อยู่ในใจของพวกเขาแล้ว จากนั้นพวกเขาก็จะมาหาพระคริสต์เอง

นักเทศน์หลายคนกลัวที่จะสอนธรรมบัญญัติ พวกเขากลัวว่านั่นจะทำให้ผู้ฟังไม่พอใจ เอียน เฮช เมอร์เรย์ กล่าวว่านี่เป็น "ปัญหาหลักในการประกาศข่าวประเสริฐ" ในหนังสือของเขา The Old Evangelicalism (Banner of Truth, 2005; อ่านหน้า 3 ถึง 37) เมอร์เรย์บอกเราอย่างถูกต้องว่าความกลัวคนที่หลงหายคือเหตุผลหลักในการประกาศข่าวประเสริฐที่ไร้ประสิทธิภาพในวันนี้

ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามอย่าเทศนาต่อต้านบาปส่วนบุคคล "ทำอย่างนี้ อย่าทำอย่างนั้น" นี่เป็นการพูดถึงบาปที่แท้จริงหรือเฉพาะเจาะจงของผู้คน แต่บาปจริงๆนั้นลึกมากกว่านั้น ภายในของพวกเขาเป็นคนบาป พวกเขามีจิตใจบาปที่สืบทอดมาจากอดัม นั่นเป็นเหตุที่ดาวิดกล่าวว่า "ข้าพระองค์สร้างความชั่วช้า มารดาตั้งครรภ์ข้าพระองค์อยู่ในความบาป" (สดุดี 51: 5) นั่นเป็นเหตุผลที่พระคัมภีร์กล่าวว่า "จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า" (เยเรมีย์ 17: 9) และพระคัมภีร์กล่าวว่า “เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า" (โรม 8: 7) นั่นคือเหตุผลที่คนทำสิ่งเลวร้ายที่พวกเขาทำ สิ่งที่พวกเขาทำมาจากสิ่งที่พวกเขาเป็น พระเยซูตรัสว่า "จากใจมนุษย์ดำเนินความคิดชั่วร้ายการล่วงประเวณี การฆาตกรรม ... สิ่งชั่วร้ายเหล่านี้มาจากภายใน" (มาระโก 7:21, 23) ไกลกว่าสิ่งที่คนอื่นทำคือสิ่งที่พวกเขาเป็น แม้ว่าจะบางคนพยายามที่จะเป็นคนดีกว่าคนอื่น เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจตัวเองได้เหมือนแพะที่ไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็นแกะได้ ไม่สามารถสอนคนให้เป็นคริสเตียนได้ พวกเขาต้องได้รับฟังการเทศนาตามที่ผมได้อธิบายไว้ในบทเทศน์นี้ พระเจ้าทรงกริ้วใจของมนุษย์และการกระทำของมนุษย์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พวกเขาทั้งหมดอยู่ใต้บาป" (โรม 3: 9) ทุกคนอยู่ภายใต้อำนาจบาปและการลงโทษก่อนการกลับใจใหม่

คุณต้องเทศนาโดยกล่าวถึงธรรมบัญญัติเพื่อให้ผู้คนเห็นและรู้สึกว่าจิตใจของพวกเขาเป็นคนบาป ตอนนี้ ทุกคนยอมรับว่าพวกเขาเป็นคนบาปไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ผมไม่ยังเคยพบใครที่อ้างว่าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ ชายคนหนึ่งพูดกับนักเทศน์ว่า "ผมคิดว่า [ผมเป็นคนบาป] แต่ผมไม่ใช่คนคนบาปไม่ดีที่คุณพูดถึง ผมเป็น ผมคิดแต่เรื่องดี ผมพยายามทำดีที่สุดเท่าที่ผมรู้" ชายคนนั้นยังไม่พร้อมที่จะรับเอาความรอด! ก่อนที่เขาจะรอดได้ เขาต้องการเห็นว่าตัวเองเป็นคนบาปที่ "ไม่ดี" นั่นเป็นเหตุผลที่คุณต้องเทศนาว่าจิตของพวกเขานั้นมีบาปอยู่ภายใน

หากไม่มีธรรมบัญญัติของพระเจ้าแล้ว คนจะไม่เห็นถึงเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงต้องการข่าวประเสริฐของพระคริสต์ นั่นเป็นเหตุผลที่คุณต้องเทศนาถึงธรรมบัญญัติก่อนที่จะเทศนาประกาศข่าวประเสริฐ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ธรรมบัญญัติเป็นครูของเรา นำเราไปสู่พระคริสต์" (กาลาเทีย 3:24) เหมือนครูในโรงเรียนกฎหมายแสดงให้คนเห็นว่าเหตุใดจึงต้องมีพระคริสต์ ดังนั้น เริ่มแรกคือธรรมญญัติ ตามด้วย ข่าวประเสริฐ สิ่งที่ลูเธอร์กล่าวนั้นถูกต้อง คุณควรศึกษาอย่างรอบคอบในสิ่งที่เขากล่าวไว้หากคุณต้องการเรียนรู้วิธีเทศนาประกาศพระกิตติคุณ ลูเธอร์กล่าวว่า "

มันมีความจำเป็น ถ้าคุณต้องการที่จะกลับใจใหม่ คุณจะเผชิญกับ [ทุกข์] นั่นคือ คุณมีจิตสำนึกที่ตื่นตระหนกและสั่นสะเทือน จากนั้นสภาพนี้จะถูกสร้างขึ้นใหม่ แล้วคุณจะต้องได้รับการปลอบโยนที่ไม่ได้มาจากผลงานของคุณเอง แต่จากพระเจ้า พระองค์ทรงส่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกนี้ เพื่อประกาศความเมตตาของพระเจ้าแก่คนบาปที่เกรงกลัว นี่เป็นหนทางของการกลับใจใหม่ ส่วนทางอื่นๆนั้นผิด (Martin Luther, Th.D., What Luther Says, Concordia Publishing House, 1994 reprint, Number 1014, page 343)

ผมบอกว่า "คุณต้องเทศนาถึงธรรมบัญญัติเพื่อให้ผู้คนเห็นและรู้สึกถึงความบาปภายในของพวกเขา" ผมไม่ได้พูดว่า "คุณต้องเทศนาถึงนรก" ใช่ พระเยซูทรงตรัสถึงนรก นรกมีจริง แต่คุณต้องระมัดระวังเมื่อคุณเทศนาถึงนรก ไม่มีใครสามารถได้รับความรอดด้วยการกลัวนรก พวกเขาอาจพยายามที่จะเป็นคนที่ดีกว่า พวกเขาอาจกลายเป็นคนที่เคร่งศาสนามากขึ้น แต่ความกลัวของนรกไม่มีวันช่วยใครให้รอดได้ พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา นรกเป็นเพียงผลจากบาปเท่านั้น ปัญหาที่แท้จริงคือความบาปไม่ใช่นรก เราพบว่าบทเทศน์ทั้งปวงที่พูดถึงนรกไม่ได้ช่วยให้คนกลับใจใหม่ได้ ส่วนแรกของการเทศนาการเผยแผ่ศาสนาควรเปิดเผยความบาปของพวกเขาไม่ใช่แค่ความผิดบาป แต่เป็นบาปในหัวใจของพวกเขา

การแสดงให้คนเห็นถึงความบาปของพวกเขา คุณต้องเทศนาต่อต้านบาปที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา แต่คุณต้องไม่จบลงเพียงแค่นั้น เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยใครให้รอดได้ ธรรมบัญยัติแค่แสดงให้คนเห็นถึงความบาปในใจเท่านั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "โดยการประพฤติตามพระบัญญัติจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นคนชอบธรรม ... เพราะโดยธรรมบัญญัติ) เป็นเพียงทำให้รับรู้เรื่องบาป" (โรม 3:20) พระคัมภีร์กล่าวว่าการช่วยคน "สิ่งที่ธรรมบัญยัติไม่สามารถทำได้" (โรม 8: 3) เฉพาะพระเยซูเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนจิตใจของคนบาปได้ เฉพาะโลหิตของพระคริสต์เท่านั้นที่สามารถล้างบาปได้ และนั่นนำเราไปสู่ประการที่สอง

II. ประการที่สอง คุณต้องเทศนาถึงพระกิตติคุณ – ซึ่งบอกผู้คนว่าพระคริสต์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากบาป

ในส่วนที่สองของบทเทศนาประกาศข่าวประเสริฐ คุณต้องกล่าวถึงพระกิตติคุณ พระกิตติคุณไม่ใช่การสอนเกี่ยวกับการเป็นคนดีกว่าเดิม พระกิตตคุณไม่ใช่ข้อความเกี่ยวกับคริสตจักรหรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับสวรรค์ พระกิตติคุณคือ "พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเราตามพระคัมภีร์" (1 โครินธ์ 15: 3) พระกิตติคุณคือ "พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกเพื่อช่วยคนบาป" (1 ทิโมธี 1:15)

พระกิตติคุณไม่ใช่ส่วนหนึ่งของธรรมบัญญัติ พระกิตตคุณแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักคนบาปมาก พระเยซูคริสต์จึงทรงสิ้นพระชนม์เพื่อคนบาป พระกิตติคุณไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากธรรมบัญญัติ เป็นความรักที่บริสุทธิ์และเป็นพระคุณ ตามที่ลูเทอร์กล่าวว่า "

พระกิตติคุณ... ไม่ได้เทศนาให้รู้ว่าเราควรทำอะไร หรือหลีกเลี่ยงอะไร ไม่ใช่ข้อกำหนด แต่ตรงข้ามกับธรรมบัญยัติมาก และกล่าวว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเพื่อคุณ พระเจ้าได้ทรงประทานให้พระบุตรของพระองค์ทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อคุณและทรงสิ้นพระชนม์เพราะเห็นแก่คุณ '... นี่คือการสอนข่าวประเสริฐ ... สิ่งที่เราได้รับจากพระเจ้า และไม่ใช่ ... สิ่งที่เราต้องทำและ มอบให้กับพระเจ้า (“How Christians Should Regard Moses,” 1525).

พระกิตติคุณประทานใจใหม่ให้คนบาป และให้อภัยบาปผ่านสิ่งที่พระคริสต์ได้ทรงทำไว้บนไม้กางเขนและที่หลุมฝังศพที่ว่างเปล่า! คนที่วางใจในพระเยซูคือ

“แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นบาปแล้ว ระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา โดยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระองค์ในการที่พระเจ้าได้ทรงอดกลั้นพระทัย เพราะทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น” (โรม 3:24, 25)

พระวจนะบอกว่า “พระเจ้า [ สำแดง] ความรักของพระองค์แก่เรา ที่นั่น ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา ... [เราเป็น] คนชอบธรรมโดยการพิสูจน์ผ่านทางพระโลหิตของพระองค์แล้ว" (โรม 5: 8, 9) พระเยซูตรัสว่า พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ในสถานที่ของคนบาปเพื่อชำระบาปของเขา ดังที่อิสยาห์กล่าวว่าว่า "เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง และพระเยโฮวาห์ทรงวางลงบนท่านซึ่งความชั่วช้าของเราทุกคน" (อิสยาห์ 53: 6) พระกิตติคุณคือพระคุณของการให้อภัยบาปโดยทางพระเยซูคริสต์

ตอนที่คุณประกาศข่าวประเสริฐอย่าเพิ่งเทศนาเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ ประกาศการคืนพระชนม์ของพระคริสต์! เป็นส่วนหนึ่งของข่าวประเสริฐ พระคริสต์ "ทรงคืนพระชนม์ในวันที่สามตามพระคัมภีร์" (1 โครินธ์ 15: 4) การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์เป็นสิ่งสำคัญ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ถ้าพระคริสต์ไม่ทรงเป็นขึ้นมาความเชื่อของคุณก็ไร้ผล ท่านยังอยู่ในบาปของท่านทั้งหลาย" (1 โครินธ์ 15:17) พระคริสต์ไม่ได้อยู่ในหลุมฝังศพของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายเพื่อให้คนบาปมีใจใหม่ (ดูอีเสเคียล 11:19; 36:26, 27)

อย่าแค่เทศนาถึงการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เท่านั้น จงเทศนาถึงพระโลหิตของพระคริสต์! โปรดจำไว้ว่าคนทั้งหลายจะรอดได้โดยผ่านทางความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ "(โรม 3:25) เรา "ถูกต้องตามพระโลหิตของพระองค์" (โรม 5: 9) และพระคัมภีร์กล่าวว่า "หากไม่มีการหลั่งโลหิต ก็ไม่มีการให้อภัย" (ฮีบรู 9:22) ผมาประหลาดใจที่นักเทศน์หลายท่านติดตาม ดร. จอห์น แมคอาร์เทอร์ ตามที่เขากล่าวว่าพระโลหิตของพระคริสต์ไม่จำเป็นสำหรับความรอดและโลหิตของพระคริสต์ไม่มีในทุกวันนี้ แต่ศิษยาภิบาลที่สัตย์ซื่อและดีนั้นยังคงเทศนาถึงพระโลหิตของพระเยซูคริสต์! ดร. มาร์ตีน ลอยด์โจนส์ พูดถูกต้อง "ในช่วงเวลาการฟื้นฟูนั้น ... [คริสตจักร] โอ้อวดถึงพระโลหิต... มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่เราสามารถเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยความกล้าหาญ] ทั้งหมดนี้คือพระโลหิตของพระเยซู" (Revival, Crossway Books, 1992 edition, หน้า 48) เทศนาเรื่องโลหิต! เทศนาถึงโลหิต! "พระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ทรงชำระเราจากบาปทั้งสิ้น" (ยอห์น 1: 7)

พระกิตติคุณเป็นของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้าในพระคริสต์ทรงให้กับเราฟรีๆ คนบาปไม่สามารถทำตัวให้ดีได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่คนบาปต้องทำ เขาต้องเชื่อพระเยซู เพียงแค่เชื่อความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์จะไม่สามารถช่วยเขาให้รอดได้ เขาต้องเชื่อในตัวของพระเยซูเอง อัครสาวกเปาโลกล่าวแก่คนรับใช้ชาวฟิลิปปีว่า "จงเชื่อใน [กรีก epi = ในนั้น ใน] พระเยซูคริสต์และเจ้าจะรอดได้" (กิจการ 16:31) ถ้าคนบาปวางใจพระเยซู เขาจะรอด และคนบาปทุกคนต้องทำ คือวางใจพระคริสต์ พระเยซูทรงทำทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ทรงประทานใจใหม่ให้กับคนบาป (เอเฟซัส 2: 5 ยอห์น 3: 6, 7) และพระองค์ทรงชำระคนบาปจากบาปทั้งสิ้นด้วยพระโลหิตของพระองค์ (ฮีบรู 9:14 วิวรณ์ 1: 5b; 5: 9b) จงเชื่อพระองค์เท่านั้น จงวางใจในพระองค์เท่านั้น จงวางใจในพระองค์เถิด พระองค์จะทรงช่วยเจ้าให้รอด พระองค์จะทรงช่วยเจ้าให้รอด พระองค์จะทรงช่วยเจ้าให้รอด" (“Only Trust Him” by John H. Stockton, 1813-1877)

ในตอนท้ายของการเทศนาของคุณ เรียกคนบาปให้เชื่อพระเยซู เชิญพวกเขาเข้าไปในห้อง เพื่อคุณจะมีเวลาพูดกับพวกเขาแบบตัวต่อตัว งานของคุณไม่ได้จบลงแค่ตอนพวกเขามาคุยกับคุณ "ก้าวไปข้างหน้า" ไม่เหมือนกับการไว้วางใจพระเยซู "ยกมือขึ้น" หรือพูดตาม "คำอธิษฐานของคนบาป" ไม่เหมือนกับการวางใจพระเยซู เชื่อพระเยซู วางใจพระเยซู – เท่านั้นไม่มีอย่างอื่น นั่นคือเหตุผลที่คุณต้องพูดกับคนรับการเชื้อเชิญของคุณหลังจากการเทศนา และนั่นคือเหตุผลที่คุณต้องฟังพวกเขาอย่างรอบคอบเช่นกัน การฟังนั้นช่วยให้คุณเรียนรู้ความคิดที่ผิดๆที่พวกเขาเชื่อ ดังนั้น คุณสามารถช่วยแก้ไขได้ พูดคุยกับแต่ละคนและพยายามนำคนๆนั้นไปสู่พระคริสต์ แต่นั่นเป็นอีกหัวข้อหนึ่ง ขอให้พระเจ้าอวยพรคุณขณะที่คุณประกาศเรื่องบาปของหัวใจและการให้อภัยผ่านทางพระโลหิตของพระคริสต์

คลิกที่นี่ไปอ่านบทเทศนาเกี่ยวกับการประกาศ ซึ่งเขีนโดย Dr. R. L. Hymers, Jr. Dr. Hymers เป็นนักเทศน์ประกาศมานานกว่าหกสิบปี คุณสามารถเรียนอย่างมากมายโดยคลิกไปอ่านที่นี่ “ชำระและสะอาด – รูปแบบของการกลับใจใหม่” จงไปดูและอ่าน เพราะสอนให้คุณว่าจะเทศนาถึงธรรมบัญญัติ และพระกิตติคุณ

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร.ไฮเมอร์ส ในแต่ละสัปดาห์ทางอินเทอร์เน็ทได้ที่
at www.sermonsfortheworld.com.
คลิกที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้


โครงร่างของ

จะเตรียมบทเทศนาประกาศได้อย่างไร –
ขึ้นอยู่กับความจริงและการกลับใจใหม่

HOW TO PREPARE AN EVANGELISTIC SERMON –
FORGOTTEN TRUTHS NEEDED FOR REAL CONVERSIONS

โดย ดร. ซี เอล ค่เกน และ ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. C. L. Cagan and Dr. R. L. Hymers, Jr.

"จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ" (2 ทิโมธี 4: 5)

(กิจการ 21:8; 8:5, 26-39, 40; 1โครินธ์ 15:1, 3, 4;
1 ทิโมธี 1:15)

I. ประการแรก คุณต้องเทศนาถึงธรรมบัญญัติ - ซึ่งบอกให้พวกเขารับรู้บาปที่อยู่ในใจ, กาลาเทีย 3:24;
สดุดี 51: 5; เยเรมีย์ 17: 9; โรม 8: 7;
มาระโก 7:21, 23; โรม 3: 9, 20; 8: 3

II. ประการที่สอง คุณต้องเทศนาถึงพระกิตติคุณ – ซึ่งบอกผู้คนว่าพระคริสต์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากบาป, 1 โครินธ์ 15: 3; 1 ทิโมธี 1:15;
โรม 3:24, 25; 5: 8, 9; อิสยาห์ 53: 6;
1 โครินธ์ 15: 4, 17; เอเสเคียล 11:19; 36:26, 27;
ฮีบรู 9:22; ยอห์น 1: 7; กิจการ 16:31; เอเฟโซส์ 2: 5;
ยอห์น 3: 6, 7; ฮีบรู 9:14; วิวรณ์ 1: 5b; 5: 9ข