เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
หลักคำสอนของการฟื้นฟู (บทเทศนาที่ 20 ถึงการฟื้นฟู) โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ บทเทศนาเทศน์ที่คริสตจักรแบ๊บติสต์ในนคร ลอสแอนเจลิส |
อัครสาวกยูดาห์นั้นเป็นน้องชายของพระเยซู เริ่มแรกนั้นท่านประสงค์ที่จะเขียนเกี่ยวกับความรอดให้แก่คนทั่วไป แต่ตอนที่ท่านเริ่มต้นที่จะเขียนนั้นพระวิญญาณก็ดลใจให้ท่านเขียนอีกอย่างหนึ่ง เพราะท่านได้ยินว่ามีคนนั้นคำสอนเทียมเท็จเข้ามาสอนในคริสตจักร ท่านจึงจำเป็นต้องเขียนบอกพวกเขาถึงการ “ต่อสู้อย่างจริงจังเพื่อความเชื่อ” ท่านสอนให้ต่อสู้และปกป้องพระคัมภีร์ พวกเขาต้องยืนหยัดและมั่งคง – ต่อสู้ – ปกป้องหลักคำสอนของคริสเตียน! ต่อสู้อย่างจริงจังเพื่อความเชื่อที่พระเจ้าทรงประทานให้ อย่าทอดทิ้ง อย่าเพิ่ม อย่าตัดออก! ไม่เคยมียุคไหนที่คำพูดต่อไปนี้เหมาะเท่ากับพูดให้กับยุคนี้! เราอยู่ในช่วงเวลาที่คริสตจักรในอเมริกาและยุโรปกำลังจะตาย ประมาณ 88% ของคนหนุ่มสาวหนีออกจากคริสตจักรก่อนอายุ 30 ปี ผู้รับใช้ต่างๆไม่เคยคิดหรือมีวิธีการที่นำคนหนุ่มสาวเหล่านั้นให้กลับใจใหม่ ดร. คาร์ล เฮนรี่ เฮฟ เอช กล่าวว่าเหมือนว่าผมกำลังจะหยุดหายใจตอนที่อ่านข้อความนี้ ความจริงเกี่ยวกับพระเจ้า คือความจริงของการเปิดเผยของพระเจ้า การทราบถึงพระประสงค์ของพระเจ้า ฤทธิ์อำนาจการทรงไถ่ของพระองค์และอำนาจในพระวจนะของพระองค์กำลังจะหายไปในยุคของเรา สำหรับยุคแห่งการไม่เชื่อนี้ [เรากำลัง] มุ่งมั่นอยู่กับการละทิ้งพระเจ้า ... คริสตจักรต่างๆล้วนแต่เหี่ยวแห้งและไร้พละกำลัง (Carl F. H. Henry, Th.D., Ph.D., “The Barbarians Are Coming,” Twilight of a Great Civilization: The Drift Toward Neo-Paganism, Crossway Books, 1988, pp. 15, 17) ในช่วงระยะสี่สิบปีที่ผ่านมานี้ ผมคิดวิธีการต่างๆในการสร้างคริสตจักรเพื่อสร้างความหวังให้กับผู้คนที่อยู่ในช่วงเวลาที่ไร้ความหวัง การไร้ความหวังในยุคนี้ทำให้คริสตจักรของเราเหี่ยวแห้งและไม่สามารถช่วยเหลือพวกอนุชน – คุณรู้ว่าผมพูดความจริง! ดร. มาร์ติน ลอยด์ โจนส์ กล่าวว่า “การละทิ้งความเชื่อนี้เกิดขึ้นมากกว่า [150] ปีที่ผ่านมา” (Martyn Lloyd-Jones, M.D., Revival, Crossway Books, 1987, p. 55) ผมบอกคุณว่า “ทำไมยังเงียบเหงา? กลับบ้าน – ที่คริสตจักร! ยังหลงหายทำไม? กลับบ้าน – ที่พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า” พวกคุณไม่มีใครได้ยินผมจนกว่าพระเจ้าจะทรงส่งไฟแห่งพระวิญญาณลงมา! ใช่! ไฟแห่งพระวิญญาณนี้ทำให้เกิดการฟื้นฟู! นั่นคือที่เราต้องการ! นั่นคือที่เราจำเป็นต้องได้! ไฟแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์! – ในคริสตจักรของพระเจ้านี้!!! นั่นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ เราต้องสร้างพื้นฐาน เราต้องเขียนเตือนสติท่านให้ต่อสู้อย่างจริงจังเพื่อความเชื่อซึ่งครั้งหนึ่งได้ทรงโปรดมอบไว้แก่วิสุทธิชน” (ยูดาห์ 3) ความเชื่อนี้คือพื้นฐานที่เราควรต้องมีเพื่อให้เกิดการฟื้นฟู ดร. ลอยด์ โจนส์เขียนหนังสือเล่มหนึ่งเกี่ยวกับการฟื้นฟูได้ดีมาก เขากล่าวว่า ตามประวัติศาสตร์นั้นไม่มีการฟื้นฟูเกิดขึ้นได้ หากมีการปฏิเสธความสำคัญแห่งความจริง ผมถือว่านี้คือจุดที่สำคัญมาก คุณไม่เคยได้ยินว่ามีการฟื้นฟูในคริสตจักร หากปฏิเสธหลักสำคัญเกี่ยวกับความจริงทางด้านความเชื่อ ตัวอย่างเช่นไม่มีทางที่คุณจะเห็นการฟื้นฟูท่ามกลางคนหัวแข็ง คุณไม่เคยได้ยินเพราะว่าพวกเขาไม่อาจเป็นหนึ่งเดียวกันได้ นั่นคือความจริงที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ (Lloyd-Jones, ibid., p. 35) ดร. ลอยด์ โจนส์ กล่าวว่า “ไม่มีอะไรเกิดขึ้นยกเว้นคำสอนนี้ถูกนำมาใช้เป็นส่วนสำคัญเพื่อให้เกิดการฟื้นฟู ... ผมกำลังหนุนให้ยืดถือหลักแห่งความจริงเพื่อใหเกิดการฟื้นฟู ตราบใดที่ยังมีการปฎิเสธ หรือละเลย หรือละทิ้ง เราไม่มีสิทธิ์ที่จะรับพระพรจากการฟื้นฟู” (ibid., pp. 35, 36, 37). Dr. Lloyd-Jones then listed those great doctrines. ดร. ลอยด์ โจนส์ 1. ประการแรก เราต้องต่อสู้ปกป้องถึงการทรงพระชนม์อยู่ของพระเจ้า หากเราอยากให้มีการฟื้นฟู พระองค์คือพระเจ้าผู้ทรงทำงานในประวัติศาสตร์ของคริสเตียน ไม่ว่าคนจะสอนผิดอย่างไรก็ตาม อัครสาวกเปาโลกล่าวว่า “รากฐานแห่งพระเจ้านั้นอยู่อย่างมั่นคง” (2 ทิโมธี 2:19) รากฐานที่มั่นคงของพระเจ้านั้นมั่งคง ไม่ว่าโลกนี้จะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม – ไม่ว่าคนจะพูดถึงพระคัมภีร์และคริสเตียนอย่างไรก็ตาม - “รากฐานแห่งพระเจ้านั้นอยู่อย่างมั่นคง” ผมเติบโตในครอบครัวที่ไม่เป็นคริสเตียน พวกเขาบางคนเป็นพวกจีน็อสติสต์ บางคนไม่เชื่อพระเจ้า บางคนติดตามความคิดของ “ยุคสมัยใหม่” พวกเขาบางคนยังเป็นคริสเตียนที่เข้มแข็ง และอวดว่าพวกเขาสามารถสื่อสารกับคนตายได้ ญาติพี่น้องของผมทั้งหมดไม่ใช่คริสเตียน แต่ผมกลับมาพบกับพระเจ้า ผมรู้ว่าพระเจ้าในพระคัมภีร์คือพระเจ้าแห่งความจริง เมื่อก่อนผมรู้ตอนนี้ผมก็รู้ พระองค์คือผู้ครอบครอง พระเจ้าเที่ยงแท้ พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ เราสามารถอธิษฐานขอพระเจ้าทรงกระทำสิ่งมหัศจรรย์! ไม่มีการฟื้นฟูหากไม่มีความเชื่อ เราจะอธิษฐานขอพระเจ้าอย่างไรหากพระองค์ไม่ทรงพระชนม์? ทำไมเราถึงอธิษฐานขอพระเจ้าหากพระองค์ไม่ได้เสด็จลงมาและทรงสามารถเปลี่ยนสิ่งต่างๆ? 2. ประการที่สอง เราต้องปกป้องพระวจนะ หากเราอยากให้มีการฟื้นฟู พระวจนะคือการเปิดเผยของพระเจ้า พระเจ้าทรงสำแดงพระองค์เองให้มนุษย์ผ่านทางพระคัมภีร์ โลกนี้มีศาสนาและปรัชญามากมาย เราจะรู้ได้อย่างไรว่าอันไหนปลอมอันไหนจริง? แต่ละคนมีความคิดเป็นของตัวเอง พวกเขาสร้างพระเจ้าด้วยตัวเอง แต่ความจริงพวกเขาทำอย่างนั้นไม่ได้ ตอนที่ผมยังเป็นเด็กก็ฟังดูแล้วเห็นว่าแต่ละคนนั้นก็แตกต่างกันออกไป พวกเขาพูดเหมือนอย่างมืออาชีพ แต่จริงๆแล้วพวกเขาโง่ ผมจำได้ว่าตอนเด็กๆนั้นเคยคิดว่า “คนเหล่านั้นไม่รู้จักพระเจ้าเลย พวกเขาได้แต่บอกเรื่องของตัวเอง” ผมตัดสินใจแม้ก่อนที่จะมารับความรอด ตอนนั้นผมก็เริ่มเชื่อพระวจนะ – ไม่ใช่ความคิดของมนุษย์ ในช่วงวัยหนุ่มผมจึงท่องจำพระธรรมสดุดี 119:130 “การคลี่คลายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย” (สดุดี 119:130) “พระดำรัสของพระองค์นั้น ข้าพระองค์ชิมแล้วหวานจริง ๆ หวานกว่าน้ำผึ้งเมื่อถึงปากข้าพระองค์ ข้าพระองค์ได้ความเข้าใจโดยข้อบังคับของพระองค์ เพราะฉะนั้นข้าพระองค์เกลียดชังวิถีเท็จทุกอย่าง” (สดุดี 119:103, 104) “พระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้า และเป็นประโยชน์ในการสอน การตักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก้ไขคนให้ดี การอบรมในเรื่องความชอบธรรม เพื่อคนของพระเจ้าจะดีรอบคอบ พรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง” (2 ทิโมธี 3:16, 17) หากคุณอ่านการฟื้นฟูในประวัติศาสตร์ คุณก็จะรู้ถึงความเชื่อของคนเหล่านั้น ในขณะเดียวกันคุณไม่พบว่าจะมีการฟื้นฟูเกิดขึ้นท่ามกลางคนที่ไม่เชื่อพระคัมภีร์แบบคำต่อคำ ไม่มีการฟื้นฟูในแหล่งคนที่ได้แต่เอาความคิดของตัวเองใส่ลงไปในพระคัมภีร์ ทำไม? เพราะว่าพระวจนะคือคำตรัสของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์ ผมรู้ว่ายังมีคนที่เชื่อพระคัมภีร์เฉพาะตอนที่พวกเขาเห็นด้วยเท่านั้น แต่ความจริงคือพวกเขาไม่ใช่คริสเตียนที่ดี และพวกเขาก็ไม่ได้รับคำตอบจากการอธิษฐาน การไม่เชื่อพระคัมภีร์คือเหตุผลหลักที่ทำให้เราไม่มีการฟื้นฟูในทุกวันนี้ 3. ประการที่สาม เราอย่าข้องแวะกับคนที่อยู่ในความบาป คนที่ครอบงำด้วยบาป หากเราอยากให้มีการฟื้นฟู ประการที่สามนี้คือ คนที่เพิกเฉยหลักคำสอน เพราะเกิดมาในฐานะคนบาป เป็นคนบาปโดยธรรมชาติและอยู่ภายใต้พระพิโรธของพระเจ้า หากอ่านประวัติศาสตร์คริสตจักรแล้วคุณจะพบว่าคนที่ตายในฝ่ายวิญญาณ เพราะว่าเกิดมาฐานะคนบาป ความชั่วร้ายที่สุดของมนุษย์นั้นคือคนบาปที่ต่อต้านการฟื้นฟู ตอนที่พระเจ้าทรงส่งการฟื้นฟูลงมา คุณก็จะเห็นว่าคนจะร้องไห้เสียใจ เพราะรับรู้ว่าเป็นคนบาป พวกเขารับรู้ตามที่อาจารย์เปาโลกล่าวในที่นี้ “ด้วยว่าการดีนั้นซึ่งข้าพเจ้าปรารถนาทำ ข้าพเจ้าไม่ได้กระทำ แต่การชั่วซึ่งข้าพเจ้ามิได้ปรารถนาทำ ... โอ ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจจริง!” (โรม 7:18, 24) เฉพาะคนที่เห็นว่าตัวเองนั้นเต็มไปด้วยบาปและการทรยศ และมีการต่อสู้ภายในตัวของคนๆนั้น ความเกลียดชังตัวเองเป็นหนึ่งในสิ่งที่ขาดหายไปอย่างสิ้นเชิงในคริสตจักรของเรา ในทุกวันนี้ มันเป็นเรื่องยากมากสำหรับคนที่จะมารับรู้ว่าตัวเองเป็นคนบาป บรรพบุรุษของเราเชื่อว่ามีความผิดบาปถึงขนาดที่นอนไม่หลับ - และพวกเขาก็ร้องขอความเมตตา บรรพบุรุษของแบ๊บติสของเราอย่าง จอห์น บันยัน เป็นอย่างนั้นถึงสิบแปดเดือนก่อนที่พระเยซูจะทรงช่วยกู้เขา แต่คุณไม่สามารถมีการฟื้นฟูโดยที่คนไม่มีประสบการณ์อย่างนั้น ดร. ลอยด์ โจนส์ กล่าวว่า "ถ้าจิตใจของคุณไม่ตระหนักถึงภัยพิบัติ และความโหดร้ายแห่งธรรมชาติที่คุณได้รับมาจากอดัม หากคุณไม่เห็นความสิ้นหวังของคุณ และความไร้ที่พึ่ง และมีการต่อหน้าความบริสุทธิ์นี้ พระเจ้าผู้ชอบธรรมทรงเกลียดบาป ไม่มีทางคุณจะมาพูดถึงการฟื้นฟูหรืออธิษฐานเผื่อ ในเมื่อการฟื้นขึ้นขึ้นอยู่กับพระเจ้าแล้ว มนุษย์ทุกคนก็ไม่มีความหวังเพราะความบาป" (ibid., p. 42) 4. ประการที่สี่ เราต้องปกป้องความเชื่อของเราที่เชื่อถึงการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์บนไม้กางเขน – พระโลหิตของพระองค์ หากเราอยากมีการฟื้นฟู ในทุกวันนี้ มันเป็นความจริงที่น่าเศร้าที่มีการพูดถึงพิธีศิลมหาสนิทในแบบความเชื่อของคาทอลิกมากกว่าความเชื่อแบบแบ๊บติสและอีเวนเจลิคอล์ ใช่ผมรู้ว่าความคิดของพวกเขาเกี่ยวกับพิธีศิลมหาสนิท นั้นผิดแน่นอน เราเองก็ผิดเหมือนกัน ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าเราไม่ได้พูดถึงการที่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน มีคริสเตียนอย่างพวกอีเวนเจลิคอลยังคิดว่าสามารถรับการอภัยบาปจากพระเจ้าโดยที่ไม่ต้องพึ่งการทรงไถ่ของพระคริสต์บนไม้กางเขน นักเทศน์ชั่วสายเสรีนิยมอย่าง แฮร์รี่ เมอร์สัน ฟอสดิสก์ และคนที่ถูกวิญญาณชั่วครอบงำอย่าง บิชอป เจมส์ ปาย เพราะชอบเทศนาโจมตีหญิงพรมจารีย์ พระโลหิตของพระเยซูคริสต์ และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูคริสต์ แต่ทุกวันนี้พวกเขาต่างก็อ่อนแอ การเทศนาของพวกเขานั้นแถบไม่มีพระเยซูคริสต์อยู่ในนั้น! พวกเขาเทศนาโดยที่ไม่มีพระคริสต์เป็นศูนย์กลาง ผมจึงแน่ใจว่านี่คือเหตุผลที่หญิงสาวที่เรียนอยู่ในวิทยาลัยและไปที่คริสตจักรของ ริก วอร์เรน บอกว่าเธอไปที่นั่นตลอดชีวิตของเธอ แต่กลับไม่สามารถพูดถึงพระเยซูแม้แต่คำเดียว! - คำเดียวก็ไม่มี – ถึงพระเยซูคริสต์ – นั่นคือตอนที่ผมขอเธอให้เป็นพยานชีวิตของเธอให้ผมฟัง อย่างไรก็ดีเธอไม่ใช่คนเดียวที่เป็นอย่างนั้น ตอนที่เราขอให้คริสเตียนแบ็บติสต์และพวกอีเวนเจลิคอล์เป็นพยาน เราจะพบว่า 20 คนนั้น ไม่มีแม้แต่คนเดี่ยวที่กล่าวถวายเกียริตแด่พระคริสต์ พวกเขาพูดแต่เรื่องส่วนตัว สิ่งที่พวกเขาคิด สิ่งที่พวกเขารู้สึก มีแต่ส่วนน้อย– น้อยจริงๆ – ที่กล่าวถึงองค์พระเยซูคริสต์ เพราะคนส่วนมากได้ยินเกี่ยวกับพระองค์น้อยมาก แล้วคุณจะเอาอะไรมากกับคนพวกนี้ให้กล่าวถึงพระเยซูคริสต์จากคำพยานของพวกเขา! ดร. ไมเคิล ฮอร์ตัน สอนศาสนศาสตร์ระบบที่เวสมิสเตอร์วิทยาลัยรัฐแคลิฟอร์เนีย ดร. ฮอร์ตัน เขียนหนังสือได้เล่มหนึ่งชื่อ Christless Christianity: The Alternative Gospel of the American Church (Baker Books, 2012 edition) แนวโน้มที่น่ากลัวนี้แสดงให้เห็นว่า คริสตจักรซึ่งเป็นพระกายของพระเยซูคริสต์ได้ตัดพระองค์ออกจากคริสตจักร! นี่เป็นจริงให้กับคริสตจักรแบ๊บติสอิสระ หนึ่งในเหตุผลที่คริสตจักรแบ๊บติสอ่อนแอ เพราะว่าพวกเขาปิดการนมัสการในคืนวันอาทิตย์ ศิษยาภิบาลใช้เวลาประมาณ 30 นาทีต่อสัปดาห์สอนถึงการดำเนินชีวิต “คริสเตียน” อย่างไร โดยปกติแล้วคำเทศนาเหล่านั้นเหี่ยวแห้งเป็นเหมือนฝุ่น เทศน์แบบที่เรียกว่า "อรรถธิบายพระคัมภีร์" ในตอนท้ายของการเทศนานั้น นักเทศน์ก็ถามว่าใครต้องการความรอดก็ขอให้ยกมือ ไม่จำเป็นต้องเทศนาถึงพระกิตติคุณของพระคริสต์ พระโลหิตของพระองค์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ ผู้คนไม่จำเป็นต้องใช้ในตอนนี้ ทั้งหมดที่พวกเขาต้องทำคือการกรอกข้อความ ยกมือของพวกเขาและพูดบางอย่างที่แม้ตัวเองก็ไม่เข้าใจ (อย่างที่เรียกว่าบทอธิษฐานสารภาพของคนบาป) และแล้วพวกเขาก็มารับบัพติศมา ดังนั้นเด็ก ๆ ของเราที่เคยรับบัพติศมานับหมื่นคนกลับละทิ้งพระเจ้าไป เพราะเหตุไม่เคยได้ยินคำเทศนาที่พูดถึงพระเยซูคริสต์เลย - เราจึงไม่สงสัยเลยว่าทำไมถึงไมมีการฟื้นฟูมานานกว่า 150 ปี! ด้วยเหตุนี้อย่าไปหวังว่าจะมีการฟื้นฟูเกิดขึ้นท่ามกลาง “พวกที่ไม่มีพระคริสต์” ในคริสตจักรของเรา? นั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ผมบอกคนใน YouTube และในเว็บไซต์ของเราทุกสัปดาห์ว่า อย่าไปเข้าร่วมคริสตจักรที่ไม่มีการนมัสการในวันอาทิตย์ตอนเย็น! อย่างที่โลทบอกภรรยาของเขาว่า "ออกไปและห้ามเหลวหลัง!" อนุชนทั้งหลาย คุณต้องหันไปที่พระคริสต์ และรับการชำระล้างโดยพระโลหิตอันมีค่าที่หลั่งบนไม้กางเขนของพระองค์ เพื่อช่วยให้คุณรอดจากบาป และการพิพากษาของพระเจ้า! ดร. ลอยด์ โจนส์ กล่าวว่า "สิ่งสำคัญของการฟื้นฟูคือถวายพระเกียรติแด่พระเยซูคริสต์พระบุตรของพระเจ้า" (ibid., p. 47) นอกจากนี้ ดร. ลอยด์ โจนส์ ยังกล่าวอีกว่า "คุณจะพบว่ทุกช่วงของการฟื้นฟูนั้นเกิดขึ้นได้ และไม่มีข้อยกเว้น นั่นคือเน้นและให้ความสำคัญต่อโลหิตของพระคริสต์" (ibid., หน้า 48) ผู้ช่วยศิษยาภิบาลของเราคือ ดร. คาเกน เคยเข้าร่วมคริสตจักรของ ดร. จอห์น แมคอาเธอมานานกว่าหนึ่งปี - ทุกวันอาทิตย์ ผมเองมีเทปบันทึกของดร. แมคอาเธอ เราทั้งสองรู้ว่า ดร. แมค ไม่ให้ความสำคัญต่อพระโลหิตของพระคริสต์และยังมีการเปลี่ยนความหมายจาก "โลหิต" ไปเป็น "ความตาย" หลายต่อหลายครั้งในการเทศนาของท่าน ทำไมท่านทำอย่างนั้น? ง่ายมาก! ท่านเป็นนักเทศน์สมัยใหม่ที่ไม่สนใจเกี่ยวกับการฟื้นฟูเหมือนสมัยก่อน แต่ดร. ลอยด์ โจนส์ กล่าวถูกต้องตอนที่กล่าวว่า "เส้นประสาทสำคัญ จุดศูนย์กลางและหัวใจของข่าวประเสริฐนั้นคือ 'พระเจ้าได้ทรงตั้งพระเยซูไว้ให้เป็นที่ลบล้างพระอาชญา โดยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์ (โรม 3:25 ) 'เราได้รับการไถ่โดยพระโลหิตของพระองค์ คือได้รับการอภัยโทษบาปของเรา (เอเฟซัส 1: 7) " (ibid., p. 48) ดร. ลอยด์ โจนส์ กล่าวอีกครั้งว่า "ผมเห็นว่าไม่มีความหวังใดที่จะมีการฟื้นฟูเกิดขึ้น หากชายและหญิงปฏิเสธโลหิตกางเขน และไม่ละทิ้งความโอ้อวดของเรา" (ibid., p. 49) สมัยก่อนที่มีการฟื้นฟูนั้น การเทศนาและการร้องเพลงของแต่ละคนนั้นต่างก็ให้ความสำคัญถึงพระโลหิตของพระเยซู ลองฟังบางเพลงเหล่านั้น อาลา! พระองค์ของข้าๆทรงหลั่งโลหิต? มีบ่อนำพุที่เต็มไปด้วยโลหิต พระองค์เสด็จจากเบื้องบนลงมาหาข้าพระองค์ กางเขาและพระโลหิตของพระคริสต์มาทุกครั้งที่มีการฟื้นฟู – เหมื่นอย่างที่ ดร. ลอยด์โจนส์ กล่าวเอาไว้ 5. ประการที่ห้า เราต้องปกป้องและเชื่อในพันธกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากเราอยากให้มีการฟื้นฟู การงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์นั้นคือฤทธิ์อำนาจที่ช่วยให้เราเข้าใจในทุกคำสอน พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำอะไร? พระองค์ทรงทำให้พระเจ้ากลายเป็นความจริงให้กับเรา พระองค์ทรงเปิดตาแห่งจิตวิญญาณของเรา เพื่อให้เห็นความจริงในพระคัมภีร์ พระองค์ทรงทำให้เรารู้ถึงความบาป ดังนั้นเราจะรู้สึกว่า อยากได้พระโลหิตของพระเยซูมาชำระบาปของเรา! "เมื่อพระองค์นั้นเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงกระทำให้โลกรู้สึกถึงความผิดบาป" (ยอห์น 16: 8) จากนั้น พระองค์ก็นำคุณมาที่พระเยซู ทำให้คุณวางใจพระเยซู ตอนที่เราได้รับการชำระโดยพระโลหิตของพระเยซูแล้ว พระเยซูตรัสว่า "พระองค์จะทรงให้เราได้รับเกียรติ [เพราะว่าพระองค์จะทรงเอาสิ่งที่เป็นของเรามาสำแดงแก่ท่านทั้งหลาย]" (ยอห์น 16:14) เพื่อนๆที่รักของผม เราอธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาในคริสตจักรของเรา – เพราะว่าเราต้องการที่จะเห็นคนที่หลงหายไปที่อยู่ท่ามกลางพวกเรามาเชื่อว่าเป็นคนบาป และถูกนำมาที่พระเยซู และรับการอภัยบาปโดยพระโลหิตของพระองค์ แต่พวกที่เป็นทาสของบาป และไม่สามารถหนีออกจากคุกมาที่พระเยซู พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่ทรงสามารถทำลายประตูคุกบาปที่ขังพวกเขาเอาไว้ พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่ทรงสามารถนำคนบาปมาที่พระเยซู เพื่อรับความรอดโดยทางพระโลหิตและกางเขนของพระองค์! คุณต้องกลับมาที่คริสตจักรที่นี่ เพื่อเรียนรู้ถึงการกลายมาเป็นคริสเตียนที่แท้จริง! จงทำเถิด! กรุณายืนขึ้นและร้องเพลงบทที่ 3 ““There is Power in the Blood” ท่านอยากจะพ้นจากความบาปของท่านหรือ? ดร. ชานกรุณานำเราอธิษฐาน หากคุณได้รับพระพรจากบทเทศนานี้ ดร. ไฮเมอร์ส อยากจะได้ยินจากคุณ ตอนที่เขียนจดหมายถึง ดร. ไฮเมอร์ส กรุณาบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือหากท่านไม่อาจตอบอีเมลล์ของท่าน หากบทเทศนานี้เป็นพระพรให้กับคุณ กรุณาเขียนอีเมล์ส่งไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส และบอกท่านว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร และนี่คืออีเมล์ของดร.ไฮเมอร์ส – rlhymersjr@sbcglobal.net (คลิกที่นี่) คุณสามารถเขียนถึง ดร. ไฮเมอร์ส ในภาษาของคุณ แต่หากเป็นไปได้ก็ขอให้เขียนเป็นภาษาอังกฤษ หรือเขียนส่งจดหมายส่ง ดร. ไฮเมอร์ส ทางไปรษณีตามที่อยู่นี้ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. คุณสามารถโทรศัพท์ไปท่านได้ที่ (818)352-0452 (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อธิษฐานก่อนเทศนาโดย ท่าน Abel Prudhomme. |
โครงร่างของ หลักคำสอนแห่งการฟื้นฟู (บทเทศนาที่ 20 ถึงการฟื้นฟู) โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “ท่านที่รักทั้งหลาย เมื่อข้าพเจ้าพากเพียรเขียนถึงท่านทั้งหลายในเรื่องเกี่ยวกับความรอดสำหรับคนทั่วไปนั้น ข้าพเจ้าก็เห็นว่า ข้าพเจ้าจำเป็นต้องเขียนเตือนสติท่านให้ต่อสู้อย่างจริงจังเพื่อความเชื่อซึ่งครั้งหนึ่งได้ทรงโปรดมอบไว้แก่วิสุทธิชนแล้ว เพราะว่ามีบางคนได้เล็ดลอดเข้ามาอย่างไม่รู้ตัว ซึ่งเป็นผู้ที่ถูกเล็งไว้ล่วงหน้ามานานแล้วว่าจะได้รับการพิพากษาลงโทษอย่างนี้ เป็นคนอธรรม ที่ได้บิดเบือนพระคุณของพระเจ้าของเราไปเป็นการกระทำความชั่วช้าลามก และได้ปฏิเสธพระเจ้าคือองค์พระผู้เป็นเจ้าแต่เพียงพระองค์เดียว และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (ยูดาห์ 3, 4) 1. ประการแรก เราต้องต่อสู้ปกป้องถึงการทรงพระชนม์อยู่ของพระเจ้า หากเราอยากให้มีการฟื้นฟู 2 ทิโมธี 2:19 2. ประการที่สอง เราต้องปกป้องพระวจนะ หากเราอยากให้มีการฟื้นฟู สดุดี 119:130, 103, 104; 2 ทิโมธี 3:16, 17 2. ประการที่สาม เราอย่าข้องแวะกับคนที่อยู่ในความบาป คนที่ครอบงำด้วยบาป หากเราอยากให้มีการฟื้นฟู สดุดี 7:18, 24 4. ประการที่สี่ เราต้องปกป้องความเชื่อของเราที่เชื่อถึงการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์บนไม้กางเขน – พระโลหิตของพระองค์ หากเราอยากมีการฟื้นฟู สดุดี 3:25; เอเฟซัส 1:7 5. ประการที่ห้า เราต้องปกป้องและเชื่อในพันธกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ หากเราอยากให้มีการฟื้นฟู, ยอห์น 16:8, 14 |