Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




น้ำตาของพระผู้ช่วยให้รอด

THE TEARS OF THE SAVIOUR
(Thai)

โดย ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

บทเทศนาเทศน์ที่คริสตจักรแบ๊บติสต์ในนคร ลอสแอนเจลิส
ในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าที่ 4 ตุลาคม ค.ศ. 2015
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord's Day Morning, October 4, 2015

“ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเศร้าโศกและคุ้นเคยกับความระทมทุกข์ และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน” (อิสยาห์ 53:3)


เมื่อเร็ว ๆ นี้ผมเห็นวิดีโอซึ่งมีนักเทศน์กลุ่มหนึ่งอยู่นอกโบสถ์ของเขา ตะโกนใส่ผู้ที่ไม่เชื่อว่า "พวกเจ้าต้องตกนรก!" "พวกเจ้าจะถูกเผาผลาญตลอดไปในเปลวไฟที่นรก!" เมื่อเห็นดังนี้ผมเลยปิดวิดีโอนั้นเสียเพราะมันทำให้ผมสบายใจเลย เพราะคำพูดที่ออกจากปากนักประกาศเหล่านั้นไม่มีคำที่สุภาพเลย แม้แต่คำเดียวก็ไม่มีที่แสดงถึงความเป็นห่วงเป็นใยต่อคนที่ยังไม่เชื่อเหล่านั้นเลย และไม่มีแม้แต่คำเดียวที่กล่าวถึงความรักของพระคริสต์ที่มีต่อชาวโลกเลย

ผมคิดไม่ออกเลยว่าพระเยซูเคยเทศน์เช่นนั้นให้กับประชาชนที่หลงหายไปหรือไม่ ใช่พระองค์เคยใช้พูดคำพูดที่รุนแรง ใช่พระองค์บอกว่าคนเหล่านั้นต้องตกนรก แต่พระองค์ใช้ถ้อยคำพูดเหล่านั้นสำหรับพวกฟาริสีและธรรมาจารย์เท่านั้น – เพราะพวกเขาคือผู้นำศาสนาเทียมเท็จที่อยู่ในยุคของพระองค์ ผมเคยได้ยินนักเทศน์ร้องตะโกนด่าพวกมอร์มอน คาทอลิก มุสลิม พวกคนพาล และแม้กระทั่งนักศึกษาในมหาวิทยาลัย ยิ่งผมยิ่งฟังเลยก็ยิ่งพบว่าคนเหล่านั้นไม่ได้ทำตามตัวอย่างของพระคริสต์เลย ใช่! ผมคิดว่าถ้าพระเยซูอยู่ที่นี่ในวันนี้ พระองค์คงเทศนาดังนี้ "เจ้าต้องตกนรกแน่" การเทศนาที่ไม่อ่อนสุภาพนั้นพระองค์สงวนไว้สำหรับพวกสอนเท็จทั้งหลายในยุคของเรานี้! – อย่างพวกที่ปิดการนมัสการของพวกเขาในวันอาทิตย์ตอนเย็น และปล่อยให้พวกอนุชนไม่มีที่ๆจะสามัคคีธรรมในคืนวันอาทิตย์ และสำหรับผู้ที่เทศนาแบบเหี่ยวแห้งเปื้อนฝุ่น เทศนาแบบศึกษาพระคัมภีร์ข้อต่อข้อ มุ่งเป้าไปที่เคร่งศาสนา แต่พวกนี้จะแต่สมาชิกที่ยังไม่ได้กลับใจกันทั้งนั้น และพระองค์คงเทศน์ด่าพวกที่ใช้เพลงร็อคในคริสตจักร – แต่ปิดกั้นการเทศนาแบบประกาศ – ในคริสตจักรของพวกเขา และพระองค์เทศน์ด่าพวกที่ดูถูกพระโลหิตของพระเยซูว่าไม่มีค่าที่จะชำระคนบาปได้! ผมคิดว่าพระคริสต์ต้องค์ทำลายโต๊ะแลกเงินของพวกเขาและตรัสกับเขาว่า

“วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยว่าพวกเจ้าปิดประตูอาณาจักรแห่งสวรรค์ไว้จากมนุษย์ เพราะพวกเจ้าเองไม่ยอมเข้าไป และเมื่อคนอื่นจะเข้าไป พวกเจ้าก็ขัดขวางไว้” (มัทธิว 23:13)

“วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด ด้วยเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยโจรกรรมและการมัวเมากิเลส” (มัทธิว 23:25)

“วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะว่าเจ้าเป็นเหมือนอุโมงค์ฝังศพซึ่งฉาบด้วยปูนขาว ข้างนอกดูงดงามจริง ๆ แต่ข้างในเต็มไปด้วยกระดูกคนตายและการโสโครกสารพั” (มัทธิว 23:27)

“เจ้าพวกงู เจ้าชาติงูร้าย เจ้าจะพ้นการลงโทษในนรกอย่างไรได้?” (มัทธิว 23:33)

ใช่ผมคิดว่าพระคริสต์เทศนาเช่นนั้นให้กับนักเทศน์และครูเทียมเท็จในยุคของเราด้วย!

แต่พระองค์ไม่เคยเทศนาอย่างนั้นให้กับคนบาปที่เข้ามาฟังพระองค์ สำหรับพวกเขาแล้วพระองค์เป็น “ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเศร้าโศกและคุ้นเคยกับความระทมทุกข์” พระองค์ตรัสให้กับหญิงที่บ่อน้ำด้วยถ้อยคำที่อ่อนหวาน ถึงแม้ว่าเธอมีสามีมาแล้วห้าคน และเธอใช้ชีวิตเหมือนกับหญิงโสเภณีก็ตาม พระองค์ทรงให้กับพวกติดโรคและเสียชีวิตด้วยถ้อยที่ไพเราะ “และผู้ใดได้แตะต้อง [ฉลอง] แล้วก็หายป่วยบริบูรณ์ดีทุกคน” (มัทธิว 14:36) พระองค์ทรงตรัสให้กับหญิงโสเภณีดังนี้ “ว่า “เราก็ไม่เอาโทษเจ้าเหมือนกัน จงไปเถิด และอย่าทำบาปอีก” (ยอห์น 8:11) พระองค์ทรงตรัสด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวนให้กับโจรที่กางเขนว่า “เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” (ลูกา 23:43) พระองค์ทรงตรัสให้กับคนอัมพาตว่า “ลูกเอ๋ย จงชื่นใจเถิด บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” (มัทธิว 9:2) พระองค์ทรงตรัสให้กับคนบาปและก้มลงจุบที่พระบาทของพระองค์ว่า “บาปของเจ้าได้รับการอภัยแล้ว” (ลูกา 7:48)

พระเยซูเคยหัวเราะหรือเปล่า? อาจจะมี แต่ไม่ได้บันทึกไว้ในพระคัมภีร์ ในพระคัมภีร์นั้นได้แต่บอกเราว่าพระองค์คือ “ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเศร้าโศกและคุ้นเคยกับความระทมทุกข์” (อิสยาห์ 53: 3) และพระคัมภีร์บอกเราว่าพระเยซูทรงกันแสงถึงสามครั้ง และดูเหมือนว่าการกันแสงนั้นเป็นส่วนหนึ่งในบุคลิกของพระองค์ - และเป็นส่วนสำคัญมาก มันเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการถึงการร้องไห้ของพระพุทธเจ้า – เป็นไปไม่ได้ที่จะคิดว่าเทพเจ้าของโรมันไม่ยินดียินร้าย หรือพระอัลลาของศาสนาอิสลามน้ำตาไหล น้ำตาของพระเยซูแสดงให้เราเห็นถึงความรักของพระองค์ที่มีต่อความทุกข์ของมนุษย์

พวกคุณส่วนมากต่างก็ทราบดีว่า ผมเองให้เกียรติและนับถือท่าน วินสตัน เชอร์ชิลล์มาก แต่คุณไม่อาจรู้จักท่านดีเท่ากับคนอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

St. Paul's Cathedral
พระวิหารเซนต์เปาโลที่ลอนดอนระหว่างถูกวางระเบิด

คุณอาจจะรู้เพียงผิวเผินจากภาพที่ถูกถ่ายเอาไว้โดย ยูซุฟ คาร์ส แต่ช่วงเดือนที่กรุงลอนดอนถูกวางระเบิดและมีเพลิงลุกไปทั้งเมืองโดยฮิตเลอร์นั้น คนอังกฤษเห็นท่านแปลกออกไป หลังจากคืนที่เมืองถูกระเบิด พวกเขาเห็นท่านเดินผ่านบ้านของพวกเขาที่เหลือแต่ซากปรักหักพัง ด้วยท่าทีที่โศกเศร้าเสียใจและร้องไห้

Sir Winston Churchill
เชอร์ชิลล์ช่วงเวลาที่กรุงลอนดอนถูกระเบิด

ท่านมายืนหยุดข้างนอกที่พักอาศัยตรงที่มีคนแก่และเด็กเสียชีวิตสี่สิบคนเมื่อคืนก่อน ฝูงชนก็มารวมตัวกันและเช็ดน้ำตาที่ไหลออกจากตาของท่าน ฝูงชนร้องตะโกนว่า "เราคิดแล้วว่าท่านต้องมา!" หญิงชราร้องออกมาว่า "คุณเห็นมั้ยท่านร้องไห้จริงๆเพราะรักเรา" จากนั้นก็มีเสียงร้องไห้ดังมาจากฝูงชนว่า "เราจะให้มันชดใช้! คุณบอกฮิตเลอร์เลยว่า "เราจะให้มันชดใช้!" ฮิตเลอร์อาจสามารถทำลายบ้านเมืองของพวกเขาด้วยการระเบิด แต่การทำลายจิตวิญญาณของพวกเขาเท่านั้นถึงจะเอาชนะพวกเขาอย่างแท้จริง ได้รับการกล่าวว่าน้ำตาของเชอร์ชิลล์ให้กับคนของเขานั้น มันมีค่ามากกว่าการเอาชนะสงครามนาซีเสียอีก ท่านไม่ได้ร้องไห้เมื่อเห็นผู้คนยืนอยู่ตามท้องถนนเจ๊งรอเพื่อรอซื้อเมล็ดสำหรับนกคีรีบูนของพวกเขา แต่ท่านร้องไห้เมื่อได้เห็นร่างของเด็กๆที่ตายในซากปรักหักพัง ท่านไม่ได้ร้องไห้เพราะความขี้ขลาด แต่สำหรับความทุกข์ของคนในชาติ

เชอร์ชิลไม่ได้เป็นคนยืดถือหลักคำสอนของคริสเตียน แต่ก็ได้เรียนรู้อารมณ์ความรู้สึกของคริสเตียนจากพี่เลี้ยงที่ชื่อ เอเวอร์เรส สำกัดคณะเมทอดิสเดิม รูปถ่ายของเธอได้แขวนอยู่ใกล้เตียงของเขาจนถึงวันที่เขาเสียชีวิต ดังนั้นเขามีอารมณ์ความรู้สึกของคริสเตียนมากกว่าผู้นำคนอื่น ๆ ในยุคของเรานี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงอารมณ์ความรู้สึกของ อายาโทลาฮ์ อาลี คาเมย์ หรือปูตินหรือบารักโอบาที่เห็นว่าพวกเขาร้องไห้ออกมาเพราะการเห็นอกเห็นใจความทุกข์ใจของคนในชาติ ความเมตตาเป็นคุณธรรมของคริสเตียน – ที่พระคริสต์ทรงสอนให้ชาวโรมันในศตวรรษแรก “ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเศร้าโศกและคุ้นเคยกับความระทมทุกข์” (อิสยาห์ 53: 3)

“บุคคลผู้เศร้าโศกคือพระนามของ
   พระบุตรของพระเจ้าผู้เสด็จมา
เพื่อแสวงหาคนบาปที่หลงหาย
   ฮาเลลูยา! แด่พระผู้ช่วย!
(“Hallelujah, What a Saviour!” by Philip P. Bliss, 1838-1876)

สามครั้งที่พระคัมภีร์บอกเราถึงการกันแสงของพระเยซู

I. หนึ่ง พระองค์ทรงกันแสงให้กับกรุงเยรูซาเล็ม

ในเช้าวันหนึ่งพระเยซูทรงขี่ลาเสด็จมายังกรุงเยรูซาเร็ม มีคนกลุ่มหนึ่งได้ติดตามพระองค์และร้องว่า “โฮซันนาแก่ราชโอรสของดาวิด ขอให้พระองค์ผู้เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ โฮซันนาในที่สูงสุด” (มัทธิว 21:9)

The Triumphal Entry
พระเยซูเสด็จเข้ากรุงเยรูซาเร็มอย่างผู้พิชิดใน “ปามล์ ซันเดย์”

แต่เราก็ได้รับการบอกเล่าว่าวันนั้นจะเกิดอะไรขึ้น

“ครั้นพระองค์เสด็จมาใกล้ทอดพระเนตรเห็นกรุงแล้ว ก็กันแสงสงสารกรุงนั้น” (ลูกา 19:41)

ดร. ดับบริว เอ คริสเวลล์ เป็นหนึ่งในสามนักเทศน์ที่ยิ่งใหญ่เท่าที่ผมเคยได้ยินมา ท่านเป็นศิษยาภิบาลที่คริสตจักรแบ๊บติสที่หนึ่งเมือง ดัลลัส รัฐเท็กซัสเป็นเวลาเกือบหกสิบปี หนึ่งในบทเทศนาของท่าน ดร คริสเวลล์ พูดถึงนักเทศน์ท่านหนึ่งซึ่งปัจจุบันนี้ไปรับใช้ที่คริสตจักรในเมือง

      “เมื่อถึงเวลาที่เขาจะต้องขึ้นไปเทศนา แต่เขากลับไม่อยู่ที่นั่น ที่ประชุมก็เลยบอกให้มัคนายกไปตามหานักเทศน์ว่าอยู่ที่ไหน ก็ไปพบนักเทศน์อยู่ในสำนักงาน และยืนอยู่ใกล้หน้าต่าง และมองไปที่ชุนชนแออัดหรือสลัม ตอนที่ท่านยืนมองไปที่บ้านเหล่านั้น ศิษยาภิบาลได้ร้องไห้ มัคนายกจึงบอกท่านว่า “อาจารย์ ผู้คนกำลังรอท่านขึ้นไปเทศนาอยู่’ ศิษยาภิบาลจึงตอบว่า ‘ผมรู้สึกหดหู่ใจ เหมือนใจแตกสลายไปหมด และไม่มีความหวังใดๆเลยถึงคนเหล่านั้น จงดู จงดู’ ท่านก็ชี้ไปที่เมืองสลัมนั้น มัคนายกจึงบอกว่า ‘ใช่ครับท่าน ผมก็รู้ แต่อีกไม่นานท่านก็จะชินไปเอง ถึงเวลาที่ท่านต้องไปเทศนาแล้ว’”

แล้ว ดร. คริสเวลล์ กล่าวต่อไปว่า

“นั่นคือสิ่งที่ผมกลัวว่าจะเกิดให้กับคริสตจักรตัวเอง และในทุกคริสตจักรด้วย เราอาจชินกับมัน กับคนที่หลงหายไป – นั่นคืออะไร? พวกเขาไร้ความหวัง – นั่นคืออะไร? สุดท้ายเราก็จะชินกับมัน – และปล่อยให้ล่วงเลยไป นั่นแสดงว่าเราทำแตกต่างไปจากพระองค์ ‘และตอนที่พระองค์เสด็จเข้ามาใกล้ พระองค์ทรงสงสารเมืองนั้น และก็ทรงกันแสงให้กับมัน’” (W. A. Criswell, Ph.D., The Compassionate Christ, Crescendo Book Publications, 1976, p. 58)

ตอนที่พระเยซูทรงยืนอยู่บนภูเขามะกอกเทศของวันนั้น และมองไปยังกรุงเยรูซาเล็ม และก็คิดได้ว่าสี่สิบปีหลังจากนี้เมืองนี้ก็จะหายไป? ใครล่ะจะไปคิดว่าต่อมาพยุหเสนาของโรมันติตัสได้พังประตูกำแพงลงและจุดไฟเผาพระวิหารของพระเจ้า? ไม่มีอะไรหลงเหลืออยู่ ส่วนที่เหลือก็แต่ก้อนหินที่ใช้ทำกำแพงล้อมรอบพระวิหารศักดิ์สิทธิ์แห่งนั้น "บ้านของคุณถูกทิ้งรกร้างให้แก่ท่าน" และตอนที่พระองค์เสด็จเข้ามาใกล้ พระองค์สงสารเมืองนั้น และก็ทรงกันแสงให้กับมัน

บางคนอาจจะพูดว่า “แต่อาจารย์ เราทำอะไรได้ล่ะ? เราไม่อาจที่จะช่วยกู้คนทั้งหมดได้ แม้แต่คนส่วนใหญ่เราก็ไม่อาจช่วยได้ แต่เราอาจจะช่วยได้บางคน คุณสามารถมาร่วมประกาศในคืนวันพุธและวันพฤหัสบดี! คุณสามารถไปนำพวกเขาในบ่ายวันอาทิตย์! คุณสามารถทำอย่างนั้น! สักวันท้องถนนในเมืองของเราจะเต็มไปด้วยเศษซากและควันและเลือดและความตาย สักวันมันจะสายเกินไปที่จะช่วยคนเหล่านั้น จงไปตั้งแต่ตอนนี้ ชั่วโมงนี้ออกไปอย่างทหารแห่งไม้กางเขน และผู้ติดตามพระเมษโปดก ชั่วโมงนี้เป็นเวลาที่ช่วยคนยากจน คนบาปที่หายไปให้กลับมาพบกับพระคริสต์ และรับการให้อภัยและความหวัง! "และตอนที่พระองค์เสด็จเข้ามาใกล้ พระองค์สงสารเมืองนั้น และก็ทรงกันแสงให้กับมัน”

II. สอง พระเยซูทรงกันแสงเพราะห่วงใย

พระองค์ทรงบอกพวกสาวกของพระองค์ว่า "ลาซารัสเพื่อนของเรา ... ตายแล้ว" (ยอห์น 11:11, 14) พระองค์ทรงตรัสว่า "เราจะไปปลุกเขาขึ้นมา" - นั่นคือการทำให้เขาฟื้นคืนจากความตาย แล้วพวกเขาก็ไปที่หมู่บ้านเบธานี และตรงไปยังบ้านของลาซารัส ชาวต่างชาติเรียกว่า “ที่ฝั่งศพ” แต่คริสเตียนเรียกว่า "สุสาน" – ซึ่งตามคำภาษากรีกหมายถึงสถานที่นอนหลับ ที่ๆเราวางคนตายลง รอจนกว่าพระเยซูจะเสด็จมาเพื่อปลุกให้พวกเขาตื่น นั่นคือสิ่งที่พระเยซูทรงไปทำให้กับลาซารัส แต่พระองค์รอให้ถึงสี่วันก่อน เพื่อจะได้แสดงความมหัศจรรย์มาที่มาจากความเป็นพระเจ้าและฤทธิ์อำนาจของพระองค์ เพื่อให้คนเหล่านั้นจะได้เชื่อในพระองค์

ตอนนี้พระเยซูทรงไปถึงที่หลุมฝังศพของลาซารัสแล้ว มารีย์น้องสาวของลาซารัสพบกับพระเยซูตอนที่พระองค์เสด็จมาใกล้

“ฉะนั้นเมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นเธอร้องไห้ และพวกยิวที่มากับเธอร้องไห้ด้วย พระองค์ก็ทรงคร่ำครวญร้อนพระทัยและทรงเป็นทุกข์” (ยอห์น 11:33)

คำเดิมในภาษากรีกแสดงให้เห็นว่าตัวของพระเยซูคริสต์ใจแตกสลายไปหมดแล้ว พระองค์ทรงคร่ำครวญด้วยความโศกเศร้าเสียพระทัย หัวใจเหมือนจะหยุดเต้น (ĕmbrimaŏmai) – ตื่นเต้น ตกใจ เหมือนดั่งลมพายุพัดทะเล และทนทุกข์อย่างหนัก (tarassō) คุณเคยรู้สึกเช่นนั้นหรือเปล่าเมื่อมีคนใกล้ชิดในครอบครัวเสียชีวิต? ผมเคยมี ใจผมแตกสลายและคร่ำครวญและอ้าปากค้างแต่พูดไม่ออก ผมสับสนเหมือนน้ำเดือดอยู่ในที่ลึก มีไม่กี่ครั้งในชีวิตของผม ที่ผมมีรู้สึกปวดใจอย่างรุนแรง – แต่เหตุการณ์เหล่านั้นก็เพียงพอที่จะทำให้ผมเข้าใจความรู้สึกของพระเยซู ผมรู้สึกอย่างนั้นตอนคุณยายของผมเสียชีวิต ตอนนั้นผมอยู่ที่วิทยาลัยแบ๊บติสใต้เสรีนิยม ผมรู้สึกอย่างนั้นตอนแม่ของผมซิซิเลียเสียชีวิต มันไม่ผิด เพราะพระเยซูแสดงให้เราเห็นว่า ความเศร้าโศกของพระองค์นั้นคือมีต่อคนบาปอย่างเรา พระองค์ทรงเห็นอกเห็นใจมารีย์และมาร์ธาและเพื่อน ๆ ของลาซารัสที่ร้องไห้เพราะเขาเสียชีวิต

พระเยซูทรงรู้ว่า พระองค์จะทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นมาจากความตายในไม่กี่นาทีต่อมา แต่พระองค์ก็รู้สึกหดหู่ใจถึงความตายและความเศร้าโศกที่มาถึงมนุษย์ แล้วสองข้อต่อมาในพระธรรมยอห์นบทที่สิบเอ็ด พระคัมภีร์ข้อนี้บอกสั้นๆแต่ครอบคลุมพระคัมภีร์ทั้งหมด ผ่านความเจ็บปวดและการกันแสงของพระเยซูจึงได้ตรัสว่า "พวกเจ้าเอาศพเขาไว้ที่ไหน? พวกเขาทูลพระองค์ว่า พระองค์มาและดู "แล้วข้อที่สั้นที่สุดคือ

“พระเยซูกันแสง” (ยอห์น 11:35)

พระองค์ทรงเศร้าโศกร่วมกับมารีย์และมาร์ธา เพราะพระองค์ก็ทรงรักพี่ชายของเธอคือลาซารัส และพระองค์ก็ทรงร่วมทุกข์กับพวกเราด้วย ผมสงสารพวกอนุชนในยุคของคุณ คริสตจักรหลายแห่งไม่ร้องเพลงนมัสการอีกต่อไป – ซึ่งเป็นเพลงที่สัมผัสใจและจิตวิญญาณของคนที่หมดหวัง แต่เด็กๆในทุกวันนี้กลับไม่รู้จักบทเพลงเหล่านี้อีกต่อไป แต่เพลงเก่าๆเหล่านั้นได้นำจิตวิญญาณของผมให้สามารถเดินผ่านปัญหาอุปสรรคต่างๆไปได้

พระเยซูผู้เป็นเพื่อนของเรานั้นเป็นเช่นไร
   ทรงแบกบาปทั้งหมดของเราไป!
มีสิทธิ์ที่จะแบกอะไรไป
   ทุกอย่างที่เราทูลขอพระเจ้า...
เราสามารถมีเพื่อนคนหนึ่งที่ศัตย์ซื่อ
   ใครล่ะที่แบกความเศร้าโศกของเรา?
พระเยซูทรงทราบความอ่อนแอของเรา
   จงนำมาที่พระองค์โดยการอธิษฐาน
(“What a Friend We Have in Jesus” by Joseph Scriven, 1819-1886).

“พระเยซูกันแสง” (ยอห์น 11:35)

น้ำตาของพระคริสต์นั้นสำคัญมาก ความเมตตาของพระเยซู ขอบคุณพระเจ้าถึงความห่วงใยของพระคริสต์

ดร. เฮนรี่ เอ็ม แมคโกแวน พาผมไปกับครอบครัวของท่านไปยังคริสตจักรเป็นครั้งแรก ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กอยู่ ครั้งหนึ่งท่านบอกผมว่า ผมเป็นเหมือนลูกชายของท่าน ผมและครอบครัวก็กลับไปที่เวอร์นอน เท็กซัส ไปเยี่ยมท่านหลายครั้งด้วยกัน ครั้งหนึ่งตอนที่เราไปเยี่ยมท่านนั้น ท่านได้เอาบทกลอนสั้นๆให้ผม แต่ในนั้นมีความหมายมาก เขียนโดยผู้หญิงคนหนึ่งชื่ออแมรี่ สตีเวนสัน ตอนเธออายุ 14 ปี:

มีอยู่คืนหนึ่งดิฉันนอนและได้ฝันว่า
เหมือนดิฉันเดินอยู่ริมทะเลกับพระองค์ของดิฉัน
ในยามที่ท้องฟ้ามืดก็มีแสงประกายเหมือนฉากในชีวิตของฉัน
ในแต่ละฉากนั้นดิฉันทราบว่ามีรอยเท้าสองคนเดินไปบนหาดทาย
อีกหนึ่งเป็นของดิฉัน อีกหนึ่งเป็นของพระองค์ของดิฉัน

หลังจากนั้นคือฉากสุดท้ายในชีวิตของดิฉัน
ดิฉันมองกลับไปที่รอยเท้าบนหาดทราย
ดิฉันรับรู้ถึงสถานการณ์ต่างๆที่ผ่านมา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยามที่ทุกข์ใจท้อใจ
นั่นมีแค่รอยเท้าเดียวที่เดินบนหาดทราย
มันทำให้ดิฉันทุกข์ใจมากขึ้น ดิฉันเลยถามพระองค์ถึงเรื่องนี้
“พระองค์ตรัสว่าหากข้าพระองค์เดินตามจะไม่มีวันทอดทิ้งข้าฯ
พระองค์จะเดินเคียงข้างข้าพระองค์ในทุกเส้นทาง
แต่ข้าฯรู้ว่าในยามที่ท้อใจต้องการพระองค์มากที่สุด พระองค์กลับหนีข้าฯไป”

พระองค์กระซิบว่า “ลูกเอ๋ย เรารักเจ้าและไม่เคยทอดทิ้งเจ้าเลย
ไม่เคย ครั้งเดียวก็ไม่มี ในยามที่เจ้าเดินผ่านมรสุมและถูกทดลอง
รอยเท้าที่เจ้าเห็นเหมือนเดินคนเดียวนั้น
เป็นเพราะว่าเรากำลังอุ้มเจ้าอยู่”
   (“Footprints in the Sand” by Mary Stevenson, 1922-1999; written in 1936)

พระเยซูทรงกันแสงเหนือกรุงนั้น – หลงหาย ไร้ความหวัง พระเยซูทรงกันแสงเพราะห่วงใย – ในยามที่เรามีความทุกข์เศร้าใจ

III. สาม พระเยซูทรงกันแสงเหมือนพระองค์ทรงไถ่ถอนบาปของเรา

ฮีบรู 5:7 กล่าวว่า

“ฝ่ายพระเยซู ขณะเมื่อพระองค์ดำรงอยู่ในเนื้อหนังนั้น พระองค์ได้ถวายคำอธิษฐาน และทูลวิงวอนด้วยทรงกันแสงมากมายและน้ำพระเนตรไหล ต่อพระเจ้าผู้ทรงสามารถช่วยพระองค์ให้พ้นจากความตายได้ และพระเจ้าได้ทรงสดับเพราะพระองค์นั้นได้ยำเกรง” (ฮีบรู 5:7)

นี่คือพระเยซู กำลังกันแสงในสวนเกทเสมเน คืนก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่กางเขน ดร. คริสเวลล์ กล่าวว่า

ความทุกข์ทรมานในสวนเกทเสมเนนั้นหมายถึงอะไร? ตอนที่พระองค์ทรงทนทุกข์และอธิษฐาน “พระเสโทของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตไหลหยดลงถึงดินเป็นเม็ดใหญ่” (ลูกา 22:44) ... ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวว่า “พระเจ้าทรงเห็นการทนทุกข์แห่งวิญญาณของพระองค์ และทรงพอพระทัย” นั่นเป็นความจริงที่เราไม่อาจเข้าใจได้ พระเจ้าทรงทำให้พระองค์เป็นคนบาปเพราะเรา และทรงแบกความบาปของโลก พระองค์ทรงกันแสงอย่างรุนแรง “พระบิดา หากเป็นไปได้ ขอให้ถ้อยนี้เลื่อนผ่านไปจากเรา” (ibid., p. 60)

พระเยซูทรงกันแสงเป็นอย่างมาก เพื่อขอให้พระเจ้าทรงสงวนชีวิตของพระองค์รอดในสวนเกทเสมเน เพื่อพระองค์จะมีชีวิตไปสิ้นพระชนม์ที่กางเขนในเช้าวันถัดไป พระองค์ถูกตอกด้วยตะปูบนไม้กางเขนเพื่อไถ่ถอนบาปของเรา พระองค์ทรงร้องไห้ที่ไม้กางเขนด้วยเสียงอันดังและน้ำตาไหลว่า “สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) – พระองค์จึงทรงก้มศีรษะลงและสิ้นพระชนม์

การร้องไห้คร่ำครวญที่ภูเขาโกระโกธา
   พระองค์เสด็จไปที่นั่นด้วยความทุกข์
พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อคนบาปที่กางเขนนั่น
   เพื่อพระองค์จะทรงสามารถช่วยกู้เราจากการหลงหาย
ขอพระพรมีแด่พระผู้ไถ่! ขอพระพรมีแด่พระผู้ไถ่!
   เหมือนว่าตอนนี้ข้าฯเห็นพระองค์ที่ต้นไม้ที่ภูเขานั้น
แผลและโลหิตนั้นมีไว้สำหรับผู้ที่ทูลขอ
   ทรงสิ้นพระชนม์ให้ข้าฯ – คนตาบอดคนยากจน
(“Blessed Redeemer” by Avis Burgeson Christiansen, 1895-1985).

ผมกำลังขอให้คุณวางใจพระเยซู ผู้ที่ทรงหลั่งน้ำตาจำนวนมากและพระโลหิตของพระองค์ไหลบนไม้กางเขนเพื่อช่วยคุณให้รอดพ้นจากบาปและคำพิพากษา ตอนนี้พระองค์ทรงสถิตในสวรรค์ ประทับ ณ พระหัตถ์ขวาของพระเจ้า จงมาที่พระองค์ด้วยความเชื่อและด้วยความไว้วางใจ พระโลหิตอันมีค่าของพระองค์จะชำระคุณให้ปราศจากบาปทั้งหมด - และประทานชีวิตนิรันดร์ให้คุณ อาเมน ดร. ชานกรุณานำเราอธิษฐาน

หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร.ไฮเมอร์ส ในแต่ละสัปดาห์ทางอินเทอร์เน็ทได้ที่
at www.sermonsfortheworld.com.
คลิกที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net
– หรือเขียนจดหมายส่งไปให้เขาที่ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015.
หรือโทรศัพท์ถึงเขาที (818) 352-0452.

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดยท่าน อาเบล บรูดโฮมมี: ลูกา 22:39-44
ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดย ท่าน เบนจามิน คินเคด กรีฟฟี่:
“Blessed Redeemer” (Avis Burgeson Christiansen, 1895-1985).


โครงร่างของ

น้ำตาของพระผู้ช่วยให้รอด

THE TEARS OF THE SAVIOUR

โดย ดร. อาร์ เอล ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

“ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเศร้าโศกและคุ้นเคยกับความระทมทุกข์ และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน” (อิสยาห์ 53:3)

(มัทธิว 23:13, 25, 27, 33; 14:36; ยอห์น 8:11;
ลูกา 23:43; มัทธิว 9:2; ลูกา 7:48)

I.    หนึ่ง พระองค์ทรงกันแสงให้กับกรุงเยรูซาเล็ม มัทธิว 21:9; ลูกา 19:41.

II.   สอง พระเยซูทรงกันแสงเพราะห่วงใย ยอห์น 11:11, 14, 33, 35.

III.  สาม พระเยซูทรงกันแสงเหมือนพระองค์ทรงไถ่ถอนบาปของเรา ฮีบรู 5:7; ลูกา 22:44; ยอห์น 19:30.