Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




ตรรกะแห่งไฟ!

LOGIC ON FIRE!
(Thai)

โดย ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

บทเทศนาเทศน์ที่คริสตจักรแบ๊บติสต์ในนคร ลอสแอนเจลิส
ในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าที่ 11 ตุลาคม ค.ศ. 2015
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord's Day Morning, October 11, 2015

“ข้าพเจ้าตอบท่านว่า “ท่านเจ้าข้า ท่านก็ทราบอยู่แล้ว” ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า “คนเหล่านี้คือคนที่มาจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของเขาในพระโลหิตของพระเมษโปดกจนเสื้อผ้านั้นขาวสะอาด” (วิวรณ์ 7:14)


ดร. ดับบริว เอ คริสเวลล์ เป็นศิษยาภิบาลที่มีชื่อเสียงและรับใช้ที่คริสตจักรแบ๊บติสที่หนึ่งที่เมืองดัลลัส รัฐ เท็กซัส และเทศนาที่นั่นมานานกว่าหกสิบปี ตอนการประชุมประจำปีของคริสตจักรแบ๊บติส ตอนนั้นท่านมีอายุแปดสิบ ท่านเคยทำนายว่าอเมริกาและตะวันตกจะเผชิญกับความหมายนะ ดร. คริสเวลล์ กล่าวว่า

เราละเลยคุณธรรม...ไม่ว่ารัฐบาลหรือนักการเมืองต่างก็ทำร้ายผูคน พูดโกโหก และทำตัวเหมือนโจรที่ไร้คุณธรรม...พวกคณาจารย์ [ในสถาบันของเรา] สอนว่าทุกคนต่างมีอิสระในเรื่องเพศสัมพันธ์ นักเทศน์บนธรรมาส์ก็ ละเลย [ไม่ปกป้อง] พระคำของพระเจ้า ปล่อยให้วิจารณกันอย่างเสียๆหายๆ เราทำอย่างนั้นในมหาวิทยาลัยและพระคริสตธรรมของ [แบ๊บติสต์ใต้] ประเทศของเรายอมให้มีการฉายหนังที่ใช้กำลัง ไร้คุณธรรม เปิดเพลงไร้สาระผ่านทางทีวีและสถานีวิทยุ คนยุคนี้และยุคที่กำลังจะมานี้ยึดถือแต่วัตถุนิยม และแสวงหาแต่ความปราถนาของตัวเอง...คนในประเทศ [โลกตะวันตก] ละทิ้งคริสเตียนเฉลี่ยวันละ 125,000 คน (W A. Criswell, Ph.D., Great Doctrines of the Bible, volume 8, Zondervan Publishing House, 1989, pp. 148, 147)

นับตั้งแต่ที่ ดร. คริสเวลล์ ทำนายเอาไว้ เราก็พบว่าคริสตจักรแบ๊บติสต์ใต้กำลังเย็นชาเหมือนตายแล้ว สมาชิกของพวกเขาลดลงทุกวัน ปีที่แล้วสมาชิกของแบ๊บติสต์ใต้หนีจากคริสตจักรไปประมาณ 200,000 คน และไม่เคยคิดที่จะกลับมาอีก และแต่ละปีนั้นคริสตจักรแบ๊บติสต์ปรมาณ 1,000 แห่งตองปิดตัวลง และปีที่แล้วคริสตจักรแบ๊ลติสต์ได้เรียกมิชั่นนารีในต่างประเทศให้กลับบ้าน นั่นแสดงว่ามิชั่นนารีของแบ๊บติสต์ลดลงเรื่อยๆ เพราะว่าไร้งบประมาณสนับสนุน นอกจากนี้คริสตจักรแบ๊บติสต์อิสระอย่างเราก็ไม่มีอะไรดีไปกว่านั้นด้วย ศิษยาภิบาลคนหนึ่งของอะเซนบริส์ของพระเจ้าบอกผมว่าองค์กรของพวกเขาก็แถบไม่ได้ทำอะไรเลย องค์กรหรือคณะอื่นก็ยิ่งกว่านั้น ในมือของผมมีหนังสืออยู่สองเล่มที่กล่าวถึงเรื่องนี้ เล่มหนึ่งชื่อว่า The Great Evangelical Recession: 6 Factors That Will Crash the American Church (John S. Dickerson, Baker Books, 2013) และอีกเล่มหนึ่งชื่อ The Coming Evangelical Crisis (John H. Armstrong, general editor, Moody Press, 1996) หนังสือทุกเล่มที่ผมอ่าน และทุกหัวข้อที่ผมอ่าน ต่างก็ชี้ให้เห็นถึงความหายนะของคริสตจักรอีเวนเจลิคอล์ เด็กๆที่โตมาในคริสตจักรต่างก็หนีไปหมด นอกจากนี้คริสตจักรก็ไม่สามารถนำพวกวัยรุ่นจากข้างนอกเข้ามาในคริสตจักร จอห์น ดิสเกอร์สัน กล่าวว่า “พวกเราล้มเหลวในการสร้างสาวกใหม่ ในความคิดของพวกเขาสาวกที่เรามีก็ไม่ได้สร้างขึ้นมาจากสมาชิกในคริสตจักร หรือการโอนย้าย” (ibid., p. 107, 108) หลังจากนั้นท่านก็เสนอหลายอย่างเพื่อแก้ไขปัญหานี้ ผมเองก็เคยนำไปใช้ทั้งหมด แต่ผมรู้ว่ามันไม่ได้ผล ทำไมล่ะ? เพราะว่าวิธีแก้เหล่านั้นไม่ได้เจาะลึกลงไปที่รากเหง้าของปัญหา

ยกผมเองมาเป็นตัวอย่าง ตอนที่ยังเป็นวัยรุ่นนั้น ผมเป็นเหมือนผลไม้ที่สุกหง่อนพร้อมที่จะเก็บมากิน นั่นคือผมพร้อมที่จะไปคริสตจักร เพราะผมเองมาจากครอบครัวที่แตกแยก ผมไม่ได้อยู่กับพ่อและแม่ ผมจึงอยากจะเป็นส่วนหนึ่งในคริสตจักร แต่คริสตจักรในกลุ่มคน [ผิวขาว] ในเมือง ฮันติงตัน พาร์ก รัฐแคริฟอร์เนีย ไม่เคยสนใจคนอย่างผม ทำไม? มีเหตุผลหลายอย่าง – การนมัสการของเขาเตรียมไว้สำหรับพวกผู้หญิงวัยกลางคนที่ฝักฝ่ายแต่เนื้อหนัง ไม่ใช่สำหรับวัยรุ่นที่หลงหาย คนในคริสตจักรจึงไม่สนใจผม แม้แต่ศิษยาภิบาลเองก็ไม่สนใจผม ตอนนั้นผมเป็นวัยรุ่นที่ไม่มีเงินทองและเติบโตในสังคมที่เลวร้าย อีกอย่างหนึ่งคือการเทศนา ตอนนั้นผมมีศิษยาภิบาลอยู่สามคน ผมพยายามฟังคำเทศนาของพวกเขา แต่กับผมแล้วกลับจำคำเทศนาคนเหล่านั้นไม่ได้เลย สองคนแรกนั้นผมจำไม่ได้อะไรเลย และคนที่สามก็ไม่มีสาระอะไรสำคัญเลย คำเทศนาของพวกเขาไม่พูดอะไรให้กับผมเลย ไม่ได้ดลใจอะไรเลย ไม่ได้ท้าท้ายผม พวกเขาไม่ทำให้ผมรู้ถึงความบาป

นั่นคือรากเหง้าของปัญหา – ที่ต้องเทศนา! หากเราไม่มีการเปลี่ยนคำเทศนาก็จะไม่มีความหวังเกิดขึ้นเลย – ไม่มีเลย – ให้กับคริสตจักรของเรา! ผมพึ่งอ่านบทความที่เขียนในเดือนกุมภาพันธ์ ปี 2014 นั่นคือวรสารที่ชื่อว่า Banner of Truth magazine เขียนโดย จอห์น เจ เมอร์เรย์ ท่านได้ให้เจ็ดวิธี “เงื่อนไขที่เราต้องได้รับการปลดปล่อย” ผมเห็นด้วยกับเขา แต่ผมไม่เห็นด้วยจากการลำดับข้อเหล่านั้น เพราะท่านเอา “พลังของการเทศนา” ไปไว้ในข้อที่เจ็ดหรือสุดท้าย ที่ไม่เห็นด้วยผมคิดว่าควรเปลี่ยนข้อนี้มาเป็นข้อแรก ท่านกล่าวว่าเราต้องละทิ้งหรือหลีกหนี “การเทศนาที่ไร้พลัง” ท่านกล่าว่าที่เป็นอย่างนั้นเพราะ “การเทศนาไม่ได้รับความนิยมในทุกวันนี้” ทำไมถึงไม่ได้รับความนิยม? นั่นเป็นเพราะว่าน่าเบื่อ กล่าวง่ายแบบนี้แหละ! ท่านกล่าวว่า “คนหิวกระหายพระคำของพระเจ้าเหลือเกิน” ทำไมต้องหิวกระหายพระคำของพระเจ้าเหลือเกิน? นั่นเป็นเพราะน่าเบื่อ ง่ายๆอย่างนี้แหละ ทำไมการเทศนาในสมัยนี้ถึงน่าเบื่อ? มีอยู่หลายเหตุผลด้วยกัน

ประการแรก นักเทศน์หลายคนไม่ได้ถูก “เรียกให้เทศนา” เราสามารถพูดได้ว่าไม่ควรที่จะ “ถูกเรียกให้เทศนาอีกต่อไป” นอกจากนี้นักเทศน์บางคนก็ยังไม่ได้กลับใจใหม่ คนที่ไม่ได้กลับใจใหม่เช่นนี้ไม่ใช่คนที่ถูกเรียกให้เทศนา คนเหล่านั้นต่างก็แยกไม่ออกถึงความแตกต่างระหว่างคำว่าการสอนและการเทศนา! ดร. ทิโมธี ลิน เคยเป็นศิษยาภิบาลของผมมาหลายปี ท่านกล่าวว่าอาจารย์ที่สอนในพระคริสตธรรมกล่าวว่า “การเทศนาและการสอนนั้นเหมือนกัน” ดร. ลิน กล่าวว่า “หากอาจารย์ในพระคริสตธรรมยังไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างการสอนและการเทศนา แล้วนักศึกษาล่ะ? คำตอบที่ชัดเจนคือ “ไม่’” (The Secret of Church Growth, p. 20)

ลองมาฟัง จอห์น แมคอาร์เธอร์ ท่านเทศนาหรือเปล่า? ลองมาฟัง จอห์น ไพเพอร์ ท่านเทศนาหรือเปล่า? ฟัง เดวิด เยเรมีย์หรือพอล ชาปแปลล์ หรือบิล ไฮเบลส์ หรือ ริก วอร์เรน หรือ ชาร์ลส์ สแตนเลย์ พวกเขาเทศนาหรือเปล่า? พวกเขารู้ว่าการเทศนาคืออะไรหรือไม่? พวกบางคนเป็นคนดี แต่พวกเขาไม่รู้ว่าการเทศนาคืออะไร ดร. มาร์ติน ลอยด์โจนส์ กล่าวว่า “อะไรคือตรรกะของการเทศนา? ตรรกะแห่งไฟ! การเทศนาคือศาสตร์ของคนที่มีไฟ” (Preaching and Preachers, p. 97) คนที่ผมกล่าวมาก่อนหน้านั้นมีไฟนี้หรือไม่? คนเหล่านั้นเคยฟังนักเทศน์ที่มีไฟหรือไม่? มีนักเทศน์ที่พูดทางวิทยุและท่านเสียชีวิตเมื่อ 30 ปี ก่อน! ท่านเทศน์เหมือน โอลิเวอร์ บี กรีนเวย์ ในทุกวันนี้หรือไม่? ใช่ การเทศนาคือศาสตร์ที่ว่าด้วยคนที่มีไฟ” – เช่นนักเทศน์อย่าง ลูเธอร์ ไวท์ฟิวล์ คนอย่างโฮเวล แฮร์ริส แดเนียล โรว์แลนด์ หรืออย่าง ดับบริว พี นิโคลสัน หรือ จอห์น ซัน หรือท่าน สเปอร์เจียน และ แมคเชนย์ และ จอห์น เซนนิก์ส หรือ จอห์น น็อกซ์

เหมือนอย่างที่ นิตยสาร Banner of Truth magazine ได้เขียนถึง จอห์น น็อกซ์ (pp. 29, 30) นิตยสารนี้กล่าวว่า น็อกซ์ “เทศนาด้วยพลัง” “บทเทศนาที่ลงมาจากสวรรค์” นิตยสารนี้สรุปว่า “หากคริสตจักรต้องการเห็นการปฏิรูปอีกครั้งในยุคของเรานี้ เราต้องมีนักเทศน์ที่เต็มด้วยไฟเช่นนี้...เหมือนอย่างน็อกซ์ในสมัยก่อน พวกเขาต้องฟังพระเจ้า [ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร] ได้รับความนิยมหรือไม่ได้รับความนิยม โดยพูดแบบคล่องแคล่วหรือพูดตะกุกตะกัก" สเปอร์เจียน กล่าวว่า “พระกิตติคุณของ จอห์น น็อกซ์ คือพระกิตติคุณของผมเป็นเหมือนฟ้าผ่าลงสู่ประเทศสก็อตแลนด์และต้องลงมาสู่อังกฤษอีกครั้ง”(Autobiography, vol. 1, p. 162)

ปราศจากคนเหล่านั้นเราเลยมีแต่นักเทศน์ที่ทำให้เราง่วง เทศน์แบบใช้ภาษานุ่มนวม! พวกเขาทำให้เราเบื่อ! พวกเขาน่าเบื่อและเหมือนตายแล้ว! จึงไม่แปลกใจที่คนหนุ่มสาวเกลียดที่จะได้ยินพวกเขา! "การเทศนาคือศาสตร์ของคนที่มีไฟ!" ใครที่พวกเขากลัว? ตอนนี้ลองคิดดู! พวกเขาต้องกลัวใครสักคน! แล้วคือใคร? ผมจะบอกพวกท่านถึงคนที่นักเทศน์ในสมัยนี้กลัวกัน คือกลัวพวกผู้หญิงวัยกลางคนที่มุ่งแต่ชีวิตฝ่ายเนื้อหนัง และมีบทบาทในคริสตจักรของนักเทศน์ขี้ขลาดเหล่านั้น หญิงเหล่านั้นมีอิทธิพลอย่างให้กับพวกนักเทศน์ พวกเธอแค่พูดว่า "ถ้าคุณสอนเช่นนี้เราจะไม่กลับมาที่คริสตจักรอีก!" ผมรู้ดีว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น! พวกเขาเคยพยายามแล้วที่นี่! แต่ผมก็เทศนาตามวิธีการที่ผมมักจะทำ – จนกว่าผมโค่นล้มคนเหล่านั้น! จอห์น น็อกซ์ ไม่เคยกลัว บลูดี้ เมรี่ – และเราก็ไม่ควรกลัวพวกผู้หญิงที่สอนระวีศึกษาและเน้นแต่ฝ่ายเนื้อหนัง! ผมคิดว่าเราควรจะไล่คนเหล่านั้นออกไป - แล้วให้หนุ่มสาวเข้ามาข้างใน! แล้วก็จะไม่น่าเบื่ออีกต่อไป! นั่นถึงจะทำให้คนหนุ่มสาวสนใจ! นี่สิถึงจะไม่น่าเบื่อ! นี่ถึงจะเป็นสนใจให้กับพวกคนหนุ่มสาว! และในที่สุดเราก็มีกลุ่มคนหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยไฟของพระเจ้า - เหมือนอย่างที่เรามีที่นี่ในเช้าวันอาทิตย์นี้! จงหยุดกลัวและเทศนาเหมือน จอห์น น็อกซ์!

การเทศนาไม่ใช่แค่การบอกข่าวสารบางอย่าง! อย่างที่เรียกกันในทุกวันนี้ว่า “การเทศนาแบบอรรถธิบาย” จงอยู่ห่างไกลวิธีการนี้! ดร. ลอยด์ โจนส์ มักจะเทศนาแบบใช้พระคัมภีร์แค่ข้อเดียวหรือสองข้อ เหมือนโปลิตานส์ทำ ท่านกล่าวว่า “นักเทศน์ไม่ใช่ขึ้นไปให้ความรู้อยู่บนธรรมาส์และบอกข้อมูลบางอย่างให้ผู้ฟังเท่านั้น เขาต้องดลใจผู้ฟัง และให้คนฟังศัทธา และให้คนเหล่านั้นมีชีวิตที่ถวายเกียรติในฝ่ายวิญญาณ” (The Puritans, p. 316)

“ท่านดร.” พูดว่า “การเทศนา” “ออกแบบมาเพื่อทำบางอย่างให้กับคน” (Lloyd-Jones, Preaching and Preachers, p. 85) การเทศนาทำอะไรให้กับคน? สิ่งแรก ทำให้คนโกรธและกลัว! ที่โกรกเพราะคุณบอกพวกเขาว่ามีใจที่สกปรก และต่อต้าน! ที่โกรธเพราะคุณบอกว่าพวกเขาไม่ฉลาดพอและโง่อย่างที่พวกเขาคิดให้กับตัวเอง พวกเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อ เพราะเป็นพวกที่ฉลาดอย่างนั้นหรือ? ในบรรดาคนเหล่านั้นไม่มีใครสักคนเดียวที่ฉลาดเหมือน ดร. ชาน ไม่มีใครที่ฉลาดเหมือน ดร. คาเกน และไม่มีใครที่ฉลาดเหมือนผม นี่คือความคิดของผมเองนะ แต่ผมรู้ว่าต้องเป็นเช่นนั้น นั่นแหละที่ผมไม่เคยกลัวคนเหล่านั้น รอน แรเกน ไปออกทีวีเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา และกล่าวว่า “ผมคือ รอน แรเกน ผมเชื่อมานานแล้วว่าไม่มีพระเจ้า และผมเองก็ไม่กลัวที่จะตกลงไปในบึงไฟนรก” นั่นเป็นคำพูดที่ไร้สาระและบางทีเขาอาจจะคิดว่าตัวเองฉลาดกว่าพ่อตัวเอง หรือประธานาธบดี แรเกน? ไม่มีทางที่เขาจะเป็นเหมือนพ่อของเขาได้ เขาสามารถพูดก็ตอนที่พ่อเสียชีวิตไปแล้วเท่านั้น ไม่มีทางที่เขาจะเป็นนักเขียน นักพูด และเป็นผู้นำในโลกสังคมเสรี และเป็นได้แค่ครึ่งหนึ่งของประธานาธิบดีในศตวรรคที่ 20th ได้ หรืออย่างพ่อของเขาได้! แม้เขาจะอยู่ในคณะนักเต้นบัลเล่ต์ก็ตาม (นั่นคือสิ่งที่เขาเป็น) – เขาทำมาหากินได้เงินก็โดยการอาศัยชื่อเสียงของพ่อเท่านั้น! ดังนั้นพวกเขาฉลาดเพราะพวกเขาไม่ใช่ผู้เชื่ออย่างนั้นหรือ สาเหตุที่พวกเขาไม่เชื่อเพราะจะได้ไม่ต้องเผชิญกับความจริงที่ว่าพวกเขามีใจชั่วที่ไม่เชื่อ เป็นผู้ทรยศพระเจ้า ผู้ที่ทรงสร้างพวกเขา! บางคนก็ห้ามว่า “อย่าไปพูดอย่างนั้นสิ! คุณกำลังทำให้พวกเขากลัว!” เหรอ ผมอาจจะทำให้คนเดียวกลัวและหนีไป สองคนเข้ามาข้างในก็กลัวด้วย– เราต้องก้าวไกลออกไป หากผมไม่เทศนาอย่างนั้นก็จะไม่มีคนที่ได้รับความอดเลย! ในการเทศนาของผมนั้นจำเป็นที่จะต้องบอกว่าพวกเจ้ามีใจที่สกปรก และต่อต้าน! ใช่ และผมจำเป็นต้องบอกคุณว่าพระเยซูทรงตรัสให้คุณลงไปในนรกเพราะบาปของคุณ ถึงแม้ว่า รอน แรแกนไม่กลัวตกนรก นั่นเป็นเพราะเขาคิดแบบโง่ๆว่าตัวเองฉลาดกว่าพระเยซูคริสต์และประธานาธิบดีของอเมริกา ไม่มีทางที่คุณจะช่วยคนโง่อย่างนั้นได้เลย เพราะ “คนโง่พูดอยู่ในใจว่า ไม่มีพระเจ้า” (สดุดี 14:1) รอนแก่เกินไปที่จะมาเป็นนักเต้นบัลเล่ต์ได้ เขาทำได้แค่แอบอ้างชื่อพ่อของตัวเองเท่านั้น เขาเป็นคนที่ก้าวร้าว! เขากำลังจะกลายเหมือนหญิงชรา! ที่ฝักฝ่ายอยู่กับโลก!

มีนรกเตรียมไว้รอสำหรับผู้ที่มีใจก่อกบฏและต่อต้านพระเจ้า! องค์พระเยซูคริสต์ทรงตรัสว่า

“กษัตริย์จึงรับสั่งแก่พวกผู้รับใช้ว่า จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน ด้วยผู้ที่ได้รับเชิญก็มาก แต่ผู้ที่ทรงเลือกก็น้อย” (มัทธิว 22:13, 14)

ใช่ มีไฟในนรกเตรียมไว้รอสำหรับผู้ที่ต่อต้านการวางใจพระเยซูคริสต์! แต่ “[พระเจ้า] ไม่ทรงประสงค์ที่จะให้ผู้หนึ่งผู้ใดพินาศเลย (2 เปโตร 3:9) และนั่นแหละที่พระองค์ทรงส่งพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ มาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนแทนที่คนบาป สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนไถ่บาปของเรา

นั่นนำเรากลับไปที่พระธรรมของเรา ตอนนั้นพระเจ้าได้ให้อัครวาวกยอห์นเห็นสวรรค์ในนิมิต และท่านก็เห็น “คนมากมาย ถ้ามีผู้ใดจะนับประมาณมิได้เลย มาจากทุกชาติ ทุกตระกูล ประชากร และทุกภาษา [คน] เหล่านั้นสวมเสื้อสีขาว ถือใบตาลยืนอยู่หน้าพระที่นั่ง และต่อพระพักตร์พระเมษโปดกท่านเจ้าข้า ท่านก็ทราบอยู่แล้ว ท่านจึงบอกข้าพเจ้าว่า คนเหล่านี้คือคนที่มาจากความทุกข์เวทนาครั้งใหญ่ พวกเขาได้ชำระล้างเสื้อผ้าของเขาในพระโลหิตของพระเมษโปดกจนเสื้อผ้านั้นขาวสะ” (วิวรณ์ 7:9, 14) คนที่อยู่ในสวรรค์ต่างได้รับการชำระล้างโดยโลหิตของพระเยซู “พระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น” (1 ยอห์น 1:7) ดร. แอนดรู เมอเรย์ (1828-1917) กล่าวว่า

เราสามารถเผชิญกับความตายโดยไม่เกรงกลัว – ผมจะไปสวรรค์...พวกเขาเป็นใครและจะสามารถพบกับบังลังก์ของพระเจ้าได้อย่างไร? “ดร. แอนดรูเมอเรย์”... อย่าหลอกตัวเองว่ายังมีหวังที่จะไปสวรรค์ หากปราศจากการชำระล้างบาปโดยโลหิตของพระเมษโดก อย่าคิดว่าไม่กลัวความตาย หากยังไม่รู้ว่าพระเยซูทรงชำระบาปทั้งหมดโดยโลหิตของพระองค์แล้ว (Andrew Murray, D.D., The Power of the Blood of Jesus, CLC Publications, 2003 edition, p. 221)

ผมอยากท้าท้ายคุณในเช้าวันนี้ให้วางใจในพระเยซู ตอนที่คุณวางใจในพระองค์ เวลานั้นคุณก็ได้รับการชำระล้างให้สะอาดโดยโลหิตอันบริสุทธิ์ของพระองค์! นั่นคือตอนคุณกลายเป็นคนที่แท้จริง!นั่นคือเมื่อคุณกลายเป็นทหารแห่งกางเขนแล้ว!

ลองฟังคำพยานของผู้ที่กลับใจใหม่ในคริสตจักรของเรา เหล่านี้คือคนหนุ่มสาวที่มาอยู่ในเช้าวันนี้ หญิงสาวคนหนึ่งเป็นพยานว่า

“คุณวางใจพระเยซูหรือไม่?" ดร. “ไฮเมอร์ส บอกฉันว่า "คุกเข่าลงและวางใจในพระองค์" ฉันก็ทำตาม ฉันวางใจพระองค์แล้ว ฉันโยนตัวเองไปที่พระเยซู พระเยซูทรงรักฉัน! พระเยซูทรงรักฉัน! ไม่ต้องถามอีกต่อไป และไม่จำเป็นต้องใช้ความรู้สึกมารับประกันอีก ... พระเยซูทรงรักฉัน! พระองค์ทรงหลั่งโลหิตและสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อฉัน และทรงจ่ายค่าบาปของฉัน ... ช่างเป็นความรักที่อัศจรรย์! ดิฉันขอขอบคุณพระเจ้าที่นำดิฉันมาที่พระบุตรที่รักของพระองค์ ฉันรักพระเยซูเพราะพระองค์ทรงรักฉันก่อน

นี่อีกคำพยานหนึ่ง จากชายหนุ่มที่เรียนในมหาวิทยาลัย

เช้าที่ผมได้รับความรอดนั้น ดร ไฮเมอร์ส เทศน์เกี่ยวกับการที่ซาตานปิดตาใจของผู้ที่ไม่มีพระคริสต์ ท่านกล่าวว่าหนึ่งในหลายทางที่ซาตานทำงานอยู่ในใจของคนที่หลงหายไป คือทำให้คนๆนั้นคิดว่าเขาต้องมีความรู้สึกเพื่อรับประกันว่า เขาจะต้องมีบางสิ่งบางอย่างเหมือนจะพูดให้กับผู้ให้คำปรึกษา ตัวผมเองคิดว่า “นั่นคือตัวผม”...ผมไปมาในวงจรที่ไม่เคยมองไปที่พระคริสต์ ชีวิตนั้นมีไว้รอผม แต่ผมเองก็ปฎิเสธที่จะมาที่พระองค์... ทำไมผมถึงทำกับพระองค์อย่างนั้นอีก? ทำไมผมจึงอยู่แต่ในบาปโดยที่ไม่มองไปที่พระองค์ผู้ที่ทรงสามารถช่วยกู้วิญญาณของผม? โอ้ผมต้องการพระเยซูมาช่วยแบกภาระหนักของผม ทำไมใจที่มืดมนต์ของผมถึงตรงข้ามกับพระองค์ผู้ทรงประเสริฐ และความชอบธรรมของพระองค์...ผมไม่จำเป็นต้องฟังเสียงซาตานอีกต่อไป ผมทราบว่าต้องการพระเยซูมากกว่าสิ่งอื่นใด ผมไม่ควรรออีก! ยิ่งรอก็ยิ่งเลวร้าย และยิ่งเป็นทาสของซาตาน ผมต้องไปที่พระคริสต์เพื่อรับการชำระบาป แล้วผมก็ไปที่พระองค์!...สรรเสริญพระเจ้าผู้ประทานพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูมาช่วยกู้ผมและอภัยบาปของผมโดยพระโลหิตของพระองค์!

นั่นคือคำพยานของอีคนหนึ่ง ทั้งหมดนี้ต่างก็เป็นอนุชน หนึ่งในนั้นเติบโตมาในคริสตจักร แต่อีกสองคนนั้นคือนักศึกษาที่เราไปประกาศและนำมาที่คริสตจักรเพื่อฟังพระกิตติคุณ นี่คือคำพยานจากอนุชนที่ไม่เคยมาคริสตจักรมาก่อน จนกระทั่งเรานำเขามาที่คริสตจักร เขากล่าวว่า

         ฉันไม่เคยคิดหรือคิดถึงโลกนี้น้อยมาก นั่นคือสิ่งความคิดของฉันในสมัยโรงเรียนมัธยม ฉันมีชีวิตอยู่เพื่อให้ผ่านไปวันๆ ฉันคิดว่าหลังจากจบการศึกษาจากโรงเรียน ก็ไปหางานดีๆทำและเริ่มต้นครอบครัว นั่นคือแผนของฉันสำหรับอนาคต แต่นั่นแถบไม่มีความหมายอะไรให้กับฉันเลย ในเวลานั้นฉันไม่ได้นับถือศาสนาอย่างเอาจริงเอาจัง - ผมคิดแต่ว่าเป็นเพียงแค่เรื่องศีลธรรมอันดี เพราะฉันคิดแต่ละศาสนา ต่างก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจแตกต่างออกไป อย่างไรก็ตามตอนนั้นพระเยซูกับฉันแล้ว ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งในศาสนาเท่านั้น การถูกตรึงของพระองค์ที่กางเขนนั้นเป็นเพียงเรื่องเล่าเท่านั้น
         หลังจากที่ได้ฟังพระกิตติคุณแล้ว ฉันก็สงสัยว่าพระเยซูเป็นใครกันแน่ ในธรรมชาติบาปของฉัน ฉันเริ่มศึกษาพระคัมภีร์และดูจากคนอื่นเพื่อจะได้รู้ว่าจะรอดได้อย่างไร ทุกครั้งที่ฉันพยายามที่จะวางใจในพระองค์ ดูเหมือนพระองค์ยิ่งอยู่ห่างออกไป และในเวลาที่คิดว่ารอดแล้วนั้น ก็เป็นเพียงแค่การจิตนาการของตัวเองเท่านั้น พระเยซูดูเหมือนจะอยู่ห่างไกลจากฉันมาก ยิ่งฉันไขว่คว้าพระองค์มากเท่าไหร่ พระองค์ยิ่งห่างไกลออกไปมากเท่านั้น
         จนกระทั่งวันที่ 7 เดือนมิถุนายม ปี 2015 ดร. คาเกน และ ดร. ไฮเมอร์สบอกว่าฉันยังเป็นคนที่หลงหายไปอยู่ ฉันถูกบอกว่าอย่างนั้นหลายครั้งว่าหลงหาย ก่อนที่จะมาเปลี่ยนไปในทีหลัง พระเจ้าสถิตที่นั่น เริ่มรู้สึกว่าบาปของฉันเริ่มหนักในใจมากขึ้นอย่างที่ไม่เคยมีความรู้สึกเช่นนี้มาก่อน เริ่มเกลียดตัวเองที่ปฏิเสธพระเยซูครั้งแล้วครั้งเล่า ฉันเริ่มรู้ว่าตัวเองเป็นคนที่สิ้นหวัง แต่ ณ เวลานั้นได้เกิดอัศจจรรย์ขึ้น พระเยซูนั้นมีจริง! ความรักแห่งการเสียสละของพระองค์นั้นมากยิ่งกว่าที่จะอธิบายได้ ฉันจึงได้แต่ร้องไห้ อธิษฐานและขอบคุณพระองค์สำหรับความรักนี้ พระองค์ยอมถูกทรมาณหลั่งโลหิตบนกางเขนชำระบาปของฉันทั้งหมด เป็นอะไรที่วิเศษมากๆที่ความรักมากเช่นนี้ลงมาสู่คนบาปทั้งหลาย ไม่มีใครที่สามารถทำอย่างนั้นได้ นอกจากพระเยซู ทั้งหมดที่พระองค์ทรงขอคือให้วางใจพระองค์แบบง่ายๆ โอ้ช่างอัศจรรย์มากๆที่ได้รู้จักกับพระองค์ ฉันเองไม่เงียบเหงาอีกต่อไป เพราะฉันเองได้คุยกับพระองค์ ฉันไม่สงสัยอีกต่อไป เพราะพระองค์ทรงนำฉัน พระองค์เป็นเพื่อน เป็นพระเจ้าและเป็นพระผู้ช่วยของฉัน

เพื่อนๆของผม ตอนนี้ คุณจะวางใจในพระเยซูและรับการชำระบาปทั้งหมดของคุณหรือไม่? ตอนที่คุณวางใจในพระผู้ช่วยให้รอดแล้ว คุณก็จะสามารถร้องเพลงนี้

บอกฉันถึงความรักของพระผู้ช่วยให้รอด ผู้สิ้นพระชนม์ให้ฉันมีอิสระ
   บอกฉันถึงโลหิตอันมีค่าของพระองค์ชำระคนบาปให้ขาวสะอาด
โอ้หนอ ความรักของพระเยซู โอ้หนอ ความรักของพระเยซู
   ที่ฉันรักพระองค์เพราะพระองค์ทรงรักฉันก่อน!
(“Oh, How I Love Jesus,” Frederick Whitfield, 1829-1904)

ดร. ชานกรุณานำเราอธิษฐาน อาเมน

หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร.ไฮเมอร์ส ในแต่ละสัปดาห์ทางอินเทอร์เน็ทได้ที่
at www.sermonsfortheworld.com.
คลิกที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net
– หรือเขียนจดหมายส่งไปให้เขาที่ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015.
หรือโทรศัพท์ถึงเขาที (818) 352-0452.

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดยท่าน อาเบล บรูดโฮมมี: วิวรณ์ 7:9-17.
ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดย ท่าน เบนจามิน คินเคด กรีฟฟี่:
“Oh, How I Love Jesus” (Frederick Whitfield, 1829-1904).