เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
การฟื้นฟูช่วยรักษาการปฏิเสธREVIVAL CURES REJECTION เทศนาโดยดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์ บทเทศนาที่คริสตจักรแบ๊บติสต์เทเบอร์นาเคลในนคร ลอสแอนเจลิส “ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย ด้วยว่าความกลัวทำให้ทุกข์ทรมาน และผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์” (1 ยอห์น 4:18) |
นักจิตวิทยาที่มีชื่อเสียงได้เขียนหนังสือที่แสดงถึงความกลัว ทั้งหมด 288 อย่าง เป็นความกลัวที่มนุษย์ต้องเผชิญในชีวิต - 288 อย่าง! แต่มีหกความกลัวที่พบมากที่สุด คือกลัวถูกปฏิเสธ กลัวความชรา กลัวความยากจน กลัวการเจ็บป่วยและ กลัวในการถูกวิจารณ์ นักจิตวิทยาคนนั้นกล่าวว่า "ความกลัวที่ใหญ่ที่สุดคือกลัวถูกปฏิเสธ กลัวถูกทอดทิ้งยิ่งกว่ากลัวความตาย! "คิดดู! คนยอมตายดีกว่าถูกปฏิเสธ! ดร. คริสโตเฟอร์ คาเกน รู้จักผมดีกว่าคนอื่น ท่านกล่าวว่า "ดร. ไฮเมอร์ส ไม่ได้เติบโตมาในครอบครัวที่ปกติ หากไม่เป็นเช่นนั้นท่านคงมีความเป็นอยู่ในสังคมดีกว่านี้ แต่การอยู่โดดเดี่ยวและการถูกปฏิเสธทำให้ท่านกลายเป็นคนชอบเก็บตัว – หากภายนอกไม่อาจคิดว่าเขาเป็นคนที่ชอบเก็บตัว ทั้งนี้เพราะท่านเป็นนักเทศน์ แต่จากภายใน ท่านเป็นคนที่อ่อนไหวตระหนักถึงความอ่อนแอของตัวเอง "ดร. คาร์แกนพูดถูก ผมสามารถอยู่ท่ามกลางฝูงชน และดูเหมือนมีความสุขเพลิดเพลินกับคนเหล่านั้น แต่ลึกๆภายในนั้นรู้สึกเจ็บปวดเงียบเหงาและมีภาวะความซึมเศร้า ยามที่ผมอยู่คนเดียวและไม่รู้สึกเหงา ก็ตอนที่รู้พระเจ้าทรงสถิตกับผม ทุกครั้งที่มีการฟื้นฟูในคริสตจักร ผมจะรู้สึกได้ว่านั่นเป็นเหมือนบ้านจริงๆ – ในยามที่พระเจ้าทรงสถิตอยู่ก็ทรงขจัดคงามเงียบเหงาต่างๆออกไป นั่นคือเหตุผลที่ผมเข้าใจได้ดีว่าเยาวชนรู้สึกอย่างไรเมื่อพวกเขามาที่คริสตจักร เราทำให้พวกเขารู้ว่าเรายอมรับและรักพวกเขา แต่หลังจากที่พวกเขามาสองสามครั้ง เรากลับคิดว่าพวกเขา "เข้า" มาร่วมกับเราแล้ว แต่ในขณะเดียวกันคนเหล่านั้นกลับคิดว่า เป็นคนที่ไม่มีมิตรสหายหรือส่วนเกิน ไม่เหมือนครั้งแรกที่พวกเขาเข้ามา เฉพาะผู้ที่สามารถเข้ามาและอยู่ได้ไม่คิดถงการยอมรับเท่านั้นถึงจะอยู่ได้ พวกเขาอยู่ในฐานะที่ผมเคยเป็น แม้ว่าผมรู้สึกถูกปฏิเสธ ผมก็ต้องอยู่ในคริสตจักร เพราะไม่มีที่อื่นให้ไปอีก ผมเป็นคนนอกรีต แต่อย่างน้อยก็มีคนมากมายในคริสตจักร ดังนั้นผมจึงแสร้งทำและแกล้งยอมรับแม้ว่าผมจะปวดร้าวภายในและรู้สึกว่าถูกปฏิเสธ มีคืนวันอาทิตย์หนึ่ง ในขณะที่ผมกลับบ้านความรู้สึกของการถูกปฏิเสธก้ทวีรุนแรงมากขึ้น ทำให้นึกถึงเพลง “Alone again, naturally” คนหนุ่มสาวในคริสตจักรกำลังมองหาการยอมรับและความรัก แต่พวกเขาพบเพียงความหนาวเย็นและการปฏิเสธเท่านั้น อนุชนเกือบทุกคนออกจากโบสถ์ เพราะคริสตจักรไม่ได้ให้สิ่งที่สัญญาเอาไว้ เราร้องเพลง กลับบ้านที่คริสตจักรและรับประทาน พวกเขาได้ยินเราร้องเพลงและพวกเขารู้สึกว่าถูกเหยียดหยาม พวกเขาจึงมีทัศนคติที่ไม่ดีต่อคริสตจักร พวกเขายิ้มแบบไม่เต็มใจและเยาะเย้ย เพราะพวกเขารู้ว่าเรากำลังโกหกเรื่อง "การเป็นมิตรแท้" พวกเขาไม่รู้สึกว่า "การทานอาหารด้วยกันนั้นจะสร้างมิตรแท้ได้" พวกเขาคิดว่า "คนเหล่านี้พูดถึง"คนเหล่านั้นพุดถึงการสร้างมิตรแม้ แต่พวกกลับไม่รู้สึกใดๆเลย" แม้ว่า ดร. ไฮเมอร์ส ไม่รู้สึกอย่างนั้นก้ตาม "ดังนั้นพวกเขาออกไปคบหาชาวโลกอีกครั้ง เพราะพวกเขาพบว่าคริสเตียนก็ไม่ดีไปกว่าชาวโลก อย่างน้อยคุณก้สามารถพบเพื่อนท่ามกลางคนเหล่านั้น บางสิ่งที่คุณไม่เคยพบในคริสตจักร สิ่งที่คุณพบคือความเจ้าเล่ห์และความเย็นชาและการปฏิเสธ อะไรที่ทำให้เราไม่สามารถรับความรักของคริสเตียนในคริสตจักร? กลัวว่าความรักของคริสเตียนที่แท้จริงนั้นจะถูกขโมยไป พวกเขาจะคิดอย่างไรกับฉัน? พวกเขาพูดอะไรเกี่ยวกับฉัน? เกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขารู้จักฉันจริงๆ? เกิดอะไรขึ้นถ้าพวกเขารู้ดีว่าฉันคิดอย่างไรหรือรู้สึกอย่างไร? พวกเขาจะปฏิเสธฉัน - นั่นคือสิ่งที่พวกเขาทำ! และกลัวการปฏิเสธคือความกลัวที่ใหญ่ที่สุดของทุกคนและมากกว่ากลัวความตาย! มากกว่ากลัวการเจ็บป่วย มากกว่ากลัวอื่น ๆ ในโลกกว้าง! นักกวีที่มีนามว่า โรเบริต์ ฟรอส์ท กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้อย่างดีมาก บทกวีของเขาเรียกว่า "วิวรณ์" หรือ “Revelation” เราทำให้เราเป็นสถานที่ๆแตกต่างออกไป ดังนั้น นั่นเรามาที่พระคำของเรา “ในความรักนั้นไม่มีความกลัว แต่ความรักที่สมบูรณ์นั้นก็ได้ขจัดความกลัวเสีย ด้วยว่าความกลัวทำให้ทุกข์ทรมาน และผู้ที่มีความกลัวก็ยังไม่มีความรักที่สมบูรณ์” (1 ยอห์น 4:18) เราจะเอาชนะความกลัวการถูกปฏิเสธได้อย่างไร? ด้วยความรักที่สมบูรณ์แบบ! แต่เราจะได้รับความรัก "สมบูรณ์แบบ" อย่างไร? ไม่ได้โดยการพูดว่า "ฉันรักคุณ! ฉันรักคุณ" ดูไปที่ยอห์น 3:18" ลูกเล็ก ๆ ของเราอย่าให้เรารักในคำพูดหรือด้วยลิ้น แต่ในการกระทำและในความจริง" เราจะทำอย่างนั้นได้อย่างไร? ไม่ใช่เรื่องง่าย เรากลัวที่จะทำ เราอาจถูกปฏิเสธ! แต่เราต้องทำอย่างนั้น ถ้าเราอยากจะพบกับฟื้นฟูที่แท้จริง เราต้องบังคับตัวเองให้ทำ "เราพูดตามบมกลองที่ว่าเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับความเข้าใจของเพื่อน" "ดังนั้นทุกคนที่ซ่อนตัวอยู่ด้วยกันต้องพูดและบอกเราว่าพวกเขาอยู่ที่ใด" นั่นคือการเปิดเผยที่เราต้องมีถ้าเราต้องการฟื้นฟูอย่างแท้จริง! โปรดอ่าน I ยอห์น 1: 9 และ 10 ยืนขีนในขณะที่ผมอ่าน “ถ้าเราสารภาพบาปของเรา พระองค์ทรงสัตย์ซื่อและเที่ยงธรรม ก็จะทรงโปรดยกบาปของเรา และจะทรงชำระเราให้พ้นจากการอธรรมทั้งสิ้น ถ้าเรากล่าวว่าเราไม่ได้ทำบาป ก็เท่ากับว่าเราทำให้พระองค์เป็นผู้ตรัสมุสา และพระดำรัสของพระองค์ก็มิได้อยู่ในเราทั้งหลายเลย” (1 ยอห์น 1:9, 10) พวกคุณนั่งลง การสารภาพบาปของเราเป็นกุญแจสำคัญของการฟื้นฟู ถ้าเราทำบาปต่อพระเจ้า ก็ควรจะต้องสารภาพบาปของเรากับพระองค์ได้ด้วยน้ำตา ไม่ใช่แค่คำพูด แต่ด้วยการร้องไห้เช่นเดียวกับที่พวกเขาทำในประเทศจีนเช่นเดียวกับที่พวกเขาทำในการฟื้นฟูที่แท้จริงทั้งหมด ไบรอัน เอ็ดเวิร์ด ถูกต้องที่กล่าวว่า "ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในการฟื้นฟูโดยที่ไม่มีการร้องไห้แห่งความเชื่อ" (Revival, p. 115) ท่านกล่าวอีกครั้งว่า "ไม่มีการฟื้นฟูโดยปราศจากความเชื่อที่ลึกๆ ความอึดอัดและอ่อนน้อมถ่อมตนสำนึกเกี่ยวกับบาป" (หน้า 116) "เหตุผลชองความเชื่ออย่างนั้น คือเพื่อคนจะรู้สึกถึงความบาปและเกลียดชังบาปนั้น" (หน้า 122) การสำนึกบาปคือกุญแจสำคัญในการฟื้นฟู! ถ้าเราทำบาปต่อพระเจ้า ก็ควรจะต้องสารภาพบาปของเรากับพระองค์ได้ด้วยน้ำตา และพระองค์จะทรงชำระเราจากความไม่ชอบธรรมทั้งหมดยืนและร้องเพลง “Search Me, O God.” “โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์ พวกคุณนั่งได้ เราไม่เคยมีการฟื้นฟูอย่างจริงจัง เพราะเราได้สร้าง "ตัวเราเองเป็นสถานที่ๆไกลออกจากความสว่าง และอยู่กับความไร้สาระ" (เยาะเย้ย เยาะเย้ย เยาะเย้ย เยาะเย้ยล้อเล่นถึง) แต่ประการที่สอง เราต้องศึกษาให้ลึกลงไป ไปดูยากอบ 5:16 กรุณายืนขึ้นในขณะที่ผมอ่าน “ท่านทั้งหลายจงสารภาพความผิดต่อกันและกัน และจงอธิษฐานเพื่อกันและกัน เพื่อท่านทั้งหลายจะได้หายโรค คำอธิษฐานด้วยใจร้อนรนอย่างเอาจริงเอาจังของผู้ชอบธรรมนั้นมีพลังมากทำให้เกิดผล” (ยากอบ 5:16) พวกคุณนั่งได้ แมทธิว แฮนรี่ กล่าวว่า คำสารภาพที่นี่จำเป็นต้องเป็นให้กับคริสเตียนมีกับคนอื่น ... สารภาพเป็นสิ่งที่จำเป็นเพื่อการประนีประนอมของเราเช่นกับที่แตกต่างกับเราที่พวกเขาอาจช่วยกันและกันด้วยการอธิษฐานของพวกเขาที่จะได้รับการอภัยโทษจากบาปและอำนาจต่อต้านพวกเขาพวกเขา ผู้ที่สารภาพผิดต่อกันและกันควรอธิษฐานเผื่อกันและกัน ประยุกต์ใช้จาก New Testament Commentary ให้ข้อคิดในยากอบ 5:16 ไว้ดังนี้ การมีสามัคคีธรรมอย่างแท้จริงหมายความว่าเราสารภาพบาปของเราต่อกันและกัน เมื่อเราทำเช่นนี้เราจะได้รับการรักษาทางจิตวิญญาณ เราต้องไม่ปิดบังสิ่งต่างๆจากกันและกัน คริสเตียนทุกคนใช้คำพูดที่ไม่ดีต่อคุณหรือเกี่ยวกับคุณ ดูเหมือนไม่มีใครไม่สนใจคุณ มีคนไม่เห็นคุณค่าในงานที่คุณทำเพื่อพระเจ้า มีคนทำร้ายคุณ มีคนทำร้ายความรู้สึกของคุณ เราต้องไม่ปิดบังความผิดพลาดจากกันและกัน เพื่อให้การสถิตของพระเจ้าเป็นสิ่งล้ำค่า การเก็บความเจ็บปวดและความคับข้องใจของเราทำให้เราไม่รักกันและกัน "บ่อยครั้งที่การสำนึกในความบาปอย่างลึกซึ้งนี้นำไปสู่การสารภาพเปิดเผยและเปิดเผยต่อสาธารณชน ... ซึ่งความสัมพันธ์ที่ผิด ๆเข้าสู่ [ถูก] ความถูกต้อง ... ก่อนที่พระสิริและความสุข ความเชื่อและเริ่มต้นด้วยคนของพระเจ้า ร้องไห้และความเสียใจอย่างมาก ความผิดที่เป็นความลับที่สุดจากสายตาของมนุษย์ถูกโยนออกไปและความสัมพันธ์ที่ไม่ดีที่จะต้องได้รับการซ่อมแซมอย่างเปิดเผย ถ้าเราไม่ได้เตรียมพร้อมที่จะทำเช่นนี้ เราก็ไม่ควรที่จะอธิษฐานเพื่อการฟื้นฟู การฟื้นฟูไม่ใช่เพื่อความบันเทิงของคริสตจักร แต่เป็นการชำระ ทุกวันนี้เรามีคริสตจักรที่ไม่บริสุทธิ์ เพราะคริสเตียนไม่รู้สึกในบาปและ [สารภาพต่อกันและกันด้วยน้ำตา] " (Edwards, Revival, pp. 119, 120) เราไม่สามารถมีความชื่นชมยินดีในใจของเราได้ จนกว่าเราจะสารภาพบาปของเราด้วยน้ำตา เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำ ๆ ในประเทศจีน ทำไมไม่อยู่ในคริสตจักรของเรา? เรามีความภาคภูมิใจที่จะยอมรับความผิดพลาดของเรา เรากลัวสิ่งที่คนอื่นจะคิด ปีศาจใช้ความกลัวนี้เพื่อไม่ให้เราสารภาพ ปีศาจรู้ว่าเขาสามารถทำให้เรารอดพ้นจากความสุขในการฟื้นตัวได้โดยการทำให้เรากลัวสิ่งที่คนอื่นจะพูดเกี่ยวกับเรา ปีศาจรู้ว่าทำให้เรากลัวจะทำให้คริสตจักรของเราอยู่ในความอ่อนแอและเสียเปรียบ กลัวว่าคนอื่นจะคิดว่าจะหยุดเราจากการสารภาพและการรักษาจิตใจของเรา อิสยาห์ตรัสว่า "ท่านเป็นใครเพราะท่านกลัวคนที่จะต้องตายและลืมองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงสร้างเจ้า" (อิสยาห์ 51:12, 13) พระคัมภีร์กล่าวว่า "ความกลัวของมนุษย์ทำให้เกิดบ่วงแร้ว" (สุภาษิต 29:25) กรุณายืนอ่านสุภาษิต 28:13 มันอยู่ในหน้า 692 ของ Scofield Study Bible ทุกคนอ่านออกเสียง! “บุคคลที่ซ่อนความบาปของตนจะไม่จำเริญ แต่บุคคลที่สารภาพและทิ้งความชั่วเสียจะได้ความกรุณา” (สุภาษิต 28:13) “Search Me, O God” – ร้องด้วยกัน “โอ ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงค้นดูข้าพระองค์ “Spirit of the Living God”! ร้องด้วยกัน! เราอธิษฐาน พระวิญญาณของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์จงเสด็จลงมา พวกคุณนั่งได้ เยซูตรัสว่า "ความสุขมีแด่บุคคลที่เศร้าโศก" นั่นหมายถึงคนที่สารภาพบาปและร้องไห้ บาปเป็นปัญหาใหญ่สำหรับผู้ที่ต้องการฟื้นฟูอีกครั้ง การฟื้นฟูทำให้เรานึกถึงบาปภายในที่โลกไม่เห็น การฟื้นฟูทำให้เราพบความบาปที่อยู่ภายในใจเรา ตอนที่เขาหนุนใจสมาชิกในคริสตจักรของเขาเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการฟื้นฟู อีเวน โรเบิรตส์ Evan Roberts บอกพวกเขาว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่เสด็จลงมาจนกว่าผู้คนจะเตรียมความพร้อม เขากล่าวว่า "เราต้องกำจัดความรู้สึกไม่ดีทั้งหมดออก" – ความขมขื่นทั้งหมด ความไม่ลงรอยกันทั้งหมด ความโกรธทั้งหมด ถ้าคุณรู้สึกว่าคุณไม่สามารถยกโทษให้คนอื่นได้ให้ก้มลงและอธิษฐานเพื่อให้อภัยจิตวิญญาณ - ยินดีและพร้อมที่จะไปหาคนอื่นและขอการให้อภัย - เพียงทางนี้เท่านั้นคุณถึงจะรู้สึกถึงว้าพระเจ้าทรงสถิตอยู่ เฉพาะคริสเตียนที่บริสุทธิ์เท่านั้นถึงจะสามารถรู้สึกถึงความรักและการทรงสถิตของพระเจ้า ความสุขแห่งการฟื้นฟูไม่สามารถมาถึงคริสตจักรที่ไม่บริสุทธิ์เหมือนของเราจนกว่าเราจะยอมรับความผิดบาปของเราและยอมรับมันด้วยน้ำตา เราถึงจะรู้สึกถึงความสุขในการทรงสถิตยของพระเจ้า น้องสาวของเราจะเล่นเพลง "เติมเต็มวิสัยทัศน์ของฉัน" ขณะที่เราให้โอกาสคุณที่จะอธิษฐานเพื่อสารภาพในคืนวันอาทิตย์ อธิษฐานขอให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสำแดงให้คุณและคนอื่นรู้ว่าบาปต้องได้รับการสารภาพในคืนวันอาทิตย์ ไปหากันและกันอธิษฐานแบบสองต่อสองสองหรือสามคนและอธิษฐานอย่างหนักเพื่อสารภาพในคืนวันอาทิตย์ ตอนนี้ยืนและร้องเพลง "เติมเต็มวิสัยทัศน์ของฉัน" เพลงบทที่ 17 พระผู้ช่วยให้รอดข้าฯอธิษฐานขอเติมนิมิตของข้าพระองค์ ตอนนี้ให้ร้องเพลง “I Want To Pass It On” อยู่ในหน้าที่ 18 มันใช้เวลาเพียงเพื่อจุดประกายไฟนั้นออกไป ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452 (จบการเทศนา) หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดยท่าน เบนจามิน คินเคท กรี่ฟฟี่: |