เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
เจ็ดคำตรัสสุดท้ายของ
|
ความทุกข์ทรมานทางพระวรกายของพระเยซูรุนแรงอย่างมาก เริ่มต้นด้วยการถูกเฆี่ยนด้วยแส้บนลงบนแผ่นหลังของพระองค์ ที่ผ่านมามีหลายคนเสียชีวิตด้วยการเฆี่ยนเช่นนี้ จากนั้นพวกเขาก็สานมงกุฎหนามสวมลงบนศีรษะของพระองค์ เหมือนถูกเข็มแทงจนเลือดไหลเต็มพระพักต์ของพระองค์ พวกเขายังตบพระพักต์ของพระองค์และดึงเคราของพระองค์ออกด้วยมือของพวกเขาเอง แล้วพวกเขาก็ให้พระองค์แบกกางเขนของพระองค์เดินตามทางในกรุงเยรูซาเล็มไปยังสถานที่เรียกว่าโกระโกธา สุดท้ายพวกเขาก็เอาตะปูขนาดใหญ่ตอกที่ผ่านเท้าและฝ่าพระหัตถ์ของพระองค์ พระองค์ถูกตรึงที่กางเขนอย่างที่พระคัมภีร์กล่าวว่า: “ด้วยคนเป็นอันมากตะลึงเพราะท่านฉันใด [หน้าตาของท่านเสียโฉม]มากกว่ามนุษย์คนใด และรูปร่างของท่านก็ [เสียโฉมมากกว่าบุตรทั้งหลายของมนุษย์คนใด]” (อิสยาห์ 52:14) เราคุ้นเคยกับการดูภาพยนตร์ฮอลลีวู้ดที่มีนักแสดงมากมายแสดงบทบาทของพระเยซู อย่างไรก็ตามภาพยนตร์เหล่านี้ไม่เคยนำเสนอถึงความโหดเหี้ยมของการถูกตรึงที่กางเขนเลยแม้แต่น้อย สิ่งที่เราเห็นในภาพยนตร์เหล่านั้นไม่สามารถเทียบได้กับสิ่งที่พระเยซูทรงประสบจริงบนไม้กางเขน จนกระทั่งภาพยนตร์เรื่อง "เดอะเพชั่นออฟคริสต์" หรือ “The passion of Christ” ถึงนำเสนอเรื่องราวแห่งความน่ากลัวโหดเหี่ยมที่สอดคล้องกับความเป็นจริงที่พระเยซูทรงเผชิญ รอยแผลบนหนังศีรษะของพระองค์ ทำให้มีเลือดไหลลงเต็มพระพักต์และลำคอของพระองค์ ตาของพระองค์ถูกตีจนบวมเกือบปิด ดั้งจมูกของพระองค์หักและโหนกแก้มแตก ริมฝีปากเต็มด้วยเลือดและฉีกขาด ขณะนั้นเป็นการยากที่จะจำพระองค์ได้ แต่นั่นคือทุกสิ่งที่เป็นไปตามผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ที่ได้ทำนายถึงการทนทุกข์ของพระเยซู "ด้วยคนเป็นอันมากตะลึงเพราะท่านฉันใด หน้าตาของท่านเสียโฉมมากกว่ามนุษย์คนใด" (อิสยาห์ 52:14) การเยาะเย้ยและการดูหมิ่นเหล่านี้ก็ถูกทำนายโดยผู้เผยพระวจนะ “ข้าพเจ้าหันหลังให้แก่ผู้ที่โบยตีข้าพเจ้า และหันแก้มให้แก่คนที่ดึงเคราข้าพเจ้าออก ข้าพเจ้าไม่หนีหน้าจากความอายแก่การถ่มน้ำลายรด” (อิสยาห์ 50:6) นี่นำเรามาที่ไม้กางเขน พระเยซูถูกตรึง โลหิตไหล ในขณะที่ถูกแขวนอยู่บนต้นไม้นั้นพระองค์ทรงให้เจ็ดคำตรัสสั้น ๆ ผมต้องการให้เรามาคิดเกี่ยวกับเจ็ดคำพูดสุดท้ายของพระเยซูบนไม้กางเขน I. คำแรก - การอภัย “เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนที่นั่น พร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง และข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง ฝ่ายพระเยซูจึงตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดอภัยโทษพวกเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” (ลูกา 23: 33-34) นั่นคือเหตุผลที่พระเยซูไปที่กางเขน - ให้อภัยความบาปของเรา ก่อนหน้าไปที่กรุงเยรูซาเล็ม พระองค์รู้มานานแล้วว่าตัวเองจะถูกฆ่าตาย พันธสัญญาใหม่สอนว่าพระองค์ทรงจงใจปล่อยให้ตัวเองถูกตรึงที่กางเขนเพื่อชดใช้ความผิดบาปของคุณ “ด้วยว่า พระคริสต์เช่นกันก็ได้ทนทุกข์ครั้งเดียวเท่านั้น เพราะความผิดบาป คือพระองค์ผู้ชอบธรรมเพื่อผู้ไม่ชอบธรรม เพื่อพระองค์จะได้ทรงนำเราทั้งหลายไปถึงพระเจ้า” (1 เปโตร 3:18) “พระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์” (1 โครินธ์ 15:3) ในขณะที่พระเยซูถูกแขวนอยู่บนไม้กางเขน พระองค์ก็ทรงอธิษฐานว่า "พระบิดาโปรดทรงยกโทษให้พวกเขา" พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานนี้ ทุกคนที่วางใจในพระเยซูอย่างหมดสิ้นจะได้รับการให้อภัย การสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนก็เพื่อชดใช้บาปของท่าน พระโลหิตของพระองค์ทรงล้างบาปของคุณออกไป II. คำที่สอง -ความรอด มีโจรสองคนก็ถูกตรืงที่กางเขน หนึ่งแขวนอยู่ด้านซ้ายและอีกคนอยู่ด้านขวาของพระเยซู “ฝ่ายคนหนึ่งในผู้ร้ายที่ถูกตรึงไว้จึงพูดหยาบช้าต่อพระองค์ว่า าท่านเป็นพระคริสต์ จงช่วยตัวเองกับเราให้รอดเถิด แต่อีกคนหนึ่งห้ามปรามเขาว่า เจ้าก็ไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ เพราะเจ้าเป็นคนถูกโทษเหมือนกัน และเราก็สมกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับสมกับการที่เราได้กระทำ แต่ท่านผู้นี้หาได้กระทำผิดประการใดไม่ แล้วคนนั้นจึงทูลพระเยซูว่า พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในอาณาจักรของพระองค์ ฝ่ายพระเยซูทรงตอบเขาว่า เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” (ลูกา 23:39-43) การกลับใจใหม่ของโจรคนที่สองน่าสนใจมาก แสดงให้เห็นถึง 1. ความรอดไม่ได้มาโดยการบัพติศมาหรือเข้าเป็นสมาชิกในคริสตจักร - โจรคนนี้ไม่ได้ทำในสิ่งเหล่านี้ 2. ความรอดไม่ได้มาโดยความรู้สึกที่ดี - เพราะโจรคนนี้มีความรู้สึกที่แย่ - เขาถูกตรึงที่กางเขนในฐานะคนบาป 3. ความรอดไม่ได้มาโดยการก้าวออกไปข้างหน้าหรือยกมือของคุณ - เพราะมือและเท้าของโจรถูกตอกที่กางเขนไม่อาจยกได้ 4. ความรอดไม่ได้มาด้วย "การขอให้พระเยซูเข้าไปในใจของคุณ" โจรคนนี้อาจจะประหลาดใจถ้ามีคนบอกให้เขาทำอย่างนั้น! 5. ความรอดไม่ได้มาโดยพูดตาม "คำอธิษฐานของคนบาป" โจรคนนี้ไม่ได้อธิษฐานตามนี้ เขาได้แต่ขอร้องพระเยซูให้ระลึกถึงเขา 6. ความรอดไม่ได้มาโดยการเปลี่ยนวิถีชีวิตของคุณ โจรคนนี้ไม่มีเวลาที่จะทำอย่างนั้น โจรคนนี้รอดเช่นเดียวกับที่คุณรอด: “เชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย” (กิจการ 16:31) เชื่อในพระเยซูหมดทั้งใจ แล้วพระองค์จะทรงช่วยคุณให้รอดโดยพระโลหิตและความชอบธรรมของพระองค์เช่นเดียวกันกับที่ทรงช่วยโจรที่กางเขน III. คำที่สาม - ความรัก ”ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้น มีมารดาของพระองค์กับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอฟัส และมารีย์ชาวมักดาลา ฉะนั้นเมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้ พระองค์ตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า จงดูมารดาของท่านเถิด และตั้งแต่เวลานั้นมา สาวกคนนั้นก็รับนางมาอยู่ในบ้านของตน (ยอห์น 19:25-27) พระเยซูทรงบอกให้ยอห์นดูแลมารดาของพระองค์ ชีวิตคริสเตียนหลังจากที่คุณรอดแล้วยังมีพันธกิจอีกหลายอย่างที่ต้องทำ คุณจำเป็นต้องดูแล พระคริสต์ทรงมอบมารดาสุดที่รักของพระองค์ให้กับอัครสาวกยอห์น พระองค์ทรงตรัสให้คุณดูแลคริสตจักรท้องถิ่น ไม่มีใครสามารถมีชีวิตคริสเตียนได้โดยที่ไม่ต้องดูแลและรักคริสตจักรท้องถิ่น นั่นคือความจริงที่ผู้เชื่อสมัยนี้มักจะลืมกัน “ทั้งได้สรรเสริญพระเจ้าและคนทั้งปวงก็ชอบใจ ฝ่ายองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงโปรดให้ผู้ที่กำลังจะรอด” (กิจการ 2:47) IV. คำที่สี่ - ความเจ็บปวด “แล้วก็บังเกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวัน จนถึงบ่ายสามโมง ครั้นประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า “เอลี เอลี ลามาสะบักธานี” แปลว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (มัทธิว 27:45-46) การกรรแสงนี้แสดงถึงความเจ็บปวด แสดงให้เห็นถึงความจริงของพระเจ้าแห่งตรีเอกานุภาพ พระเจ้าพระบิดาหันไปจากพระบุตร ในขณะที่พระเจ้าพระบุตรทรงแบกบาปของคุณบนไม้กางเขน พระคัมภีร์กล่าวว่า: “ด้วยเหตุว่า มีพระเจ้าองค์เดียวและมีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์” (1 ทิโมธี 2:5) V. คำที่สี่ - ความทุกข์ทรมาน “หลังจากนั้นพระเยซูทรงทราบว่า ทุกสิ่งสำเร็จแล้ว เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จจึงตรัสว่า เรากระหายน้ำ มีภาชนะใส่น้ำองุ่นเปรี้ยววางอยู่ที่นั่น เขาจึงเอาฟองน้ำ ชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวใส่ปลายไม้หุสบชูขึ้นให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์” (ยอห์น 19:28-29) ข้อนี้แสดงให้เราเห็นถึงความทุกข์ทรมานของพระเยซูที่ต้องเผชิญและชดใช้ความผิดบาปของเรา: “ท่านถูกบาดเจ็บเพราะความละเมิดของเราทั้งหลาย ท่านฟกช้ำเพราะความชั่วช้าของเรา” (Isaiah 53:5). VI. คำที่หก - การชดใช้ “เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์ตรัสว่า สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) ข้อที่ผ่านมาผมได้นำคำพูดของบาทหลวงคาทอลิกมาพูด แต่ในคำที่หกนี้เป็นของคริสตจักรโปรเตสแตนต์เช่นเดียวกับความเชื่อของแบ็บติสต์ที่ผ่านลงมาสู่หลายยุคหลายสมัย พระเยซูตรัสว่า "สำเร็จแล้ว" พระเยซูถูกต้องหรือไม่ที่ทรงตรัสว่า "สำเร็จแล้ว"? คริสตจักรคาทอลิกกล่าวว่า "ไม่ใช่อย่างนั้น" พวกเขาบอกว่าพระองค์จะต้องถูกตรึงกางเขน แล้วจะส่งผู้บังเกิดมาใหม่ แต่พระคัมภีร์กลับไม่กล่าวว่าอย่างนั้น “เราทั้งหลายได้รับการทรงชำระให้บริสุทธิ์ โดยการถวายพระกายของพระเยซูคริสต์เพียงครั้งเดียวเท่านั้น” (ฮีบรู 10:10) “เพราะว่าโดยการทรงถวายบูชาหนเดียว พระองค์ได้ทรงกระทำให้คนทั้งหลายที่ถูกชำระแล้วถึงที่สำเร็จเป็นนิตย์” (ฮีบรู 10:14) “ฝ่ายปุโรหิตทุกคนก็ยืนปฏิบัติอยู่ทุกวัน ๆ และนำเอาเครื่องบูชาอย่างเดียวกันมาถวายเนือง ๆ เครื่องบูชานั้นจะยกเอาความบาปไปเสียไม่ได้เลย ฝ่ายพระองค์นี้ ครั้นทรงถวายเครื่องบูชาเพราะความบาปเพียงหนเดียวซึ่งใช้ได้เป็นนิตย์ ก็เสด็จประทับเบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้า” (ฮีบรู 10:11-12) พระเยซูทรงชดใช้บาปของเราและครั้งเดียวที่กางเขน พระเยซูชดใช้ทั้งหมด VII. คำที่เจ็ด – ยอมจำนนต่อพระเจ้า “พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์ ตรัสอย่างนั้นแล้ว จึงทรงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป” (ลูกา 23:46) คำตรัสสุดท้ายของพระเยซูแสดงให้เห็นถึงการยอมจำนนทั้งสิ้นต่อพระเจ้าพระบิดา นักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างสเปอร์เจียน ชี้ว่านี่สะท้อนให้เห็นคำบันทึกแรกของพระเยซู "Wist [รู้] เที่ยวหาเราทำไม ท่านไม่ทราบหรือว่า เราต้องกระทำพระราชกิจแห่งพระบิดาของเรา”?" (ลูกา 2:49 จากต้นจนจบพระเยซูทรงกระทำตามนำพระทัยของพระบิดา หนึ่งในนายร้อยผู้ซึ่งตรึงพระองค์ที่กางเขนกำลังฟังเจ็ดคำพูดนี้ เขาเคยตรึงคนที่กางเขนมาจำนวนมากมาย แต่เขาไม่เคยเห็นคนตายในแบบที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ เทศนาบทเทศน์ที่ดียอดเยี่ยมเหมือนเป็นสายเลือดที่ไหลออกไป “ฝ่ายนายร้อยเมื่อเห็นเหตุการณ์ซึ่งบังเกิดขึ้นนั้น จึงสรรเสริญพระเจ้าว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นคนชอบธรรม” (ลูกา 23:47) นายร้อยคนนั้นนึกถึงพระเยซูได้ขึ้นมาอีกจากนั้นเขาก็กล่าวว่า “แท้จริงท่านผู้นี้เป็นพระบุตรของพระเจ้า” (มาระโก 15:39) พระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า! พระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย - พระวรกายของพระองค์ทรงดำรงอยู่ - หลังจากความตาย พระองค์ได้เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ ประทับอยู่เบื้องหระหัตถ์ขวาของพระเจ้า "เชื่อในพระเยซูคริสต์และท่านจะรอด" (กิจการ 16:31) มีบางคนคิดว่าเชื่อพระเจ้าก็พอ แต่พวกเขาผิด ไม่มีใครรอดโดยเชื่อในพระเจ้าเท่านั้น พระเยซูเองตรัสว่า "ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้ นอกจากทางเรา" (ยอห์น 14: 6) ดร. เอดับบลิว โทเซอร์ กล่าวว่า "พระคริสต์ไม่ใช่หนึ่งในหลายๆทางที่จะเข้าใกล้พระเจ้าได้ หรือพระองค์ทรงเป็นทางที่ดีที่สุดในหลายๆทาง แต่พระองค์ทรงเป็นทางเดียวเท่านั้น" (That Incredible Christian, p. 135) ถ้าคุณไม่วางใจในพระเยซู คุณจะไม่รอด ไม่ว่าคุณจะเป็นคน "ดี" มากเพียงใดก็ตาม ไม่ว่าคุณจะไปโบสถ์บ่อยแค่ไหน หรืออ่านพระคัมภีร์ คุณยังไม่รอดหากปราศจากการไว้วางใจในพระเยซู "ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได่ นอกจากทางเรา" พระเยซูผู้เดียวเท่านั้นที่ทรงชำระล้างบาปของคุณได้โดยโลหิตของพระองค์ อาเมน หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452 (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดยท่าน อาเบล บรูดโฮมมี: มาระโก 15:24-34. |
โครงร่างของ จ็ดคำตรัสสุดท้ายของ THE SEVEN LAST WORDS โดย ดร. ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนที่นั่น พร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง และข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง” (ลูกา 23:33). (อิสยาห 52:14; 50:6) I. คำที่หนึ่ง – การให้อภัย ลูกา 23:33-34; 1 เปโตร 3:18; 1 โครินธ์ 15:3. II. คำที่สอง –ความรอด ลูกา 23:39-43; กิจการ 16:31. III. คำที่สาม –ความรัก ยอห์น 19:25-27; กิจการ 2:47. IV. คำที่สี่ – ความเจ็บปวด มัทธิว 27:45-46; 1 ทิโมธี 2:5. V. คำที่ห้า – การทนทุกข์ ยอห์น 19:28-29; VI. คำที่หก - การชดใช้ ยอห์น 19:30; ฮีบรู 10:10;
VII. คำที่เจ็ด - การยอมจำนนต่อพระเจ้า ลูกา 23:46;
|