เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
น้ำและโลหิตTHE WATER AND THE BLOOD โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ บทเทศนาเทศน์ที่คริสตจักรแบ๊บติสต์ในนคร ลอสแอนเจลิส “แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที คนนั้นที่เห็นก็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าเขาพูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อ” (ยอห์น 19:34, 35) |
ยอห์นเป็นสาวกที่หนุ่มที่สุดในบรรดาสาวกของพระเยซู ตอนนั้นเขาพึ่งจะมีอายุแค่ 18 ปี และเขาก็เป็นสาวกคนเดียวที่ติดตามพระเยซูคริสต์ไปจนถึงที่กางเขน นั่นคือเหตุผลที่ประเทศสหรัฐต้องการชายหนุ่มระหว่าง 18 ถึง 22 ปีไปเป็นทหาร เพราะคนแก่ส่วนมากจะปิดตัวเองและไม่มีความกล้าพอ ผมจึงคิดว่านี่อาจเป็นเหตุผลที่ทำให้ทราบว่าการฟื้นฟูสมัยก่อนนั้นมักจะนำโดยพวกคนหนุ่ม – ทุกๆคน! ผมไม่เคยได้ยินว่ามีการฟื้นฟูเกิดขึ้นท่ามกลางคนชรา ผมต้องคิดอย่างรอบคอบ ผมได้เน้นถึงการฟื้นฟูเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว เพราะผมเห็นว่ามีการเข้าผิดกันอย่างมากมาย แต่ก็ไม่มีใครที่อยากจะรู้ถึงความจริง จำเป็นที่ผมต้องสอนคุณถึงเรื่องนี้อีก ผมเป็นทหารที่ชราแล้ว ผมผ่านสมรภูมิมาอย่างมากมาย – บางสรภูมินั้นรุนแรงมากๆ! เช่นการต่อสู้ที่สถานศึกษาพระคริสตธรรม การต่อสู้เรื่องการทำแท้ง และการต่อสู้เกี่ยวกับภาพยนต์ที่เลวๆ “การทดลองครั้งสุดท้ายของพระคริสต์” การต่อสู้คำสอนเทียมเท็จ การต่อสู้กับพวกเน้นการตัดสินใจนิยม และต่อสู้กับพวกที่หนีจากคริสตจักรของเราในโอลิเวส ผมเองยังเห็นกับตาตัวเองถึงการที่พระเจ้าทรงส่งการฟื้นฟูลงมาในสถานะการณ์ที่ไม่ปกติ ทหารแก่คนหนึ่งบอกว่า “รอก่อน! เรายังไม่พร้อม!” คนชรารู้อย่างนั้น ดักลาส แมคอาเธอร์ เป็นหนึ่งในนายพลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของอเมริกา ประธานาธิบดี รูสเวล ให้ท่านออกจากประเทศฟิลิปปินส์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง แต่ในขณะที่ท่านออกจากที่นั่น นายพลแมคอาเธอร์ กล่าวว่า "ผมจะกลับมาอีก” และท่านก็ทำอย่างนั้นจริงๆ! และแล้วเราก็ได้รับชัยชนะ! ขอบคุณพระเจ้า! เช่นเดียวกันหนุ่มสาวทั้งหลายเราจะกลับมา – และผมก็เชื่อว่าอย่างนั้น ไม่ช้าก็เร็ว เราจะเห็นการฟื้นฟูในยุคของเรา! พระเจ้าทรงส่งการฟื้นฟู กลับไปที่ยอห์น! เขาเป็นคนเช่นไร! เป็นคนที่กล้าหาญมากกว่าเปโตรเสียอีก! เขามีความเชื่อมากกว่าโทมัส เขายืนอยู่ที่กางเขนนั่น เขาเสี่ยงมากที่ไปอยู่ตรงนั้น คุณก็รู้! เขายืนที่นั่นเพื่อปกป้องมารดาของพระเยซูคริสต์ ตอนนั้นเขาเป็นเพียงแค่วัยรุ่น แต่เขาเป็นคนเช่นไร! เป็นฮีโร่ประเภทไหน! เขาเดินตามพระผู้ช่วยให้รอดของเขาตลอดจนถึงที่กางเขน! ผมมั่นใจว่าเขาต้องคิดแล้วคิดอีก แต่มันไม่มีทางอื่นอีก ไม่มีเลย พระคริสต์ทรงตรัสว่า "เราจะกลับมา" และพระผู้ช่วยให้รอดผู้ยิ่งใหญ่ของเรา พระองค์ของเราจะเสด็จกลับมา! พระองค์ตรัสว่า "เราจะกลับมาอีก" (ยอห์น 14: 3) และพระองค์จะทรงทำในสิ่งที่พระองค์ทรงตรัสนั้นอย่างแน่นอน! พวกเขากำลังตีเราในอิรัก พวกเขากำลังตีเราในอิหร่าน พวกเขากำลังตีเราในซีเรีย พวกเขากำลังตีเราในแอฟริกาเหนือ พวกเขาก็ยังกำลังตีเราในทำเนียบขาว! เขา อาจจะ กลาย เป็น จอม เผด็จการ! ผมได้ยินวุฒิสมาชิกสหรัฐคนหนึ่งกล่าวว่า เราอยู่ภายใต้ความหวาดกลัวต่อพวกผู้ก่อการร้าย! เราอาจจะต้องหนีไปอยู่ใต้ดิน – เหมือนอย่างที่พวกเขาถูกบังคับให้ทำตามในประเทศจีน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะทำอะไรก็ตาม ผู้บัญชาการที่ยิ่งใหญ่ของเราตรัสว่า "เราจะกลับมาอีก!" ขอบคุณพระเจ้า! เรามีพระสัญญานั้น! "พระองค์จะเสด็จมาอีกครั้ง" – ร้องเพลงท่อนรับนี้ด้วยกัน พระองค์จะเสด็จมาอีกครั้ง พระองค์จะเสด็จมาอีกครั้ง กลับไปที่ยอห์นอีกครั้ง! เป็นฮีโร่ประเภทไหน! เป็นคนประเภทไหน! ท่านถึงไปยืนดูองค์พระผู้เป็นเจ้าทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน! ผมมั่นใจว่าเขาต้องคิดแล้วคิดอีก และบางที และบางที... คำพูดของพระเยซูจะต้องวิ่งผ่านความคิดของท่านไปมาแน่นอน “บุตรมนุษย์จะต้องถูกทรยศให้อยู่ในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย – และเขาทั้งหลายจะประหารชีวิตท่านเสีย ในวันที่สามท่านจะกลับฟื้นขึ้นมาใหม่” (มัทธิว 17:22, 23) “บางที” “บางทีอาจไม่มีก็ได้!” “แต่บางทีอาจจะมี!” ผมมั่นใจความคิดเหล่านั้นต้องวิ่งผ่านใจของยอห์น อย่างแน่นอน และเขาอาจจะเฝ้ามองดูอย่างระมัดระวัง เพราะยอห์นรู้ว่าเขากำลังเห็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ในความเป็นจริงคือนั่นเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดเท่าที่เขาเคยเห็นมาก่อน ผมคิดว่ายอห์นรู้อย่างนั้น ผมยังคิดว่าเขายังรู้อีกว่าวันหนึ่งจะต้องเขียนในสิ่งที่เขาเห็นนี้! ด้วยเหตุนี้เขาจะต้องเห็นและเข้าใจอย่างถูกต้อง เขาจะต้องจดจำทุกรายละเอียด เช่นเดียวกับ Ernest Hemingway คิดว่าเขาจะต้องเขียน "ตรงตามข้อเท็จจริง – โดยไม่มีการแกล้งเขียนหรือผิดเพี้ยงใดๆ" ดังนั้นยอห์นจึงดูทุกอย่างด้วยความระมัดระวังและบันทึกทุกอย่างเอาไว้ในใจของเขา นั่นไม่ใช่สิ่งที่เราทำ ตอนคนที่เรารักเสียชีวิตอย่างนั้นหรือ? เราจำในสิ่งที่เราเคยผ่าน เราจำทุกรายละเอียด เหมือนกับเทปที่เราเปิดไปมาในใจของเรา คุณเป็นอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า? คนอเมริกันที่มีอายุรุ่นเดียวกับผมสามารถจำรายละเอียดทุกอย่างถึงวันที่ประธานาธิบดีเคนเนดี้ถูกลอกสังหาร เพราะมันถูกบันทึกไว้ในสมองของพวกเราตลอดไป ผมเองสามารถจำรายละเอียดถี่ถ้วนในวันที่คุณยายของผมเสียชีวิต - และนั่นคือ 58 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นผมมีอายุแค่ 15 ปี ผมก็จำรายละเอียดทุกอย่างในวันที่คุณแม่สุดที่รักของผมเสียชีวิต ผมรู้ว่าตอนนั้นอยู่ที่ไหน ตอนนั้นผมกำลังอ่านหนังสือ ผมรู้ว่าห้องที่แม่นอนที่โรงพยาบาลนั้นเป็นอย่างไร ผมจำได้ว่ามีภาพอะไรที่แขวนตามฝาผนังห้องนั้น ผมจำได้ว่าตอนนั้นแม่เป็นอย่างไร ผมจำคำพูดของพยาบาล ผมจำหน้าตานายแพทย์คนนั้นได้เป็นอย่างดี ผมยังจำเสื้อผ้าที่ท่านสวมใส่ ผมจำกลิ่นในห้องนั้น รายละเอียดเหล่านี้ถูกฝังอยู่ในใจของผมตลอดไป และนั่นก็เป็นสิ่งเดียวกันกับยอห์นในวันนั้น ไม่มีวันที่เขาจะลืมสิ่งที่เกิดขึ้นกับพระเยซูตอนที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน “แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที คนนั้นที่เห็นก็เป็นพยาน และคำพยานของเขาก็เป็นความจริง และเขาก็รู้ว่าเขาพูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อ” (ยอห์น 19:34, 35) ดร. อาร์ ซี ฌอช เลนสกี้ กล่าวว่า “นี่คือความจริงที่ว่า ความเชื่อของพวก [พวกเซนรินทัส และ] พวกจีน็อสติในสมัยก่อนปฏิเสธว่า โลโกส [พระคำ] ไม่ได้บังเกิดมาเป็นมนุษย์ พวกเขาสอนว่าวิญญาณ หรือ โลโกส (ตัวของพระคริสต์ หรือที่พวกเขาเรียกว่าพระคำ) ได้ออกจากคนที่ชื่อเยซูก่อนหน้าที่พระองค์จะถูกตรึงที่กางเขนแล้ว พระคริสต์...จึงไม่ได้ทนทุกข์ นี่คือความเชื่อนอกรีต พวกนี้บอกว่าพวกเขาสามัคคีธรรมหรือรับศิลมหาสนิทโดยที่ไม่มีการเสียสละและการชำระโดยพระโลหิตของพระเยซู พระองค์เป็นพระบุตรของ (พระเจ้า) นี่คือคำพูดของคนในทุกวันนี้ หรือพวกที่ดูหมิ่น [เหยียดหยาม] ศาสนศาสตร์แห่งโลหิต โลหิตของพระคริสต์นั้นมีความหมายมากกว่าแค่การสิ้นพระชนม์ พระโลหิตนั้นแสดงถึงการเสียสละ แสดงถึงการหลั่งออก ลูกแกะของพระเจ้าทรงหลั่งโลหิตเพื่อไถ่ถอน [ชดใช้]...นั่นคือพระโลหิตของพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า และพระเยซูทรงเป็นมนุษย์และมีโลหิตของพระเจ้า โลโกสแห่งชีวิต บุคคลที่สองแห่งตรีเอกานุภาพ ได้เสด็จมาเป็นมนุษย์ (ยอห์น 1:14) พระโลหิตของพระองค์มีฤทธิ์อำนาจและหลั่งลงมาชำระทุกบาป” (R. C. H. Lenski, Th.D., The Interpretation of the Epistles of St. John, Augsburg Publishing House, 1966, p. 389; comments on I John 1:7) ดร. เลนสกี้ เป็นลูเธอร์แลนคนหนึ่ง แต่ผมไม่สนใจว่าเขาเป็นใคร (และผมหมายถึงใครก็ได้) กล่าวว่า – เขาถูกต้อง – และเขาถูกต้องเสมอที่พูดถึงว่า “ศาสนศาสตร์แห่งโลหิต” ถูกปฎิเสธ “เพราะว่าเลือดเป็นที่ทำการลบมลทินบาปแห่งจิตวิญญาณ” (เลวีนิติ17:11) “แด่พระองค์ผู้ทรงรักเราทั้งหลาย และได้ทรงชำระบาปของเราด้วยพระโลหิตของพระองค์เอง” (วิวรณ์ 1:5) ผมชอบร้องเพลงนี้โดยไม่กลัวอะไรใดๆ ผมชอบร้องเพลงนี้ในคริสตจักรของ จอห์น แมคอาเธอร์! เพราะเขาไม่ให้ความสำคัญให้กับพระโลหิต เพราะเหตุนี้ผมจึงต้องร้องให้กับตัวของ จอห์น แมคอาเธอร์เอง! จิตวิญญาณของท่านพระเยซูล้างแล้วหรือ? โดยทางนั้น ยังมีอะไรอีกหรือที่ “ศาสนศาสตร์ที่กล่าวถึงพระโลหิตนั้นผิด”? ดร. มาร์ติน ลอย์โจนส์ กล่าวว่า ‘ผู้คนต่างพากันเกลียดศาสนศาสตร์แห่งโลหิต’ แต่ไม่มีศาสนศาสตร์ใดที่สำคัญเท่ากับพระโลหิตของพระคริสต์อีกแล้ว” (Martyn Lloyd-Jones, M.D., Assurance (Romans 5), Banner of Truth Trust, 1971, p. 148) จริงๆแล้วมีแค่สองศาสนศาสตร์ – ศาสนศาสตร์เกี่ยวกับการงานที่ดี และศาสนศาสตร์เกี่ยวกับพระโลหิต ศาสนศาสตร์ของฟินเนย์และศาสนศาสตร์ของลูเธอร์ ศาสนศาสตร์ของพวกตัดสินใจนิยม และศาสนศาสตร์ของนักปฏิรูป – มีแค่สองศาสนศาสตร์ที่ให้คุณเลือก ผมหวังว่าคุณจะเลือกอันที่ถูกต้อง เพราะว่า “และถ้าไม่มีโลหิตไหลออกแล้ว ก็จะไม่มีการอภัยบาปเลย” (ฮีบรู 9:22) คาอินนำผักมาถวาย (งาน การอธิษฐาน การตัดสินใจ) พี่ชายของเขา อาเบลของเขานำเลือดมาถวายให้กับพระเจ้า การถวายของคาอินถูกปฏิเสธ ส่วนอาเบลได้รับการยอมรับ นั่นคือภาพที่แสดงถึงสองทาง – ความรอดจากผลงานหรือความรอดด้วยเลือด พระคัมภีร์กล่าวถูกต้องและชัดเจน! คนมีสิทธิ์ที่จะคิดว่าพวกเขาได้รับความรอดจากผลงานของการทำงาน – หรือพวกเขาสามารถคิดว่าพวกเขาไม่สามารถทำดีพอ ดังนั้นพวกเขาจะต้องรับการชำระบาปโดยโลหิตของพระเยซูคริสต์ ดร. เลนสกี้ กล่าวว่า “ความบริสุทธิ์ และโลหิตอันมีค่าของพระคริสต์เท่านั้นสามารถนำคนบาปให้มาสามัคคีธรรมกับพระเจ้าได้ และให้เราอยู่ที่นั่น” (ibid., p. 390) ลูเธอร์บอกว่า “โลหิตของพระคริสต์คือโลหิตของพระเจ้า เป็นบุคคลเดียวกันและทรงนิรันดร์ แม้แต่เลือดเพียงหยดเดียวก็สามารถช่วยกู้คนทั้งโลกได้” (อธิบายจากพระธรรมอิสยาห์ 53:5) ลูเธอร์กล่าวอีกครั้งว่า “พระเยซูคริสต์ทรงสามารถใช้โลหิตเพียงหยดเดียวช่วยคนบาปทั้งหมดในโลกได้” (อธิบายมาจากพระธรรมกาลาเทีย 2:16) ลูเธอร์กล่าวครั้งที่สามว่า “พระองค์คือผู้ทรงไถ่เราด้วยพระโลหิตของพระองค์ โลหิตของพระองค์คือโลหิตของพระเจ้า พระผู้สร้างที่ยิ่งใหญ่ โลหิตของพระผู้ทรงสง่าราศี โลหิตของพระบุตรของพระเจ้า และเหล่าสาวกก็กล่าวอย่างนั้นด้วย” (อธิบายจาก ยอห์น 1:7; วิวรณ์ 1:5) อัครสาวกยอห์นกล่าวว่า “แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที” (ยอห์น 19:34) คงจะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะยกความจริงอื่นมาพูดถึงการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์บนไม้กางเขน ในหนึ่งยอห์น กล่าวว่า “พระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น” (1ยอห์น 1:7) หนึ่งยอห์นยังกล่าวอีกว่า “มีพยานอยู่สามพยานในแผ่นดินโลก คือพระวิญญาณ น้ำ และพระโลหิต และพยานทั้งสามนี้สอดคล้องกัน” (I ยอห์น 5:8) “แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมาทันที” (ยอห์น 19:34) นับว่า นิโคลัส ฟอน ซินเซนดอร์ฟ (1700-1760) เป็นหนึ่งในคริสเตียนที่ดีคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ เขาได้กลับใจใหม่หลังจากที่มาคิดเกี่ยวกับพระเยซู พระโลหิตของพระองค์บนไม้กางเขนว่า ได้ชำระบาปทั้งหมดของเขา คำพูดของพระเยซูคริสต์ผู้ถูกตรึงจากภาพด้านบนสุดที่เขาพบเห็นได้สัมผัสใจของเขา "นี่คือที่เราได้ทำเพื่อเจ้า แล้วเจ้าจะทำอะไรให้เราบ้าง?" นี่แหละที่ทำให้ชายหนุ่มคนนี้หันกลับจากบาป เพราะเขารู้ว่าพระโลหิตของพระคริสต์ได้ชำระบาปของเขา เขาเริ่มทำงานโดยส่งมิชชันนารี โมราเวียน ไปจนสุดปลายแผ่นดินโลก อันที่จริงแล้วเขาคือผู้ริเริ่มก่อตั้งองค์กรส่งมิชชันนารีในยุคสมัยใหม่ หนึ่งในมิชชันนารีของเขาได้นำ จอห์น เวสลีย์ มาพบกับพระคริสต์ ดังนั้นเขาจึงมีส่วนสำคัญต่อการฟื้นฟูใหญ่ครั้งแรก และรวมถึงคณะเมทอดิสต์ทั้งหมดก็ว่าได้ เขามีบทบาทต่อ วิลเลียม แครี่ (1761-1834) โดยเหตุนี้ แครี่ จึงเป็นมิชชันนารีแบ๊บติสคนแรกที่ไปประกาศยังประเทศอินเดีย จากนั้นก็มีมิชชันนารีแบ๊บติหลายร้อยตามเขาไป การเทศนาทั้งหมดของซินเซนดอร์ฟนั้นล้วนมีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง และซินเซนดอร์ฟ ก็กล่าวว่า "โลหิตของพระคริสต์ไม่ได้เป็นเพียงการรักษาเราให้หายจากบาปก็ยังเป็นหัวใจสำคัญ [หลัก] ที่บำรุงชีวิตของคริสเตียนด้วย" ท่านเทศน์อย่างต่อเนื่องถึงบาดแผลและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ท่านกล่าวว่า "พระวิญญาณมาหาเราโดยทางโลหิตแห่งความรอด" ท่านกล่าวว่า "ผมกระหายและคิดถึงบาดแผลของลูกแกะของพระเจ้า เพื่อล้างผมให้สะอาดในพระโลหิตของพระองค์" ท่านเขียนเพลงนี้ในภาษาเยอรมันและจอห์น เวสลีย์แปลเป็นภาษาอังกฤษ พระโลหิตและความชอบธรรมของพระคริสต์ ออกัสตัส โทพลาดี (1740-1778) ไม่ใช่คนที่โง่ เพราะท่านเข้ารับการศึกษาที่โรงเรียนเวสมินสเตอร์ และพระคริสตธรรมทรีนิตี้ในเมืองดูบริน ประเทศไอร์แลนด์ ท่านกลับใจใหม่ตอนอายุ 15 ปี ท่านได้รับการสถาปนาในคริสตจักรที่ประเทศอังกฤษตอนอายุ 24 ปี เอลจิน เอส โมเยอร์ กล่าวถึงท่านว่า "แชมป์ผู้ที่ยิ่งใหญ่แห่งคาลวินแห่งคริสตจักรในอังกฤษได้โต้เถียงและเขียนด้วยความมุ่งมั่นที่ดี" (Who Was Who in Church History, Moody Press, 1968, p. 408) คนดีและนักวิชาการคนนี้คือผู้ที่ประพันธ์บทเพลงที่เราร้องก่อนที่ผมจะเทศนา โทพลาดีเรียกว่าพระเยซูในบทเพลงนี้ว่าศิลามั่นคง ผมได้ยินเพลงนี้ครั้งแรกในงานศพยายของผม ตอนนั้นผมพึ่งมีอายุแค่สิบห้าปี ในสมัยเด็กนั้นผมรู้สึกภูมิใจมากที่มีหนังสือเพลง และอ่านคำเหล่านั้นครั้งแล้วครั้งเล่า นั่นคือเพลงบทที่หนึ่งในหนังสือเพลงของคุณ จงร้องเพลงนี้ด้วยกัน ศิลามั่นคงนั้นถูกวางให้ข้า เพื่อให้ข้าจะได้หลบซ่อนตัวที่นั่น เป็นคำอธิษฐานที่มีต่อพระเยซู ผู้ที่ถูกวาง (ฉีกขาดออกจากกัน) บนไม้กางเขน เป็นคำอธิษฐานถึงพระเยซู เพื่อขอให้พระองค์ทรงชำระเราจากบาปโดยน้ำและโลหิตที่ไหลจากสีข้างของพระองค์ ยอห์นเห็นฌโลหิตและน้ำไหล่ออกมาจากสีข้างของพระเยซู นั่นจะต้องหมายความว่าพวกทหารเอาที่บรรจุถุงน้ำ โยนใส่ศีรษะของพระเยซู โลหิตและน้ำผุดออกมาจากใจของพระเยซู – โลหิตและน้ำนั้นจึงไหลลงมา นั่นมหายความว่าโลหิตและน้ำนั้นมีความสดใหม่ เพื่อชำระและทำความสะอาดคุณจากบาปทั้งหมดและช่วยกู้จิตวิญญาณของคุณตลอดเวลาและชั่วนิรันดร์ ตอนคุณมาที่พระเยซูโดยทางความเชื่อ ทันใดนั้นบาปทั้งหมดของคุณก้ได่รับการชำระในสายพระเนตรของพระเจ้า อย่ามองหาอารมณ์หรือความรู้สึก แต่ให้มองไปที่พระเยซู วางใจพระองค์ด้วยใจของคุณ ไม่มีที่คุณจะลืมวันที่คุณได้รับการชำระในสายพระเนตรของพระเจ้าโดยโลหิตที่บริสุทธิ์และมีค่าของพระเยซู ยอห์นเขียนพระธรรมตอนนี้โดยใช้สรรพนามบุรุษที่สาม แต่ผมจะเปลี่ยนมาเน้นให้อยู่ในรูปของบุรุษที่หนึ่ง “แต่ทหารคนหนึ่งเอาทวนแทงที่สีข้างของพระองค์ และโลหิตกับน้ำก็ไหลออกมา [ทันที] คนนั้น [ข้า] ที่เห็น [และ] ก็เป็นพยาน และคำพยานของเขา [ข้า] ก็เป็นความจริง และเขา [ข้า] ก็รู้ว่าเขา [ข้า] พูดความจริง เพื่อท่านทั้งหลายจะได้เชื่อ” (ยอห์น 19:34, 35) ยอห์นเขียนว่าคุณควรจะเชื่อและได้รับความรอดจากบาปและการพิพากษาโดยโลหิตและน้ำที่ไหลจากสีข้างของพระเยซูพระบุตรของพระเจ้า อย่าพยายามที่จะเข้าใจมันทั้งหมด เพราะมันอยู่ลึกเกินไปสำหรับคุณที่จะเข้าใจได้ ยอห์นเขียนเพื่อให้คุณเชื่อด้วยใจ ตอนที่คุณวางใจพระเยซู คุณจะถูกชำระล้างทำความสะอาดและคุณจะได้รับความรอด อาเมน ดร. ชานกรุณานำเราอธิษฐาน หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452 (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดยท่าน อาเบล บรูดโฮมมี ยอห์น 19:31-37. |