เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
จะเตรียมบทเทศนาประกาศได้อย่างไร –
|
อัครสาวกเปาโลกล่าวคำเหล่านี้ให้กับทิโมธีไม่นาน ก่อนที่ท่านจะถูกประหารภายใต้การปกรองจักรพรรดินีโร ทิโมธีเป็นศิษย์ของเปาโล เปาโลได้ฝึกเขาให้รู้จักทำพันธกิจ ต่อมาทิโมธีได้กลายมาเป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรในเมืองเอเฟซัส งานหลักของทิโมธีคือการเป็นศิษยาภิบาล ทิโมธีไม่มีพันธกิจเช่นเดียวกับ "ฟิลิปผู้ประกาศข่าวประเสริฐ" (กิจการ 21: 8) ฟิลิปเดินจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง ฟีลิปเดินทางไปสะมาเรียและประกาศเรื่องพระคริสต์ที่นั่น (กิจการ 8: 5) ฟิลิปเข้าไปในถิ่นทุรกันดารและนำขันทีเอธิโอเปียมาพบกับพระคริสต์ (กิจการ 8: 26-39) ฟิลิปสั่งสอนในเมืองอื่น ๆด้วย (กิจการ 8:40) ฟิลิปเป็นนักประกาศที่เดินทางไปมา ส่วนทิโมธีเป็นศิษยาภิบาลในคริสตจักรท้องถิ่นแห่งหนึ่ง ทำไมเปาโลบอกทิโมธีว่า "จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ"? เพราะศิษยาภิบาลทุกคนถูกเรียกให้ทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ! เปาโลได้กล่าวแก่ทิโมธีว่า "จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ" (2 ทิโมธี 4: 5) อะไรคือหลักฐานแสดงถึงพันธกิจของพระองค์? ทำงานของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ! ศิษยาภิบาลทุกคนถูกเรียกให้ทำงานเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ถ้าคุณไม่ทำ แสดงคุณไม่ได้ทำตามพระมหาบัญชาที่พระเจ้าทรงประทานให้คุณ! ศิษยาภิบาลทุกคนเทศนาในคริสตจักรขอพวกงเขา นั่นคือการทรงเรียกของคนๆนั้น และทุกคนต้องเทศน์ในคริสตจักรของตนและสอนบ่อยๆ! ในแต่ละปีถ้าคุณเอาพระกิตติคุณออกจากชั้นเรียนระวีวาระศึกษา นั่นแสดงว่าคุณไม่ได้เป็นนักเทศน์ที่สัตย์ซื่อ ถ้าสิ่งที่อย่างที่คุณทำคือการสอนคน นั่นแสดงว่าคุณไม่ได้เป็นครูระวีฯที่สัตย์ซื่อ พันธกิจของคุณไม่ใช่แค่การสอนพระคัมภีร์เท่านั้น คุณต้องทำงานแบบผู้ประกาศข่าวประเสริฐ คุณต้องเทศนาเผยแพร่ข่าวประเสริฐและทำเป็นประจำ การเทศนาแบบประกาศคืออะไร? การเทศนาแบบประกาศนั้นมีเป้าหมายคือสำหรับผู้ที่ยังหลงหายในฝ่ายวิญญาณที่อยู่ในคริสตจักร และคนที่มานมัสการเป็นประจำด้วย ทั้งหมดของคำเทศนาแบบประกาศข่าวประเสริฐคือกล่าวถึงความจริงเกี่ยวกับความบาปและความรอดในพระคริสต์ - เพื่อให้ผู้หลงหายได้ยินเรื่องราวเหล่านั้นและหันมาวางใจพระเยซูและได้รับความรอด การเทศนาแบบการประกาศข่าวประเสริฐไม่ใช่การเทศนาแบบอธิบายพระคัมภีร์เป็นข้อๆ แต่เป็นการเลือกเอาข้อใดข้อหนึ่งเพื่อนำมาสอน และเน้นความจริงจากพระคัมภีร์ในข้อนั้น การอถถรธิบายพระคัมภีร์นั้นไม่ใช่การเทศนาประกาศ ลองศึกษาบทเทศนาของท่าน สเปอร์เจียน ทุกบทในนั้นมีที่เราเรียกว่า "expository" ในพระธรรมกิจการล้วนเป็นแบบ "expository" เราควรปฏิบัติตามตัวอย่างของพวกอัครสาวกและท่านสเปอร์เจียน เมื่อเราเทศนาการประกาศข่าวประเสริฐ! ทุกวันนี้มีนักเทศน์ส่วนน้อยที่เทศนาในแบบประกาศข่าวประเสริฐ ส่วนใหญ่ไม่รู้ที่จะเทศน์เสียด้วยซ้ำ อเมริกาในทุกวันนี้เราไม่ค่อยได้ยินคำเทศนาแบบประกาศข่าวประเสริฐ และในต่างประเทศก็ไม่แตกต่างกันมากนัก ศิษยาภิบาลสอนแต่พระคัมภีร์ให้กับคนของพวกเขา ไม่งั้งก็เทศนาเรื่องการรักษา ความเจริญรุ่งเรืองและความรู้สึกดีๆ - ไม่มีเนื้อหาที่ชี้ถึงพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์เลย! พวกเขาไม่เชื่อฟังตามพระคัมภีร์กล่าวว่า "จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ" คุณสามารถพูดได้ว่า "แต่ฉันจะเตรียมคำเทศนาแบบประกาศข่าวประเสริฐได้อย่างไร? ฉันควรทำอย่างไร? "นั่นคือสิ่งที่ข้อความนี้เกี่ยวกับ ผมจะบอกคุณถึงวิธีการเทศนาประกาศพระกิตติคุณ การเทศนาประกาศคือการเทศน์ที่เน้นพระกิติตคุณ พระกิตติที่คุณเทศนาคืออะไร? เพื่อประกาศข่าวประเสริฐ คุณต้องรู้จักพระกิตติคุณ อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า " “ยิ่งกว่านี้ พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้ท่านคำนึงถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าเคยประกาศแก่ท่านทั้งหลาย ซึ่งท่านได้ยอมรับไว้ อันเป็นฐานซึ่งท่านทั้งหลายตั้งมั่นอยู่ เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายก่อน คือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์ ละทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์นั้น” (1 โครินธ์ 15:1, 3, 4) อาจารย์เปาโลกล่าวอีกว่า “คำนี้เป็นคำสัตย์จริงและสมควรที่คนทั้งปวงจะรับไว้ คือว่าพระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อจะได้ทรงช่วยคนบาปให้รอด และในพวกคนบาปนั้นข้าพเจ้าเป็นตัวเอก” (1 ทิโมธี 1:15) การเทศนาประกาศนั้นมีอยู่สองส่วน อันดับแรก ปํญหาบาปของมนุษย์ และสอง พระเยซูคริสต์กระทำอำรให้คนบาป เพื่อช่วยเหลือคนให้รอดจากบาป I. ประการแรก คุณต้องเทศนาถึงธรรมบัญญัติ - ซึ่งบอกให้พวกเขารับรู้บาปที่อยู่ในใจ ในส่วนแรกของการประกาศพระกิตติคุณ คุณต้องสอนธรรมบัญญัติ ทำไมคนควรเชื่อพระเยซู? เหตุผลคืออะไร? ทำไมพระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน? นักเทศน์ส่วนมากบอกให้คนเชื่อพระเยซูเพื่อให้พวกเขาสามารถมีชีวิตที่ดีขึ้นหรือมีความสุข หรือพบกับความรักและมิตรภาพ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน! นักเทศน์บางคนบอกให้คนเชื่อพระเยซูเพื่อพวกเขาจะได้ไปสวรรค์ แต่นั่นไม่ใช่หัวใจของพระกิตติคุณถ้าไม่ได้บอกว่าเหตุใดพวกเขาจึงต้องการพระเยซูเพื่อไปยังสวรรค์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์เพราะบาปของเรา" พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเยซูคริสต์ได้เสด็จมาในโลกเพื่อช่วยคนบาป" ถ้าคนไม่รู้สึกว่าพวกเขาเป็นคนบาป ทำไมพวกเขาควรจะมาหาพระคริสต์? พวกเขาจะไม่มา! พวกเขาอาจอธิษฐานตามบทอธิษฐาน พวกเขาอาจยกมือขึ้น พวกเขาอาจเดินไปข้างหน้าในตอนท้ายของการเทศนา แต่พวกเขาจะไม่ได้รับการช่วยกู้ชีวิต! ทำไม? เพราะพวกเขาไม่มีอะไรที่จะได้รับการช่วยเหลือให้พ้นจากสิ่งนั้น! คุณจะแสดงให้คนเห็นว่าพวกเขาเป็นคนบาปได้อย่างไร? โดยการประกาศพระวจนะของพระเจ้าแก่พวกเขา พระคัมภีร์กล่าวว่า " “เพราะฉะนั้น พระราชบัญญัติจึงเป็นครูของเราซึ่งนำเรามาถึงพระคริสต์ เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อ” (กาลาเทีย 3:24) พระบัญญัติแสดงให้คนเห็นว่าพวกเขาเป็นคนบาป หลังจากที่พวกเขาถูกตัดสินลงโทษบาปที่อยู่ในใจของพวกเขาแล้ว จากนั้นพวกเขาก็จะมาหาพระคริสต์เอง นักเทศน์หลายคนกลัวที่จะสอนธรรมบัญญัติ พวกเขากลัวว่านั่นจะทำให้ผู้ฟังไม่พอใจ เอียน เฮช เมอร์เรย์ กล่าวว่านี่เป็น "ปัญหาหลักในการประกาศข่าวประเสริฐ" ในหนังสือของเขา The Old Evangelicalism (Banner of Truth, 2005; อ่านหน้า 3 ถึง 37) เมอร์เรย์บอกเราอย่างถูกต้องว่าความกลัวคนที่หลงหายคือเหตุผลหลักในการประกาศข่าวประเสริฐที่ไร้ประสิทธิภาพในวันนี้ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรก็ตามอย่าเทศนาต่อต้านบาปส่วนบุคคล "ทำอย่างนี้ อย่าทำอย่างนั้น" นี่เป็นการพูดถึงบาปที่แท้จริงหรือเฉพาะเจาะจงของผู้คน แต่บาปจริงๆนั้นลึกมากกว่านั้น ภายในของพวกเขาเป็นคนบาป พวกเขามีจิตใจบาปที่สืบทอดมาจากอดัม นั่นเป็นเหตุที่ดาวิดกล่าวว่า "ข้าพระองค์สร้างความชั่วช้า มารดาตั้งครรภ์ข้าพระองค์อยู่ในความบาป" (สดุดี 51: 5) นั่นเป็นเหตุผลที่พระคัมภีร์กล่าวว่า "จิตใจก็เป็นตัวล่อลวงเหนือกว่าสิ่งใดทั้งหมด มันเสื่อมทรามอย่างร้ายทีเดียว ผู้ใดจะรู้จักใจนั้นเล่า" (เยเรมีย์ 17: 9) และพระคัมภีร์กล่าวว่า “เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า" (โรม 8: 7) นั่นคือเหตุผลที่คนทำสิ่งเลวร้ายที่พวกเขาทำ สิ่งที่พวกเขาทำมาจากสิ่งที่พวกเขาเป็น พระเยซูตรัสว่า "จากใจมนุษย์ดำเนินความคิดชั่วร้ายการล่วงประเวณี การฆาตกรรม ... สิ่งชั่วร้ายเหล่านี้มาจากภายใน" (มาระโก 7:21, 23) ไกลกว่าสิ่งที่คนอื่นทำคือสิ่งที่พวกเขาเป็น แม้ว่าจะบางคนพยายามที่จะเป็นคนดีกว่าคนอื่น เขาก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจตัวเองได้เหมือนแพะที่ไม่สามารถเปลี่ยนตัวเองให้เป็นแกะได้ ไม่สามารถสอนคนให้เป็นคริสเตียนได้ พวกเขาต้องได้รับฟังการเทศนาตามที่ผมได้อธิบายไว้ในบทเทศน์นี้ พระเจ้าทรงกริ้วใจของมนุษย์และการกระทำของมนุษย์ พระคัมภีร์กล่าวว่า "พวกเขาทั้งหมดอยู่ใต้บาป" (โรม 3: 9) ทุกคนอยู่ภายใต้อำนาจบาปและการลงโทษก่อนการกลับใจใหม่ คุณต้องเทศนาโดยกล่าวถึงธรรมบัญญัติเพื่อให้ผู้คนเห็นและรู้สึกว่าจิตใจของพวกเขาเป็นคนบาป ตอนนี้ ทุกคนยอมรับว่าพวกเขาเป็นคนบาปไม่ว่าทางใดก็ทางหนึ่ง ผมไม่ยังเคยพบใครที่อ้างว่าเป็นคนที่สมบูรณ์แบบ ชายคนหนึ่งพูดกับนักเทศน์ว่า "ผมคิดว่า [ผมเป็นคนบาป] แต่ผมไม่ใช่คนคนบาปไม่ดีที่คุณพูดถึง ผมเป็น ผมคิดแต่เรื่องดี ผมพยายามทำดีที่สุดเท่าที่ผมรู้" ชายคนนั้นยังไม่พร้อมที่จะรับเอาความรอด! ก่อนที่เขาจะรอดได้ เขาต้องการเห็นว่าตัวเองเป็นคนบาปที่ "ไม่ดี" นั่นเป็นเหตุผลที่คุณต้องเทศนาว่าจิตของพวกเขานั้นมีบาปอยู่ภายใน หากไม่มีธรรมบัญญัติของพระเจ้าแล้ว คนจะไม่เห็นถึงเหตุผลว่าทำไมพวกเขาถึงต้องการข่าวประเสริฐของพระคริสต์ นั่นเป็นเหตุผลที่คุณต้องเทศนาถึงธรรมบัญญัติก่อนที่จะเทศนาประกาศข่าวประเสริฐ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ธรรมบัญญัติเป็นครูของเรา นำเราไปสู่พระคริสต์" (กาลาเทีย 3:24) เหมือนครูในโรงเรียนกฎหมายแสดงให้คนเห็นว่าเหตุใดจึงต้องมีพระคริสต์ ดังนั้น เริ่มแรกคือธรรมญญัติ ตามด้วย ข่าวประเสริฐ สิ่งที่ลูเธอร์กล่าวนั้นถูกต้อง คุณควรศึกษาอย่างรอบคอบในสิ่งที่เขากล่าวไว้หากคุณต้องการเรียนรู้วิธีเทศนาประกาศพระกิตติคุณ ลูเธอร์กล่าวว่า " มันมีความจำเป็น ถ้าคุณต้องการที่จะกลับใจใหม่ คุณจะเผชิญกับ [ทุกข์] นั่นคือ คุณมีจิตสำนึกที่ตื่นตระหนกและสั่นสะเทือน จากนั้นสภาพนี้จะถูกสร้างขึ้นใหม่ แล้วคุณจะต้องได้รับการปลอบโยนที่ไม่ได้มาจากผลงานของคุณเอง แต่จากพระเจ้า พระองค์ทรงส่งพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกนี้ เพื่อประกาศความเมตตาของพระเจ้าแก่คนบาปที่เกรงกลัว นี่เป็นหนทางของการกลับใจใหม่ ส่วนทางอื่นๆนั้นผิด (Martin Luther, Th.D., What Luther Says, Concordia Publishing House, 1994 reprint, Number 1014, page 343) ผมบอกว่า "คุณต้องเทศนาถึงธรรมบัญญัติเพื่อให้ผู้คนเห็นและรู้สึกถึงความบาปภายในของพวกเขา" ผมไม่ได้พูดว่า "คุณต้องเทศนาถึงนรก" ใช่ พระเยซูทรงตรัสถึงนรก นรกมีจริง แต่คุณต้องระมัดระวังเมื่อคุณเทศนาถึงนรก ไม่มีใครสามารถได้รับความรอดด้วยการกลัวนรก พวกเขาอาจพยายามที่จะเป็นคนที่ดีกว่า พวกเขาอาจกลายเป็นคนที่เคร่งศาสนามากขึ้น แต่ความกลัวของนรกไม่มีวันช่วยใครให้รอดได้ พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา นรกเป็นเพียงผลจากบาปเท่านั้น ปัญหาที่แท้จริงคือความบาปไม่ใช่นรก เราพบว่าบทเทศน์ทั้งปวงที่พูดถึงนรกไม่ได้ช่วยให้คนกลับใจใหม่ได้ ส่วนแรกของการเทศนาการเผยแผ่ศาสนาควรเปิดเผยความบาปของพวกเขาไม่ใช่แค่ความผิดบาป แต่เป็นบาปในหัวใจของพวกเขา การแสดงให้คนเห็นถึงความบาปของพวกเขา คุณต้องเทศนาต่อต้านบาปที่อยู่ในจิตใจของพวกเขา แต่คุณต้องไม่จบลงเพียงแค่นั้น เพราะธรรมบัญญัติไม่สามารถช่วยใครให้รอดได้ ธรรมบัญยัติแค่แสดงให้คนเห็นถึงความบาปในใจเท่านั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า "โดยการประพฤติตามพระบัญญัติจะไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นคนชอบธรรม ... เพราะโดยธรรมบัญญัติ) เป็นเพียงทำให้รับรู้เรื่องบาป" (โรม 3:20) พระคัมภีร์กล่าวว่าการช่วยคน "สิ่งที่ธรรมบัญยัติไม่สามารถทำได้" (โรม 8: 3) เฉพาะพระเยซูเท่านั้นที่สามารถเปลี่ยนจิตใจของคนบาปได้ เฉพาะโลหิตของพระคริสต์เท่านั้นที่สามารถล้างบาปได้ และนั่นนำเราไปสู่ประการที่สอง II. ประการที่สอง คุณต้องเทศนาถึงพระกิตติคุณ – ซึ่งบอกผู้คนว่าพระคริสต์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากบาป ในส่วนที่สองของบทเทศนาประกาศข่าวประเสริฐ คุณต้องกล่าวถึงพระกิตติคุณ พระกิตติคุณไม่ใช่การสอนเกี่ยวกับการเป็นคนดีกว่าเดิม พระกิตตคุณไม่ใช่ข้อความเกี่ยวกับคริสตจักรหรือแม้กระทั่งเกี่ยวกับสวรรค์ พระกิตติคุณคือ "พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเราตามพระคัมภีร์" (1 โครินธ์ 15: 3) พระกิตติคุณคือ "พระเยซูคริสต์เสด็จมาในโลกเพื่อช่วยคนบาป" (1 ทิโมธี 1:15) พระกิตติคุณไม่ใช่ส่วนหนึ่งของธรรมบัญญัติ พระกิตตคุณแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักคนบาปมาก พระเยซูคริสต์จึงทรงสิ้นพระชนม์เพื่อคนบาป พระกิตติคุณไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาจากธรรมบัญญัติ เป็นความรักที่บริสุทธิ์และเป็นพระคุณ ตามที่ลูเทอร์กล่าวว่า " พระกิตติคุณ... ไม่ได้เทศนาให้รู้ว่าเราควรทำอะไร หรือหลีกเลี่ยงอะไร ไม่ใช่ข้อกำหนด แต่ตรงข้ามกับธรรมบัญยัติมาก และกล่าวว่านี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำเพื่อคุณ พระเจ้าได้ทรงประทานให้พระบุตรของพระองค์ทรงบังเกิดมาเป็นมนุษย์เพื่อคุณและทรงสิ้นพระชนม์เพราะเห็นแก่คุณ '... นี่คือการสอนข่าวประเสริฐ ... สิ่งที่เราได้รับจากพระเจ้า และไม่ใช่ ... สิ่งที่เราต้องทำและ มอบให้กับพระเจ้า (“How Christians Should Regard Moses,” 1525). พระกิตติคุณประทานใจใหม่ให้คนบาป และให้อภัยบาปผ่านสิ่งที่พระคริสต์ได้ทรงทำไว้บนไม้กางเขนและที่หลุมฝังศพที่ว่างเปล่า! คนที่วางใจในพระเยซูคือ “แต่พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยไม่คิดมูลค่า โดยที่พระเยซูคริสต์ทรงไถ่เราให้พ้นบาปแล้ว ระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา โดยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ เพื่อสำแดงให้เห็นความชอบธรรมของพระองค์ในการที่พระเจ้าได้ทรงอดกลั้นพระทัย เพราะทรงยกบาปที่ได้ทำไปแล้วนั้น” (โรม 3:24, 25) พระวจนะบอกว่า “พระเจ้า [ สำแดง] ความรักของพระองค์แก่เรา ที่นั่น ในขณะที่เรายังเป็นคนบาป พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อเรา ... [เราเป็น] คนชอบธรรมโดยการพิสูจน์ผ่านทางพระโลหิตของพระองค์แล้ว" (โรม 5: 8, 9) พระเยซูตรัสว่า พระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์ในสถานที่ของคนบาปเพื่อชำระบาปของเขา ดังที่อิสยาห์กล่าวว่าว่า "เราทุกคนได้เจิ่นไปเหมือนแกะ เราทุกคนต่างได้หันไปตามทางของตนเอง และพระเยโฮวาห์ทรงวางลงบนท่านซึ่งความชั่วช้าของเราทุกคน" (อิสยาห์ 53: 6) พระกิตติคุณคือพระคุณของการให้อภัยบาปโดยทางพระเยซูคริสต์ ตอนที่คุณประกาศข่าวประเสริฐอย่าเพิ่งเทศนาเรื่องการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ ประกาศการคืนพระชนม์ของพระคริสต์! เป็นส่วนหนึ่งของข่าวประเสริฐ พระคริสต์ "ทรงคืนพระชนม์ในวันที่สามตามพระคัมภีร์" (1 โครินธ์ 15: 4) การฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์เป็นสิ่งสำคัญ พระคัมภีร์กล่าวว่า "ถ้าพระคริสต์ไม่ทรงเป็นขึ้นมาความเชื่อของคุณก็ไร้ผล ท่านยังอยู่ในบาปของท่านทั้งหลาย" (1 โครินธ์ 15:17) พระคริสต์ไม่ได้อยู่ในหลุมฝังศพของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นขึ้นมาจากความตายเพื่อให้คนบาปมีใจใหม่ (ดูอีเสเคียล 11:19; 36:26, 27) อย่าแค่เทศนาถึงการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์เท่านั้น จงเทศนาถึงพระโลหิตของพระคริสต์! โปรดจำไว้ว่าคนทั้งหลายจะรอดได้โดยผ่านทางความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ "(โรม 3:25) เรา "ถูกต้องตามพระโลหิตของพระองค์" (โรม 5: 9) และพระคัมภีร์กล่าวว่า "หากไม่มีการหลั่งโลหิต ก็ไม่มีการให้อภัย" (ฮีบรู 9:22) ผมาประหลาดใจที่นักเทศน์หลายท่านติดตาม ดร. จอห์น แมคอาร์เทอร์ ตามที่เขากล่าวว่าพระโลหิตของพระคริสต์ไม่จำเป็นสำหรับความรอดและโลหิตของพระคริสต์ไม่มีในทุกวันนี้ แต่ศิษยาภิบาลที่สัตย์ซื่อและดีนั้นยังคงเทศนาถึงพระโลหิตของพระเยซูคริสต์! ดร. มาร์ตีน ลอยด์โจนส์ พูดถูกต้อง "ในช่วงเวลาการฟื้นฟูนั้น ... [คริสตจักร] โอ้อวดถึงพระโลหิต... มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่เราสามารถเข้าไปในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยความกล้าหาญ] ทั้งหมดนี้คือพระโลหิตของพระเยซู" (Revival, Crossway Books, 1992 edition, หน้า 48) เทศนาเรื่องโลหิต! เทศนาถึงโลหิต! "พระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ทรงชำระเราจากบาปทั้งสิ้น" (ยอห์น 1: 7) พระกิตติคุณเป็นของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้าในพระคริสต์ทรงให้กับเราฟรีๆ คนบาปไม่สามารถทำตัวให้ดีได้ มีเพียงสิ่งเดียวที่คนบาปต้องทำ เขาต้องเชื่อพระเยซู เพียงแค่เชื่อความจริงเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์จะไม่สามารถช่วยเขาให้รอดได้ เขาต้องเชื่อในตัวของพระเยซูเอง อัครสาวกเปาโลกล่าวแก่คนรับใช้ชาวฟิลิปปีว่า "จงเชื่อใน [กรีก epi = ในนั้น ใน] พระเยซูคริสต์และเจ้าจะรอดได้" (กิจการ 16:31) ถ้าคนบาปวางใจพระเยซู เขาจะรอด และคนบาปทุกคนต้องทำ คือวางใจพระคริสต์ พระเยซูทรงทำทุกสิ่งทุกอย่าง พระองค์ทรงประทานใจใหม่ให้กับคนบาป (เอเฟซัส 2: 5 ยอห์น 3: 6, 7) และพระองค์ทรงชำระคนบาปจากบาปทั้งสิ้นด้วยพระโลหิตของพระองค์ (ฮีบรู 9:14 วิวรณ์ 1: 5b; 5: 9b) จงเชื่อพระองค์เท่านั้น จงวางใจในพระองค์เท่านั้น จงวางใจในพระองค์เถิด พระองค์จะทรงช่วยเจ้าให้รอด พระองค์จะทรงช่วยเจ้าให้รอด พระองค์จะทรงช่วยเจ้าให้รอด" (“Only Trust Him” by John H. Stockton, 1813-1877) ในตอนท้ายของการเทศนาของคุณ เรียกคนบาปให้เชื่อพระเยซู เชิญพวกเขาเข้าไปในห้อง เพื่อคุณจะมีเวลาพูดกับพวกเขาแบบตัวต่อตัว งานของคุณไม่ได้จบลงแค่ตอนพวกเขามาคุยกับคุณ "ก้าวไปข้างหน้า" ไม่เหมือนกับการไว้วางใจพระเยซู "ยกมือขึ้น" หรือพูดตาม "คำอธิษฐานของคนบาป" ไม่เหมือนกับการวางใจพระเยซู เชื่อพระเยซู วางใจพระเยซู – เท่านั้นไม่มีอย่างอื่น นั่นคือเหตุผลที่คุณต้องพูดกับคนรับการเชื้อเชิญของคุณหลังจากการเทศนา และนั่นคือเหตุผลที่คุณต้องฟังพวกเขาอย่างรอบคอบเช่นกัน การฟังนั้นช่วยให้คุณเรียนรู้ความคิดที่ผิดๆที่พวกเขาเชื่อ ดังนั้น คุณสามารถช่วยแก้ไขได้ พูดคุยกับแต่ละคนและพยายามนำคนๆนั้นไปสู่พระคริสต์ แต่นั่นเป็นอีกหัวข้อหนึ่ง ขอให้พระเจ้าอวยพรคุณขณะที่คุณประกาศเรื่องบาปของหัวใจและการให้อภัยผ่านทางพระโลหิตของพระคริสต์ คลิกที่นี่ไปอ่านบทเทศนาเกี่ยวกับการประกาศ ซึ่งเขีนโดย Dr. R. L. Hymers, Jr. Dr. Hymers เป็นนักเทศน์ประกาศมานานกว่าหกสิบปี คุณสามารถเรียนอย่างมากมายโดยคลิกไปอ่านที่นี่ “ชำระและสะอาด – รูปแบบของการกลับใจใหม่” จงไปดูและอ่าน เพราะสอนให้คุณว่าจะเทศนาถึงธรรมบัญญัติ และพระกิตติคุณ ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452 (จบการเทศนา) หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ |
โครงร่างของ จะเตรียมบทเทศนาประกาศได้อย่างไร – HOW TO PREPARE AN EVANGELISTIC SERMON – โดย ดร. ซี เอล ค่เกน และ ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์ "จงทำหน้าที่ของผู้ประกาศข่าวประเสริฐ" (2 ทิโมธี 4: 5) (กิจการ 21:8; 8:5, 26-39, 40; 1โครินธ์ 15:1, 3, 4;
I. ประการแรก คุณต้องเทศนาถึงธรรมบัญญัติ - ซึ่งบอกให้พวกเขารับรู้บาปที่อยู่ในใจ,
กาลาเทีย 3:24;
II. ประการที่สอง คุณต้องเทศนาถึงพระกิตติคุณ – ซึ่งบอกผู้คนว่าพระคริสต์ทรงช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากบาป, 1 โครินธ์ 15: 3; 1 ทิโมธี 1:15;
|