เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
คุณแม่ของประธานาธิบดี โรนัลด์ เรแกน
|
กรุณาเปิดพระคัมถีร์ของท่านไปที่พระธรรมอพยพบทที่สองในข้อที่สอง อย่ในหน้า 73 ของพระคัมภีร์ฉบับ the Scofield Study Bible อ่านข้อนี้ดังๆ “และหญิงนั้นตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง เมื่อนางเห็นว่าทารกคนนั้นเป็นเด็กที่มีรูปงาม นางจึงซ่อนทารกไว้ถึงสามเดือน” (อพยพ 2:2) พวกคุณนั่งลงได้ ตอนนี้คือกล่าวถึงการกำเนิดของโมเสส แม่ของโมเสสเป็นชาวฮิบรูและมีชื่อว่าโยเคเบด ฟาโรห์แห่งอียิปต์ได้ออกคำสั่งให้ทิ้งเด็กผู้ชายที่เป็นคนฮีบรูทุกคนลงสู่ในแม่น้ำ ด้วยเหตุนี้แม่ของโมเสสที่ชื่อโยเคเบดจึงได้ซ่อนเขาเอาไว้เป็นเวลาสามเดือน เมื่อเธอไม่สามารถซ่อนเขาอีกต่อไปแล้ว เธอจึงทำหีบเล็ก ๆ แล้วนำทารกน้อยนั้นใส่ลงในตะกร้านั้น และปล่อยให้ลอยน้ำไปยังสถานที่ๆลูกสาวของฟาโรห์ชอบมาอาบน้ำทุกวัน โยเคเบดรได้แต่หวังว่าธิดาของฟาโรห์จะช่วยกู้เขา เธอต้องได้อธิษฐานอย่างหนักขณะที่เธอซ่อนตัวเขาอยู่ในตะกร้าที่ดูคล้ายเรือเล็ก ๆนั้น และคอยเฝ้าดูอยู่ห่างๆ จนมันลอยตามแม่น้ำไปยังสถานที่ๆราชธิดาของฟาโรห์มาอาบน้ำ พระเจ้าทรงตอบคำอธิษฐานของเธอและพระธิดาของฟาโรห์ก็เอาเด็กทารกนั้นไปเลี้ยงและ "มีความเห็นอกเห็นใจเขา" (อพยพ 2: 6) โดยการจัดเตรียมของพระเจ้า พระธิดาของฟาโรห์ได้แสวงหาคนรับใช้ที่เป็นหญิงชาวฮิบรูมาดูแลทารกนี้ พวกเขาจึงนำไปให้โยเคเบดซึ่งเป็นแม่แท้ๆดูแลเด็กน้อยนั้น โยเคเบดเลี้ยงดูโมเสสประมาณสิบถึงสิบสองปีด้วยตัวเอง หลังจากนั้นเขาก็ถูกนำไปเลี้ยงยังพระราชวังเหมือนเป็นลูกของธิดาของฟาโรห์ “ฝ่ายโมเสสจึงได้เรียนรู้ในวิชาการทุกอย่างของชาวอียิปต์” (กิจการ 7:22) โมเสสได้รับการเลี้ยงดูในพระราชวังของฟาโรห์ เขาเรียนรู้ศาสนาของชาวอียิปต์ที่มีการบูชารูปเคารพ ทุกคนคิดว่าเขาเป็นชาวอียิปต์ แต่ในใจของเขา โมเสสรู้เกี่ยวกับพระเจ้า เพราะแม่แท้ๆของเขาที่ชื่อโยเคเบดคอยสอนเขาถึงพระเจ้าและวัฒนธรรมต่างๆของชาวฮิบรู ตอนที่เธอเลี้ยงดูโมเสสด้วยตัวเอง โยเคเบดจึงมีอิทธิพลต่อลูกชายของเธอมากกว่าฟาโรห์แห่งอียิปต์ อิทธิพลของเธอดีกว่ากว่า "ทุกสติปัญญาของชาวอียิปต์" (กิจการ 7:22) พระคัมภีร์ได้บอกพวกเราว่าตอนที่โมเสสเติบโตเป็นหนุ่มแล้ว เขาได้ปฏิเสธศาสนาของอียิปต์ แล้วมาติดตามพระเจ้าของแม่ของเขา พระคัมภีร์กล่าวว่า “โดยความเชื่อ ครั้นโมเสสวัฒนาโตขึ้นแล้ว ไม่ยอมให้เรียกว่าเป็นบุตรชายของธิดากษัตริย์ฟาโรห์ ท่านเลือกการร่วมทุกข์กับชนชาติของพระเจ้า แทนการเริงสำราญในความบาปสักเวลาหนึ่งโดยความเชื่อ ท่านได้ออกจากประเทศอียิปต์ โดยมิได้เกรงกลัวความกริ้วของกษัตริย์ เพราะท่านยอมทนอยู่เหมือนประหนึ่งได้เห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา” (ฮีบรู 11:24, 25, 27) โมเสสได้รับอิทธิพลอทางความเชื่อและการดำรงชีวิตจากแม่ของเขาเป็นอย่างมาก การเรียนรู้เกี่ยวกับอียิปต์ไม่สามารถหยุดเขาจากการติดตามพระเจ้าของแม่ของเขา ตลอดประวัติศาสตร์มีการค้นพบว่า มารดาที่เคร่งครัดพระเจ้ามีอิทธิพลอย่างมากต่อลูกๆของเธอ ประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวล ได้กล่าวเอาไว้ว่า แม่ที่ดีและชาญฉลาดนั้น สำคัญมากต่อชุมชนมากกว่ากคนที่ฝีมือ อาชีพของเธอมีคุณค่าน่าต่อการยกย่อง และเป็นประโยชน์ให้กับชุมชนมากกว่าอาชีพอื่นใด ไม่ว่าคนนั้นจะประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหนก็ตาม ประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวล กล่าวถูกหรือไม่? ผมคิดว่าท่านพูดถูก เพราะชีวิตของโยเคเบดแสดงให้เห็นอย่างนั้น ดูได้จากลูกชายของเธอที่ชื่อโมเสสกลายมาเป็นคนหนึ่งที่มีความเชื่อยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ เขานำชนชาติฮีบรูออกจากการเป็นทาสในอียิปต์ แม้จะอยู่อียิปต์และท่ามกลางศาสนาที่บูชารูปเคารพก็ตาม โมเสสไม่เคยลืมสิ่งที่เขาได้เรียนรู้จากแม่ที่เชื่อพระเจ้าอย่างเคร่งครัดนั้น นั่นเป็นจริงให้กับพวกเราในเวลานี้ด้วยหรือเปล่า? ใช่เป็นเช่นนั้น ผมไม่อาจหาตัวอย่างดีที่ไหนอีกแล้วที่จะดีเท่ากับนางเนลลี่ เรแกน – และลูกชายของเธอที่ชื่อ โรนัลด์ วิลสัน เรแกน ผู้ที่เป็นประธานาธิบดีคนที่สี่สิบของประเทศสหรัฐอเมริกาอีกแล้ว โรนัลด์ เรแกน เกิดในปี 1911 ในเมืองเล็ก ๆ ที่ชื่อแทมปีโค รัฐเอลลีนอย์ส ท่านเป็นลูกชายคนที่สองของแจ็คและเนลลี่ เรแกน ตัวของโรนัลด์ เรแกน มีชื่อเล่นว่า "ดัตช์" พ่อของเขาตั้งให้ ในสมัยนั้นที่ท่านยังดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีอยู่นั้น เพื่อนสนิทมักจะเรียกท่านว่า "ดัตช์" ส่วนบิดาของดัตช์เป็นคาทอลิกและเป็นคนขี้เมา แต่เนลลี่ผู้เป็นแม่นั้นเป็นโปรเตสแตนต์และมีความเชื่ออย่างเข้มแข็ง แจ็ค เรแกน ย้ายครอบครัวไปๆมาๆเพราะหางานทำ ในที่สุดพวกเขาก็ย้ายจากเมืองเล็กๆอย่าง ช เทมปีโคไปที่เมืองดิกซัน รัฐอิลลินอยส์ รวมแล้วพวกเขาย้ายบ้านถึงห้าครั้ง มีเพื่อนบ้านคนหนึ่งกล่าวว่า "พวกเขาดูประหลาดมากๆ" การย้ายสถานที่บ่อยๆเช่นนี้ทำให้ "ดัตช์" กลายเป็นคนที่ชอบเก็บตัว ขี้อายและโดดเดี่ยว สมัยเด็กนั้นดัตช์กล่าวว่าเขาเป็น "เด็กที่คบหาเพื่อนยากมากๆ ผมเองไม่ชอบที่จะใกล้ชิดกับคนอื่น" มีครั้งหนึ่งตอนที่ครอบครัวของผมไปพบท่านในสำนักงานนั้น ผมรับรู้ถึงความขี้อายของท่าน แต่ท่านก็ปกปิดไว้เหมือนอย่างตอนเป็นประธานาธิบดี คุณสามารถดูรูปถ่ายของครอบครัวเราที่ถ่ายร่วมกับประธานาธิบดีเรแกนบนผนังในคริสตจักรบนชั้นสอง ตอนนี้ผมจะอ้างคำพูดจากคำบอกเล่าของ ดร. พอล เคนกอร์ จากหนังสือที่ชื่อว่า พระเจ้าและโรนัลด์ เรแกน (Harper Collins Publishers, 2004) ผมจะอ้างหลายๆข้อเขียนในนั้น [โรนัลด์ เรแกน] แสวงหาพระเจ้าครั้งแรก เพราะเป็นเด็กที่ขี้เหงา... และจากความล้มเหลว [ของบิดา] นั่นคือสาเหตุทำให้ดัตช์หันมาพึ่งพระเจ้า ... ไม่นานหลังจากครบรอบวันเกิดสิบเอ็ดปีของเรแกน ... เขาหวังว่าจะกลับมาบ้านที่มีแต่ความว่างเปล่า ตอนที่มาถึงเขาแถบจะไม่เชื่อด้วยสายตาของตัวเองที่เห็น [พ่อของเขา] นอนเหยียดยาวอยู่หิมะตรงระเบียงด้านหน้าบ้านเพราะเมาสุรา "เขาเป็นคนเมา" ลูกชายคิดว่า "เสียชีวิตหรือตายไปแล้ว" ดัตช์คว้ามือของ [พ่อของเขา] นำเสื้อกันหนาวให้เขาใส่และนำไปที่ประตู เขาลากพ่อเข้าไปในบ้านและไปที่ห้องนอน ... มันเป็นช่วงเวลาที่น่าเศร้า แต่ดัตช์ไม่รู้สึกโกรธและไม่แค้น เพียงแต่เสียใจ... โลกของเขาอยู่ในความสับสนวุ่นวาย - อีกครั้ง ... ตอนนั้นเขาอายุแค่ 11 ปี เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเช่นนี้กลับทำให้เด็กหนุ่มที่ชื่อเรแกน ได้พัฒนาเติบโตในฝ่ายจิตวิญญาณ สี่เดือนต่อมาเขาก็รับบัพติศมา เริ่มต้นชีวิตในฐานะที่เป็นสมาชิกของคริสตจักร ความคิดเกี่ยวกับการที่พ่อของเขานอนท่ามหิมะยังคาอยู่ในใจของเรแกนในนั้น [จาก ณ จุดนั้นแม่ของเขา] เลยกลายมาเป็นผู้นำด้านความเชื่อให้กับ โรนัลด์ เรแกน และนำเขามาเป็นคริสเตียน ประวัติทางความเชื่อของนางเนลลี้เองจึงเริ่มต้นเกิดขึ้นอีกครั้งที่เมืองดิกสัน แต่บทบาทของเธอในคริสตจักรที่เมืองเทมปิโคในช่วงต้นๆก็น่าติดตามมากทีเดียว หลายเดือนหลังจาก [พ่อของเขา] ได้ย้ายครอบครัวมาอยู่ที่เมืองนี้ เนลลี่ได้มีบทบาทในคริสตจักรใหม่อีกครั้งหนึ่ง ... มีการฟื้นฟูใหญ่ในปี 1910 เกิดขึ้นที่นั่น มีคนบอกว่าเนลลี่รับใช้ในคริสตจักรคนเดียวเพราะไม่มีผู้รับใช้ในตอนนั้น เธอต้องพิมพ์โปรแกรมนมัสการ เตรียมรายการต่างๆในวันอาทิตย์ หนุนใจสามาชิกให้รับเข้มแข็งในพระเจ้า และแม้กระทั่งยังต้องขึ้นเทศนาด้วย ... แม้จะย้ายไปอยู่ที่ดิกซันแล้ว เนลลี่กับดัตช์ยังเดินทางกลับไปเมืองเทมปิโคอีกหลายครั้งเพื่อช่วยเหลือคริสตจักรเก่านั่น [จากนั้นแม่ของเรแกนก็เข้าร่วมเป็นสมาชิกในคริสตจักรที่เมืองดิกสัน] [คริสตจักร] นั้นมีการประชุมพบปะกันครั้งแรกในตึกชั้นใต้ดินของ YMCA จนกว่ามีระดมทุนสำหรับสร้างคริสตจักรใหม่ และก็เปิดที่แห่งใหม่ ... เมื่อวันที่ 18 มิถุนายน 1922 เนลลี่ [เรแกน] กลายเป็นผู้นำและเทศนาในคริสตจักรท้องถิ่น นอกเหนือจากการทำพันธกิจแล้วเธอช่วยเหลือคนอื่นตลอด ... ชั้นเรียน [ระวี] ของเธอนั้นใหญ่ที่สุด จากการบันทึกเอาไว้ในปี 1922 ปรากฏว่ามีนักเรียนที่ลงทะเบียนในชั้นเรียนของเธอทั้งหมดสามสิบเอ็ดคน ส่วนชั้นที่เป็นของศิษยาภิบาลนั้นมีเพียงแค่ห้าคน ชั้นของภรรยาของอาจารย์มีแค่เก้าคน เนลลี่เน้นให้อ่านพระคัมภีร์เน้นความเชื่อทั้งในและนอกคริสตจักร – การรับใช้ของเธอนั้นดีมากๆ เธอรับใช้แบบเป็นธรรมชาติและด้วยความเต็มใจ – จากภาพแห่งความเชื่อของเธอนี้ได้ส่งผลไปให้กับลูกชายของเธอ – เธอยังรับใช้ในด้านอื่นๆด้วย ... ในเดือนมิถุนายนปี 1926 เธอนำสิ่งหนึ่งไปยังคริสตจักรแบ๊บติสชื่อว่า "เรือแห่งความเชื่อ" ในปี ... 1926 เนลลี่ได้พิมพ์ "บทกวี" ในนั้นเธอบอกว่า "พระเจ้าทรงห้ามไม่ให้เราลืม" ทหารผู้ที่เสียสละชีวิตของพวกเขา [ในสมัยสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง] คนเหล่านั้นล้วนแต่เป็นผู้กล้า เนลลี่เขียนว่า "ชัยชนะเข้าได้เข้าสู่ระบบประชาธิปไตยและลบระบอบเผด็จการที่โหดร้ายนั้นออกไป" ... ในปี 1927 เนลลี่ได้ไปปราศัยที่กองทัพอเมริกันเธอได้รับฉายาว่า "นักพูดที่สวยงาม" เกี่ยวกับจอร์จ วอชิงตัน ในวัยเด็ก - แน่นอนเรื่องนี้ต้องสร้างความประทับใจให้กับ [ลูกชายของเธอ] ด้วย ผู้เชื่อคือผู้ที่ได้รับพลังจากการอธิษฐาน ตอนที่เธอมารับใช้นั้นได้นำกลุ่มอธิษฐานในคริสตจักร... เธอก็มีแผนให้มีการอธิษฐานในช่วงระหว่างสัปดาห์และเธอก็สอนเกี่ยวกับการอธิษฐาน ... เนลลี่ [ยัง] ทำหน้าที่เหมือนเป็น "ผู้นำ" ให้ "มีการอธิษฐานตามบ้านด้วย" [นี่คือคำพยานของนางมิลเดรด นีเออร์ เกี่ยวกับการอธิษฐานของเนลลี่ เรแกน ให้กับลูกสาวของเธอ ตอนนั้นลูกสาวเธอป่วยหนักมากจนไม่สามารถกินและนอน แม่ของเด็กนั้นจึงไปที่โบสถ์ เธอกล่าวว่า]: หลังการนมัสการสิ้นสุดลง ฉันไม่อาจลุกออกจากที่นั่งไปหาเธอได้ ยกเว้นแต่คนเหล่านั้นออกไปหมดแล้ว นางเรแกน ... มีสมาชิกอีกคนหนึ่งก็บอกว่า: ... เธอไม่เคยวางบนมือหรือทำอย่างอื่นเลย เวลาที่เธออธิษฐานนั้น จะคุกเข่าลง และเหงายมองขึ้นไปบนฟ้าและอธิษฐานเหมือนกับว่าเธอรู้จักกับพระเจ้าเป็นการส่วนตัว เหมือนอย่างว่าเธอเคยพบพระองค์มาก่อน ถ้าใครมีปัญหาจริงๆหรือป่วยหนักๆ เนลลี่ก็จะมาที่บ้านของพวกเขาและคุกเข่าอธิษฐาน ... หลังจากนั้นแล้วทุกอย่างก็จะดีขึ้นตามลำดับ … แถบไม่น่าเชื่อเลยว่าแม้แต่ตอนโตแล้วลูกชายของเนลลี่ก็มีความเชื่ออย่างแรงกล้าในการอธิษฐาน เนลลี่ เรแกนทุ่มเทชีวิตของเธอช่วยเหลือ "คนยากจนและคนไร้ที่พึ่ง " เธอสัญญาว่าเธอจะอยู่เคียงข้างแม่ของเธอจนถึงวันตาย ... เธอเป็นห่วงคนที่ดื่มเหล้า ... เธอ [มัก] ไปอ่านพระคัมภีร์ให้กับคนที่อยู่ในคุก ... แม้แต่อาชญากรก็ยังต้องกลับใจใหม่เพราะพันธกิจของเธอ - หนึ่งในนั้นคือทำพันธกิจให้กับพวกที่มีโทษหนัก [มีอันธพาลหนุ่มหนึ่งคนพูดเคยคุยกับเนลลี่ที่ในคุก เขาบอกว่าหลังจากที่เขาได้ออกไปแล้ว เขาวางแผนที่จะปล้นคนขับรถโดยการเอาปืนจี้ ตอนที่เขาออกจากรถแล้วเขากล่าวว่า] "ลาก่อน ขอบคุณสำหรับให้โดยสารมาด้วย" ... "คุณเห็นปืนในเบาะหลังนั้นมั้ยผมกะว่าจะใช้มันจี้คุณ แต่ผมได้พูดคุยกับผู้หญิงคนหนึ่งในคุกทำให้ผมกลับใจไม่ทำอย่างนั้นอีก ... " เนลลี่ เรแกนได้ช่วยเขาให้หลุดพ้นจากชีวิตของการเป็นอาชญากร ฤดูร้อนปี 1924 เธอช่วยหาทุนไปสร้างอาคารโบสถ์ของชาวรัสเซียในนิวยอร์ก การกระทำเช่นนั้นแสดงให้เห็นถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกับคริสเตียนของชาวรัสเซีย [ภายใต้ลัทธิคอมมิวนิสต์] เดือนเมษายนปี1927 ... เธอได้ปราศัยเกี่ยวกับประเทศญี่ปุ่นและสถานะของศาสนาคริสต์ที่นั่น เนลลี่ เรแกนมีใจเพื่อพระเจ้าและเธอทำดีที่สุดเพื่อความเชื่อนี้จะได้ถ่ายทอดไปยังลูกชายของเธอคือโรนัลด์ เธออธิษฐานว่าเขาจะนำความเชื่อนี้ไปสู่ชาวโลก 21 กรกฏาคม 1922 สามวันหลังจากที่คริสตจักรได้เปิดทำการ ... ดัตช์และพี่ชายของเขาที่ชื่อนีลและอีกยี่สิบสามคน พวกเขาคือกลุ่มแรกที่รับบัพติศมาในโบสถ์ใหม่แห่งนั้น นั่นเป็นความคิดของโรนัลด์ เรแกนเองที่จะรับบัพติศมา ท่านบอกว่าท่านมี "ประสบการณ์ส่วนตัวเกี่ยวกับพระคริสต์" ตอนโตเป็นผู้ใหญ่ [ประธานาธิบดี] เรแกนบอกว่าพระคัมภีร์คือหนังสือที่เขาชื่นชอบมาก "และมีเนื้อหาที่สำคัญที่สุดกว่าหนังสือใด" คำพูดเหล่านั้นเป็นแบบดั้งเดิมและรับการดลใจจากพระเจ้า ท่านกล่าวว่าท่าน "ไม่เคยสงสัยใด ๆเลย" หลังจากที่ได้รับบัพติศมาแล้ว [โรนัลด์] เรแกนได้กลายมาเป็นสมาชิก [ของคริสตจักร] ที่เอาจริงเอาจัง [เรแกนแม่ของเขาและพี่ชายทำสิ่งเดียวกันในทุกวันอาทิตย์ พี่ชายของท่านทำหน้าที่ประกาศข่าวของคริสตจักร] "ทั้งในเช้าวันอาทิตย์ ชั้นเรียนระวีในวันอาทิตย์ กลุ่มคริสเตียนศึกษาในตอนเย็นวันอาทิตย์ และกลุ่มอธิษฐานในคืนวันพุธ" ... ตอนอายุสิบห้า ดัตช์เริ่มต้นสอนระวีด้วยตัวเอง ... "เขากลายเป็นผู้นำในหมู่พวกเด็ก ๆ" จำได้ว่า เพื่อนในวัยเด็กที่ชื่อ เซลีล่า พาลเมอร์บอกว่า "พวกเขาชอบเงยหน้าขึ้นมองเขา" โรนัลด์ เรแกนไปศึกษาที่วิทยาลัยคริสเตียน ต่อมาในปี 1981 เขากลายมาเป็นประธานาธิบดีของสหรัฐอเมริกา ตอนนั้นท่านได้สาบานตนโดยวางมือลงที่พระคัมภีร์ของแม่ของท่านและกล่าวว่า "ดังนั้นพระเจ้าช่วยข้าพระองค์ด้วย" ในฐานะที่เป็นประธานานธิบดี โรนัลด์ เรแกน ได้ต่อต้านการทำแท้งโดยตั้งอยู่พื้นฐานของพระคัมภีร์ ท่านกล่าวว่า ผมเชื่อว่าไม่มีความท้าทายไหนที่จะสำคัญมากเท่ากับ การฟื้นฟูและเปลี่ยนลักษณะนิสัยของชาวอเมริกาให้ดำรงชีวิตทำแต่สิ่งที่ดีต่อเพื่อมนุษย์ทุกคน หากปราศจากความถูกต้องนั้นแล้ว ความถูกต้องในส่วนอื่นๆก็ไร้ความหมาย "จงยอมให้เด็กเล็ก ๆ เข้ามาหาเรา อย่าห้ามเขาพวกเลย เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้าเป็นดั่งเช่นเด็กนั้น" ในปี 1986 ท่านกล่าวว่า วันนี้มีแผลอยู่ในจิตใต้สำนึกในชาติของเรา อเมริกาจะไม่ยอมให้มีสิทธิ์ใดที่มาทำลายชีวิตทารกในครรภ์ เพราะทุกชีวิตล้วนมาจากพระเจ้าเป็นผู้สร้าง ...การทำแท้งจึงถูกห้ามและถือว่าเป็นการทำลายความถูกต้องในสมัยที่ท่านยังดำรงตำแหน่งเป็นประธานาธิบดี ประธานาธิบดีเรแกนยังไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับระบบคอมมิวนิสต์ ที่ไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าตลอดในสมัยที่ยังเป็นประธานาธิบดีอีกด้วย ท่านเรียกสหภาพโซเวียตว่า "จักรวรรดิชั่วร้าย" ท่านกล่าวที่กำแพงกรุงเบอร์ลินดังนี้ว่า "นายโกบาเชปฉีกผนังกำแพงนี้" ท่านเชื่อว่าลัทธิคอมมิวนิสต์ที่เชื่อว่าไม่มีพะเจ้านั้น เป็นความเชื่อที่ชั่วร้ายอย่างแท้จริง ท่านได้สร้างทหารอเมริกันขึ้นมาและให้สหภาพโซเวียตรู้ว่าต้องให้เป็นไปตามนั้นด้วย คือต้องให้โซเวียตสลายลง และผลที่ออกมาก็เป็นไปอย่างนั้น โรนัลด์ เรแกนเป็นผู้ที่มีส่วนทำให้การ "จักรวรรดิชั่วร้าย" นี้สิ้นสุดลง และหยุดการขยายอำนาจของลัทธิคอมมิวนิสต์ทั่วโลก ผู้เขียนชีวประวัติของท่านที่ชื่อเอ็ดมันด์ มอร์ริส ได้กล่าวไว้ว่า "ท่านต้องการให้ศาสนาคริสต์ไปอยู่ในกรุงมอสโก และก็ง่ายตามนั้น" โรนัลด์ เรแกน ตอนยังมีชีวิตอยู่ก็เพื่อรอดูคำอธิษฐานของท่านให้กลายเป็นความจริง วันแม่ปีนี้ ผมอยากให้คุณแม่ทุกคนออกจากคริสตจักรในวันนี้ไปด้วยแรงบันดาลใจจากนางโยเคเบด แม่ของโมเสส – และจากเนลลี่ เรแกน แม่ของประธานาธิบดีคนที่สี่สิบของเรา ผมอยากให้คุณรู้ว่าพระเยซูคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อชดใช้ความผิดบาปของคุณบนไม้กางเขน ผมอยากให้คุณรู้ว่าพระโลหิตของพระเยซูสามารถทำความสะอาดคุณให้ปราศจากบาปทั้งหมด ผมอยากให้คุณรู้ว่าพระกายของพระเยซูทรงเป็นขึ้นมากจากความตายและมีชีวิตอยู่ในขณะนี้ และประทับ ณ พระหัตถ์ขวาของพระเจ้า ผมอยากให้คุณมาที่พระเยซูและวางใจในพระองค์อย่างแท้จริง และให้แน่ใจว่าคุณจะมาคริสคจักรในทุกวันอาทิตย์ และให้แน่ใจว่าคุณ้องสร้างจิตวิญญาณของลูก ๆ ของคุณให้เติบโตเพื่อพระเยซูคริสต์ ขอพระเจ้าให้พร อาเมน (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย ท่าน อาเบล พรูดโฮมมี: ฮีบรู 11:23-27. |