เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
ชีวิตใหม่ – เชื่อมกับความรักของคริสเตียนREGENERATION – THE LINK TO CHRISTIAN LOVE โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเช้าวันของพระเป็นเจ้าที่ 15 เดือนมีนาคม ค.ศ. 2015 ณ “ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็บังเกิดจากพระเจ้า และทุกคนที่รักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิดนั้นก็รักคนที่บังเกิดจากพระองค์ด้วย” (1 ยอห์น 5:1) |
ผมไม่ได้เติบโตในคริสตจักร ผมเริ่มเข้าร่วมคริสตจักรแบ๊บติสตอนผมอายุสิบสามปี ตอนนั้นหนึ่งสิ่งที่ผมเรียนรู้ได้คือว่า คนหนุ่มสาวในคริสตจักรไม่มีความรักให้แก่กันและกัน พวกเขาไม่รักผม และพวกเขาก็ไม่รักพวกคนแก่รวมถึงศิษยาภิบาลด้วย พวกเขาเล่าเรื่องสกปรกและว่ากันลับหลังกันและกันตลอดเวลา พวกเขากระซิบและเขียนกระดาษส่งผ่านคนโน้นคนนี้ในขณะที่ศิษยาภิบาลกำลังเทศนา ผมยังพบอีกว่าพวกผู้ใหญ่ในคริสตจักรก็ไม่รักกันด้วย ความจริงคือพวกเขาไม่ชอบหน้ากัน ที่มากกว่านั้นคือพวกเขาเกลียดกันและกัน ตอนที่พวกเขามาอยู่ด้วยกันก็ดูเหมือนว่าเป็นการถูกบังคับให้ทำอย่างนั้นเสียมากกว่า พวกเขาใช้เวลาอยู่ด้วยกันเพียงแค่สองสามชั่วโมงในวันอาทิตย์ และนั่นก็ดูเหมือนจะเป็นธรรมเรียมของการมาคริสตจักรเท่านั้น แต่ไม่มีความรักให้แก่กันและกันเลย ตอนที่ศิษยาภิบาลคนก่อนย้ายไปอีกคริสตจักรหนึ่งแล้ว พวกเขาก็แตกแยกออกเป็นกลุ่มๆ การมาคริสตจักรก็เป็นแบบหยุดๆขาดๆ พร้อมกับเริ่มต้นต่อสู้กันและกัน บางคนถึงกับลาออกจากคริสตจักรไปเลย ส่วนพวกที่เหลือในคริสตจักร มีการต่อสู้กันอย่างรุนแรงเยี่ยงสัตว์ป่า พวกเขาเอาหนังสือเพลงนมัสการขว้างใส่กันและกันในช่วงเช้าวันอาทิตย์ในขณะที่กำลังนมัสการ พวกเขาพูดสาปแช่งกันและกันด้วยภาษาที่หยาบคายในช่วงนมัสการ ผมหนีร่วมกับอีกกลุ่มหนึ่งไปก่อตั้งคริสตจักรใหม่ เราก่อตั้งคริสตจักรนี้ได้ไม่นานปัญหาเดิมได้เกิดขึ้นที่คริสตจักรนี้อีก! คนหนุ่มสาวส่วนใหญ่หนีจากคริสตจักรไป ในที่สุดผมก็ย้ายไปเข้ากับคริสตจักรจีน และเป็นสมาชิกที่นั่นถึงยี่สิบสามปี คนจีนไม่ใช้ความรุนแรงและมีความรักต่อกันระหว่างสมาชิก จนกระทั่งพระเจ้าได้ทรงส่งการฟื้นฟื้นลงมายังคริสตจักรและเกิดการเปลี่ยงแปลงครั้งใหญ่ แต่หลังจากที่มีการฟื้นเกิดขึ้นได้ไม่นาน ผมเองก็ได้ถวายตัวไปเรียนที่โรงเรียนพระคริสตธรรม ผมก่อตั้งคริสตจักรแห่งหนึ่งอยู่ใกล้กับสถาบัน ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีได้ในระยะหนึ่ง แต่ปัญหาเดิมๆเกิดขึ้นอีก นั่นคือมีการทะเลาะวิวาทและข้อโต้แย้งทำให้บางคนหนีออกไป ผมเลยย้ายกลับมาที่ ลอสแอนเจลิส ผมก่อตั้งคริสตจักรแห่งนี้มากว่าสี่สิบปีแล้ว และในที่สุดก็กลายมาเป็นคริสตจักรที่เรามีอยู่ในปัจจุบันนี้ แต่คริสตจักรแห่งนี้ก็เคยผ่านปัญหาอุปสรรคมามากมาย ต้องใช้เวลาประมาณยี่สิบห้าปีทุกอย่างจึงดูดีขึ้น นั่นคือประสบการณ์ของผม คุณอาจสงสัยว่าผมผ่านปัญหาอุปารรคเหล่านั้นมาได้อย่างไรกัน แม้ตัวผมเองก็ยังเคยสงสัยตัวเองด้วย แต่ผมสามารถบอกได้เลยว่าเป็นเพราะปัญหาเหล่านั้น ทำให้ผมรู้ว่าพระเจ้ามีจริง และผมรู้ว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของพระเจ้า ผมไม่เคยคิดที่จะไม่เชื่อในสิ่งเหล่านั้น ผมรู้ว่าพระวจนะอยู่ในส่วนลึกแห่งจิตวิญญาณของผม ผมรู้สิ่งเหล่านั้น “มิใช่ด้วยการกระทำที่ชอบธรรม...แต่พระองค์ทรงพระกรุณา” (ติตัส 3:5) อาจจะไม่ใช่ตามประสบการณ์ของผมก็เป็นได้ แต่ก็เป็นส่วนใหญ่ ถ้าไม่ใช่ทั้งหมดที่หนุ่มสาวของอีเวนเจคอล์ก็มีประสบการณ์ที่คล้ายกันกับผม สิ่งที่ทำให้อาจไม่ใช่ตามประสบการณ์ของผมนั่นคือ ผมประสบมากับตัวเอง ทำให้ผมเชื่อพระเจ้าและพระวจนะมากกว่าที่ผ่านมา! ก่อนที่ผมจะไปอย่างอ่าน ขอนำเสนอกคำพุดของ คริสเตียน วิคเกอร์ ผู้ที่เขียนหนังสือ The Fall of the Evangelical Nation: The Surprising Crisis Inside the Church (HarperOne, 2008) เธอบอกว่า คริสเตียนของอีเวนเจลิคอล์ในสหรัฐอเมริกากำลังจะตาย จากพวกที่เคยยิ่งใหญ่กลับต้องมาถอดถอย [ไม่ได้อยู่ในแถวหน้า] พวกเขากลายเป็นเพียงเศษเล็กเศษน้อย ไม่เหมือนอย่างที่เคยเป็นมา หากมองไปที่พวกคุณแล้วไม่ว่า: ศิลบัพติศมา สมาชิก ... การให้ ... ผู้เข้าร่วม ... ทั้งหมดนี้ต่างมีจำนวนที่ลดลงเรื่อยๆ (ibid., introduction, p. ix) และเธอพูดข้อเท็จจริงและมีสถิติสามารถพิสูจน์ได้ ในขณะที่ผมอ่านหนังสือเล่มนี้ ผมต้องเห็นด้วยกับวิทยานิพนธ์ของเธอ: คริสตจักรของเราต่างมีปัญหาอยู่ลึกๆ แต่ไม่มีอะไรใหม่เลย หกสิบปีที่ผ่านมา ดร. เอ ดับบริว โทเซอร์ เขียนครั้งแล้วครั้งเล่าเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา ยกตัวอย่างเช่น ท่านกล่าวว่า พวกอีเวนเจลิคอล์ทั่วโลก ไม่อาจเติบโตที่จะเป็นคริสเตียนที่เข้มแข็งได้ และผมเองก็ไม่อยากคิดถึงในยุคสมัยใหม่ด้วย [เสรีนิยม] ผมหมายถึงพวกที่เชื่อพระคัมภีร์ในแบบของคริสเตียนอ็อตทอดอด์ ... เรานำผู้ที่กลับใจอ่อนแอเข้ามาบริหารคริสตจักร [เป็นหมัน ไม่เกิดผล] ประเภทของคริสเตียนที่คล้ายคลึงกับพันธสัญญาใหม่นั้นแถบไม่มีเลย ... เห็นได้ชัดคือว่าเราจะต้องเป็นคริสเตียนที่เกิดผล (Of God and Men, Christian Publications, 1960, pp. 12, 13) ดร. โทเซอร์ ได้ฉายาว่านักประกาศข่าวประเสริฐตลอดชีวิต! ทำไมเราถึงรักคริสตจักรที่มีแต่ความสับสนและเลิกเชื่อ? เราควรจะต้องเริ่มต้นที่พระคัมภีร์ - การกลับใจใหม่ คุณไม่ควรไปรักคริสตจักรที่ไม่สามารถนำคนมาเชื่อพระเจ้า! การกลับใจใหม่อย่างแท้จริงนั้นมีหลักการและเหตุผล ดร. มาร์ติน ลอยด์โจนส์ นักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งอังกฤษกล่าวว่า การมาเป็นคริสเตียนนั่นคือวิกฤติเหตุการณ์ที่สำคัญ ... ซึ่งในพันธสัญญาใหม่ได้อธิบายไว้ในลักษณะของการบังเกิดใหม่ หรือการถูกสร้างใหม่ หรือเริ่มต้นชีวิตใหม่ ยิ่งไปกว่านั้นคืออธิบายไว้ในลักษณะของการกระทำที่อยู่เหนือธรรมชาติโดยขึ้นอยู่กับพระเจ้าสิ่งเท่านั้น และยังเปรียบเทียบได้กับการตายในด้านจิตวิญญาณของคนๆหนึ่ง และกลับมามีชีวิตอีกครั้ง ... โดยทางพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ (Martyn Lloyd-Jones, M.D., Evangelistic Sermons, The Banner of Truth Trust, 1990, p. 166) ให้เราหันกลับมาที่เนื้อหาของเรา “ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็บังเกิดจากพระเจ้า และทุกคนที่รักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิดนั้นก็รักคนที่บังเกิดจากพระองค์ด้วย” (I ยอห์น 5:1). I. ประการแรก คำว่า “เชื่อ” ในข้อนี้หมายถึงอะไร “ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ …” (1 ยอห์น 5:1) ดร. เอ ที โรเบิร์ตสัน บอกว่า "ไม่ได้เป็นเพียงความเชื่อที่ประกอบด้วยสติปัญญา แต่ยังเป็นการยอมจำนนให้กับพระเยซูคริสต์อย่างสมบูรณ์ ... เป็นความรู้สึกเต็มที่อย่าง pisteuōn " (A. T. Robertson, Litt.D., Word Pictures in the New Testament, volume VI, Broadman Press, 1953, p. 237; note on I John 5:1) หนังสือฉบับ สตรอง บอกว่า “pisteuōn” หมายถึง “มีความเชื่อใน และโดย...ส่วนบุคคล (#4100) สเปอร์เจียน กล่าวว่า จงมองหาพระคัมภีร์ฉบับเลซีกันตามที่คุณชอบ แล้วคุณจะพบกับคำว่า pisteuōn ไม่เพียงแค่หมายความว่า เชื่อ แต่ยังหมายถึง วางใจ...ความหมายของความเชื่อนั้นหมายถึงความมั่นใจ วางใจในพระเยซูคริสต์ [ไม่]...ไม่ใช่ความเชื่อแบบทั่วไปเท่านั้น... [ซึ่ง] ไม่สามารถช่วยกู้จิตวิญญาณของคุณ” (“Faith and Regeneration,” Metropolitan Tabernacle Pulpit, number 979, p. 138; note on I John 5:1) มารก็มีความเชื่อในแบบ “สากลทั่วไป” ที่เชื่อในพระเยซู คุณไม่จำเป็นต้องอ่านพระคัมภีร์ใหม่ให้นานถึงจะพบกับ ลูกา 4:41 “ผี [วิญญาณชั่ว] ก็ออกมาจากคนหลายคนด้วย ร้องว่า “ท่านเป็นพระคริสต์พระบุตรของพระเจ้า...เพราะว่ามันรู้แล้วว่าพระองค์เป็นพระคริสต์” (ลูกา 4:41) วิญญาณชั่วเหล่านี้เข้าใจว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ แต่พวกเขาไม่วางใจในพระองค์ ยอห์นไม่ได้บอกเราให้เชื่อความจริงในพระเยซูที่พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระเมศิยาห์ ท่านยังบอกเราให้วางใจในพระคริสต์ - pisteuōn - "มีความเชื่อในพระคริสต์ และวางใจในพระองค์" สเปอร์เจียนยังกล่าวถึงงูทองเหลือง งูกัดพวกอิสราเอลและฆ่าพวกเขา พระเจ้าทรงตรัสให้โมเสสทำงูทองเหลืองและยกมันขึ้นไปไว้บนเสา ใครก็ตามที่ถูกกัดและจะตาย เพียงแค่มองไปที่มันก็จะสามารถรักษาคนนั้นและกลับมามีชีวิตใหม่ พระธรรม ยอห์น 3:14, 15 พระเยซูใช้เรื่องนี้มาอธิบายถึงวิธีการที่จะได้รับความรอด สเปอร์เจียน กล่าวว่า "การเชื่อในพระเยซู คือหนทางแห่งความเชื่อที่มีในพระองค์ [เท่านั้น] การวางใจในพระองค์ด้วยจิตวิญญาณ" (อ้างอิง หน้า 140) ไม่ว่าความเชื่อของคุณจะเล็กเพียงใดก็ตาม ถ้าคุณมองไปที่พระเยซูและมีความเชื่อในพระองค์นั่นก็แสดงให้เห็นว่าคุณว่าคุณบังเกิดใหม่อีกครั้ง “ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็บังเกิดจากพระเจ้า...” (1 ยอห์น 5:1) II. ประการที่สอง ไม่ว่าใครก็ตามที่วางใจในพระเยซูจะบังเกิดใหม่ในพระเจ้าอีกครั้ง ตอนนี้มีหลายคนที่ยังไม่ไว้วางใจพระเยซู แต่กล่าวว่าพวกเขาบังเกิดใหม่แล้ว พวกเขาวางใจอย่างอื่นแทน ดร. คาแกน อีเลนาและผมไปร่วมงานศพที่เมืองซานดิเอโก ทางกลับเราแวะไปเที่ยวคริสตจักรแบ๊บติสใต้ที่ใหญ่ที่สุดในรัฐแคลิฟอร์เนีย ตอนช่วงที่การนมัสการในช่วงเย็นของวันเสาร์นั้นเสร็จสิ้นลง เราก็เดินออกมา ผมเห็นยามที่เป็นผู้หญิง ผมจึงถามเธอว่าเป็นคริสเตียนหรือไม่ เธอตอบว่า "ใช่ ฉันเป็น" ผมก็ถามเธอต่อว่า "แล้วคุณมาเป็นคริสเตียนได้อย่างไร?" เธอบอกว่า "ฉันเป็นสมาชิกในคริสตจักรนี้มาทั้งชีวิต" ผมบอกเธอว่า "ผมคิดว่าคุณคงไม่เข้าใจคำถามของผม ผมถามว่า 'คุณมาเป็นคริสเตียนได้อย่างไร?'" เธอบอกว่า "ดิฉันรับบัพติศมาแล้ว" ผมพูดอีกครั้งว่า "แต่คุณไม่ได้เป็นคริสเตียน?" เธอบอกว่า" ดิฉันมาโบสถ์ทุกสัปดาห์เลยนะ" ผมจึงเดินจากด้วยความเศร้าใจ หญิงสาวคนนั้นไม่สามารถพูดแม้แต่คำ เดียวเกี่ยวกับพระเยซู! ศิษยาภิบาของคริสตจักรแบ๊บติสใต้ที่ใหญ่และเป็นที่รู้จักกันทั่วโลก ผู้หญิงคนนั้นได้ยินท่านเทศนามาทั้งชีวิตของเธอ แต่เธอกลับละเลยการเกิดใหม่เหมือนอย่างนิโกเดโม ที่บอกพระเยซูว่า "สิ่งเหล่านี้จะเป็นไปได้อย่างไร" (ยอห์น 3: 9) พระเจ้าโปรดทรงช่วยเราด้วย! ไม่น่าแปลกใจเลยที่พวกคริสเตียนอ่อนแอมักบอกว่า "คริสเตียรอีเวนเจลิคอล์ในอเมริกากำลังจะตาย" ไม่น่าแปลกใจที่ ดร. โทเซอร์ กล่าวว่า "คริสเตียนอีเวนเจลิคอล์ทั้งโลกไม่อาจทำให้คริสเตียนเข้มแข็งได้" หากไม่วางใจพระเยซูแล้ว คุณยังเป็นผู้ที่หลงหายเหมือนอย่างผู้หญิงคนนั้น ช่างน่าสงสารแม้ว่าจะเป็นสมาชิกในคริสตจักรแบ๊บติสใต้ที่ใหญ่ที่สุดก็ตาม โอ้อย่าวางใจในการเป็นสมาชิกในคริสตจักร! จงอย่าวางใจในศิลบัพติศมา! อย่าวางใจในความดีของตัวเอง! และไม่ว่าคุณจทำอะไรก็ตามจงอย่าวางใจในอารมณ์ความรู้สึก! แต่ให้วางใจในพระเยซูคริสต์! จงรับการชำระล้างความผิดบาปของคุณโดยพระโลหิตของพระคริสต์ที่หลั่งบนไม้กางเขน! เหมือนอย่างที่ สเปอร์เจียน มักจะกล่าวว่า "จงนอนลงที่พระคริสต์" จงมองไปที่พระเยซูคริสต์ จงวางใจในพระคริสต์ มองไปที่พระคริสต์! มันไม่ยากเลย! แค่มองไปที่พระองค์ เหมือนอย่างชาวอิสราเอลมองไปที่งูทองเหลืองแล้วก็ได้รับการรักษา! พี่น้องจงมองดูแล้วจะมีชีวิต! III. ประการที่สาม จะออกผลอะไรหลังบังเกิดใหม่แล้ว “ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็บังเกิดจากพระเจ้า และทุกคนที่รักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิดนั้นก็รักคนที่บังเกิดจากพระองค์ด้วย” (1 ยอห์น 5:1) ในตอนท้ายของข้อนี้ “...และทุกคนที่รักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิดนั้นก็รักคนที่บังเกิดจากพระองค์ด้วย” (1 ยอห์น 5:1) รักพี่น้องในคริสตจักรคือผลของการบังเกิดใหม่ และเป็นการทดสอบการกลับใจใหม่ เรารักคนที่กลับใจใหม่แล้วด้วย ดร. เจ เวนนอน แมคกี้ กล่าวว่า “ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็บังเกิดจากพระเจ้า...และทุกคนที่รักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิดนั้นก็รักคนที่บังเกิดจากพระองค์ด้วย คุณรัก [พระเจ้า] พระบิดาของคุณ – พระองค์ทรงรักคุณ – และคุณต้องรักผู้ที่เป็นลูกของพระเจ้าด้วย เพราะว่าคุณมีพี่น้องในพระคริสต์” (Thru the Bible, Thomas Nelson, 1983; note on I John 5:1) ผมสามารถบอกได้เลยว่านี่คือเหตุผลหลักที่ชี้ให้เห็นว่า เรามีคริสตจักรที่ได้แต่ละเลาะวิวาทกันอย่างมากมาย หลายคริสตจักรแตกแยก หลายคนหนีออกจากคริสตจักร โดยเฉพาะคนหนุ่มสาว ศิษยาภิบาลหลายปีของผมที่ชื่อ ดร. ทิโมธี หลิน เขียนเกี่ยวกับปัญหาต่างๆในคริสตจักร หลายคน [ที่อยู่] ในคริสตจักรต่างก็อ้างว่าเป็นคริสเตียน แต่ไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์ พวกเขาต่อสู้เพื่อสิทธิประโยชน์ของตัวเอง ไร้ความรับผิดชอบ สมาชิกดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะทำให้พันธกิจของคริสตจักรหลงไปในทางที่ผิด ๆ ... แต่น่าเสียดายที่ผู้คนมักจะให้เซลล์มะเร็งอย่าง [คนที่ไม่กลับใจใหม่] เข้ามามีส่วนในพระกายของพระคริสต์ นี่คือเหตุผลว่าทำไม ... คริสตจักรในทุกวันนี้ทุกข์ทรมานจากโรคภายใน (Timothy Lin, Ph.D., The Secret of Church Growth, FCBC, 1992, pp. 38-40) ดร. ลอยด์ โจนส์ ยังเห็นปัญหาในลักษณะเช่นกันนี้ ท่านกล่าวว่า ความคิดนั้นเป็นเพราะว่า ผู้คนที่เป็นสมาชิกในคริสตจักรและเข้ามาร่วมอย่างคริสตจักรอย่างสม่ำเสมอ แต่พวกเขาเป็นคริสเตียนที่เสื่อมมาตราฐานอย่างร้ายแรง ผมขอแนะนำว่าคนส่วนใหญ่นี้ถูกนับว่า [ชั่ว] ในคริสตจักรของเราในทุกวันนี้ (Martyn Lloyd-Jones, M.D., Preaching and Preachers, Zondervan Publishing House, 1981 edition, p. 149) คนที่หลงหายสามารถกลายเป็นสมาชิกของแบ๊บติสและคริสตจักรอีเวนเจคอล์อย่างง่ายดาย และโดยที่ไม่ต้องสงสัยอะไรเลย พวกเขาถูกยอมรับเข้าเป็นสมาชิกอย่างทันทีทันใด แต่ส่วนใหญ่เหล่านั้นไม่เคยเป็นคริสเตียนที่แท้จริง ดร. หลิน เรียกคนเช่นนี้ว่า “พวกที่เรียกตังเองว่าเป็นคริสเตียน แต่ไม่มีชีวิตนิรันดร์” แน่นอนท่านหมายความว่าคนเหล่านั้นไม่มี zōē aiōnio – ในตัวพวกเขาไม่มีชีวิต คือว่าคนที่มีชีวิตของพระเจ้าคือผู้ที่กลับใจใหม่แล้ว อย่างที่พระคำของเราในข้อนี้กล่าวไว้ พวกเขา “บังเกิดใหม่แล้ว” “ลูกรักของพระเจ้า” นักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่อย่าง จอร์จ ไวท์ฟิลด์ (1714-1770) รอดหลังจากที่อ่านหนังสือของ เฮนรี่ สเกากอล์ ชื่อว่า “ชีวิตของพระเจ้าอยู่ในจิตวิญญาณของมนุษย์” ชีวิตของพระเจ้าทำให้ผู้คนบังเกิดใหม่ในเวลาที่คนๆนั้นวางใจในพระคริสต์ พวกเขาไม่อาจ ”รู้สึก” ทุกอย่าง แต่คริสเตียนที่เติบโตรู้ว่าคนที่บังเกิดใหม่มีบางอย่างที่แตกต่างออกไป ข้อที่แตกต่างเป็นอย่างมากคือ การรักคริสตจักรอย่างหมดใจเพราะว่าทุกคนเป็น “ลูกของพระเจ้า” พวกเขาคือคนที่ “บังเกิดใหม่แล้ว” พวกเขามีชีวิตของพระเจ้า และพวกเขาเป็นคริสเตียนที่มีความรัก นั่นคือรักผู้ที่หลงหาย หรือสมาชิกในคริสตจักรที่ยังไม่บังเกิดใหม่ ดร. ลอยด์ โจนส์ กล่าวว่า “เราจำเป็นต้องได้รับความเป็นพระเจ้ามาอยู่ในตัวเรา ก่อนที่เราจะสามารถรักคนอื่นได้” (The Love of God, Crossway, 1994, p. 45) เหมือนอย่างที่อัครสาวก ยอห์น กล่าวไว้ในช่วงต้นๆว่า “เราทั้งหลายรู้ว่า เราได้พ้นจากความตายไปสู่ชีวิตแล้ว ก็เพราะเรารักพี่น้อง ผู้ใดที่ไม่รักพี่น้องของตน ผู้นั้นก็ยังอยู่ในความตาย” (1 ยอห์น 3:14) บุคคลที่ยังคงอยู่ในสถานะของการตายในฝ่ายจิตวิญญาณ เราอธิษฐานเผื่อว่าคุณจะผ่านจากความตายไปสู่ชีวิตในเช้าวันนี้ จงเชื่อในพระเยซู และวางใจในพระเยซู พระโลหิตของพระองค์จะชำระบาปของคุณ การฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์จากความตายนั้น ทำให้คุณมีชีวิตใหม่ ในขณะที่คุณหันไปที่พระเยซูและวางใจในพระองค์ผู้เดียวนั้น - คุณจะผ่านจากความตายไปสู่ชีวิต จิตวิญญาณของคุณจะเป็นหนึ่งเดียวกับบรรดาพวกเราที่วางใจในพระเยซู “คนอื่นรู้ว่าเราเป็นคริสเตียนเพราะความรักของเรา โดยรักของเรา ผมอธิษฐานว่าคุณจะมีประสบการณ์เช่นนี้ในอีกไม่ช้า! จงไว้วางใจในพระเยซู พระองค์จะชำระคุณจากบาปด้วยพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งบนไม้กางเขน พระองค์จะช่วยคุณให้รอดจากบาปและประทานชีวิตนิรันดร์ให้คุณ – แม้กระทั่งชีวิตของพระเจ้า! คุณจะบังเกิดใหม่อีกครั้ง เกิดจากเบื้องบน! ผมขอจบบทเทศนานี้โดยเตือนคุณถึงฉากหนึ่งในหนังเรื่อง "โอลิเวอร์ ทวิต” โอลิเวอร์เป็นเด็กกำพร้าตัวผอมแม่ของเขาเสียชีวิตตอนให้กำเนิดเขาและเขาไม่มีญาติพี่น้อง ตอนอายุ 9 หรือ 10 ขวบ – เขาอยู่อย่างโดดเดี่ยวในโลก ในช่วงศตวรรษที่ 19 เขาอาศัยอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในประเทศอังกฤษ เขาหิวโหย ในแต่ละคืนพวกเขาจะให้ชามเล็กๆในนั้นมีแต่น้ำข้าวโอ๊ตสำหรับเป็นอาหารมื้อค่ำ ส่วนเด็กคนอื่น ๆ ที่โอลิเวอร์กระซิบบอกเขาว่า "ไปขอมาเพิ่ม" ในที่สุดก็ไม่อาจหนีพ้นความหิวได้ เด็กคนอื่นกลับขโมยชามของเขาและนำไปให้กับคนตัวใหญ่และอ้วนตามคำสั่ง คนอ้วมนั้นมองดูและกล่าวด้วยเสียงที่น่ากลัวว่า "คุณต้องการอะไร?" โอลิเวอร์กล่าวว่า "ได้โปรดท่าน ผมต้องการข้าวมากกว่านี้" คนอ้วนนั้นกล่าวว่า "อะไรนะ?" เด็กน้อยนั้นก็ตอบว่า "ได้โปรดผมอยากได้เพิ่มอีก" คนอ้วนนั้นตะโกนร้องว่า "อะไรนะ? เจ้าต้องการมากกว่านี้อย่างนั้นหรือ? มากกว่าหรือ! คุณต้องการมากอย่างนั้นหรือ!" สองสามวันต่อเขาถูกจึงถูกส่งตัวไปทำงานให้เป็นสัปเหร่ออยู่ในห้องมืดภายใต้ที่นอนที่มีแต่โลงศพ ถ้าคุณยังไม่เคยอ่านหนังสือของดิคเก้นหรือถ้าคุณยังไม่เคยดูภาพยนตร์ที่สร้างขึ้นปี 1948 ต้องดูและไม่มีวันที่คุณจะลืมฉากนี้ – นั่นเป็นเรื่องใหญ่ "มีพิธีการ" ปฏิเสธที่จะให้เด็กหิวโหยคนนี้แม้แต่น้ำข้าวโอ๊ตเต็มชาม ผมกลัวว่าพวกคุณจะคิดว่าพระเยซูคริสต์จะเป็นอย่างนั้นด้วย คุณคิดว่าพระองค์เป็นอะไรที่ขอยากมากๆ คุณคิดว่าพระองค์ไม่ต้องการประทานความรอดให้คุณ หากเป็นเช่นนี้คุณผิดไปแล้ว! พระคริสต์ทรงรักคุณ! พระองค์พร้อมที่จะให้คุณในสิ่งที่คุณต้องการ - และสิ่งอื่น ๆ ! พระเยซูกล่าวว่า “จงมาหาเรา...เราจะให้ท่านหายเหนื่อย” (มัทธิว 11:28). พระเยซูตรัสว่า “เราจะให้คุณมีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 10:28). พระเยซูตรัสว่า “เราจะให้ผู้นั้นดื่มจากบ่อน้ำพุแห่งชีวิตโดยไม่ต้องเสียอะไรเลย” (วิวรณ์ 21:6) พระเยซูประทานความรอดให้คุณแบบฟรีๆ พระองค์จะประทานชีวิตและสันติสุข พระองค์จะช่วยกู้คุณให้รอดพ้นจากบาป พระองค์จะประทานชีวิตนิรันดร์ให้คุณ ทั้งหมดที่คุณทำคือเชื่อในพระเยซู จงมองพระองค์ และรับความรอด พี่น้องจงมองดูแล้วจะมีชีวิต! (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย นาย อาเบล พรูมโหมมี: 1 ยอห์น 4:7-11; 3:11-14. |
โครงร่างของ ชีวิตใหม่ - การเข้าถึงความรักของคริสเตียน REGENERATION – THE LINK TO CHRISTIAN LOVE โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “ผู้ใดเชื่อว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ ผู้นั้นก็บังเกิดจากพระเจ้า และทุกคนที่รักพระองค์ผู้ทรงให้กำเนิดนั้นก็รักคนที่บังเกิดจากพระองค์ด้วย” (1 ยอห์น 5:1) (ติตัส 3:5)
I. ประการแรก คำว่า “เชื่อ” ในข้อนี้หมายถึงอะไร II. ประการที่สอง ไม่ว่าใครก็ตามที่วางใจในพระเยซูจะบังเกิดใหม่ในพระเจ้าอีกครั้ง ยอห์น 3:9.
III. ประการที่สาม จะออกผลอะไรหลังบังเกิดใหม่แล้ว |