เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
การกลับใจใหม่ที่แท้จริง – ฉบับปี 2015REAL CONVERSION – 2015 EDITION โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเช้าวันของพระเป็นเจ้าที่ 4 เดือนมกราคม ค.ศ. 2015 ณ “และตรัสว่า เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าท่านไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะไม่มีวันไดเข้าอณาจักรสวรรค์” (มัทธิว 18:3) |
พระเยซูตรัสชัดเจนว่า“ยกเว้นคุณได้กลับใจใหม่…มิฉะนั้นจะเข้าแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้เลย”พระองค์ได้ตรัสอย่างชัดเจนและแน่นอนว่าคุณต้องมีประสบการณ์เกี่ยวกับการกลับใจใหม่ พระองค์ตรัสว่า ถ้าคุณไม่ได้รับประสบการณ์แห่งการกลับใจใหม่ “จะเข้าแผ่นดินสวรรค์ไม่ได้” ตอนเช้านี้ผมอยากจะเล่าเรื่องของคนๆหนึ่งซึ่งเขามีประสบการณ์เกี่ยวการกลับใจใหม่ โปรดจำที่ผมพูดว่า “การกลับใจใหม่ที่แท้จริง” ผ่านทางบท “คำสารภาพของคนบาป” และในรูแบบของการตัดสินใจนิยม มีคนเป็นบ้านๆที่มีการกลับใจอย่างผิดๆ เรามีไม่กี่คนในคริสตจักรของเรารวมถึงภรรยาของผมด้วย ที่ได้ยินพระกิตติคุณเป็นครั้งแรกที่พวกเขาก็รับเชื่อทันที แต่คนเหล่านี้เป็นผู้ใหญ่และมีชีวิตที่มีการเตรียมพร้อมก่อนที่พวกเขาจะได้ยินพระกิตติคุณ! พวกเขาต่างก็ไม่ใช่เป็นเด็กตัวเล็ก ๆ คนหนุ่มสาวที่กลับใจใหม่ส่วนใหญ่ใช้เวลานานกว่าจะมาที่พระเยซูคริสต์อาจใช้เวลาหลายเดือน (และอาจเป็นปี) ในการฟังคำเทศนาเกี่ยวกับพระเยซู สเปอร์เจียน กล่าวว่า "อาจจะมีความเชื่อบางอย่างที่เริ่มต้นโดยแห่งหมายสำคัญก่อน แต่โดยปกติแล้วเราต้องอาศัยขั้นตอนกว่ามาถึงเชื่อ" (C. H. Spurgeon, Around the Wicket Gate, Pilgrim Publications, 1992 reprint, p. 57)ขั้นตอนต่างๆที่ผู้เขื่อส่วนใหญ่ได้ผ่านเข้ามา I. ประการแรก คุณมาที่คริสตจักรด้วยเหตุผลอื่นมากกว่าเพราะการกลับใจใหม่ ผมมาที่คริสจักรในช่วงที่ยังเป็นวันรุ่น นั่นเป็นเพราะมีเพื่อนบ้านชวนให้ผมไปกับพวกเขา ดังนั้นในปี 1954 ผมก็เริ่มไปคริสตจักรด้วยเหตุว่าผมรู้สึกเหงา ประกอบกับเพื่อนบ้านเหล่านั้นดีต่อผม นั่นมันไม่ใช่เหตุผลที่ “แท้จริง” เลย ใช่หรือเปล่า? ผมได้เดินออกไปข้างหน้าหลังจากที่เทศนาตอนแรกจบ ผมได้ยินและก็เข้ารับบัพติสมา นั่นบ่งบอกว่าผมคือแบ๊บติสต์ แต่ผมยังไม่ได้กลับใจเลย ผมมาเพราะเขาทำดีต่อผม แต่ไม่ใช่เพราะผมต้องการความรอด ดังนั้นในช่วงระยะเจ็ดปีที่ผ่านมานั้นผมได้เข้าสู่ในภาวะแห่งความทุกข์ ก่อนที่ผมจะกลับใจใหม่ในวันที่ 28 เดือนกันยายนปี 1961 ในขณะที่ผมได้ฟังคำเทศนาของ ดร. ชาลีย์ เจ. วูดบริดจ์ ที่วิทยาลัย ไบร์โอลา (ตอนนี้เปลี่ยนเป็นมหาวิทยาลัยไบร์โอลา) แล้วตัวคุณล่ะ? คุณมาที่คริสตจักรเพราะรู้สึกเหงาหรือเปล่า – หรือเพราะว่าพ่อแม่ของคุณพาคุณมาคริสตจักรเหมือนเด็ก? ถ้าคุณมาคริสตจักรในเช้านี้มาเหมือนติดเป็นนิสัย เหมือนเด็กที่ถูกเลี้ยงในคริสตจักร นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณกลับใจใหม่แล้ว หรือคุณมาเหมือนเมื่อก่อนที่ผมเคยมา เพราะว่าคุณรู้สึกเหงา และถูกเชิญไปโดยใครบางคน และคนเหล่านั้นก็ทำดีให้คุณ? ถ้าเป็นเช่นนี้ นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณกลับใจใหม่แล้ว โปรดอย่าเข้าใจผมผิด ผมดีใจที่คุณมาที่นี่ – ถึงแม้ว่าจะมาเหมือนติดเป็นนิสัยคล้ายกับเด็กในคริสตจักร หรือเพราะความเหงา หรืออาจเหมือนผมตอนที่อายุสิบสามปีก็ตาม การมาคริสตจักรอาจเป็นเพราะเหตุผลเหล่านี้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สามารถช่วยคุณให้รอด คุณจะต้องกลับใจใหม่จริงๆเพิ่อรับเอาความรอด คุณต้องอยากจะได้ความรอดนั้นจริงๆโดยทางพระเยซคริสต์ นี่คือเหตุผลที่ “แท้จริง” – นี่คือทางเดียวที่สามารถช่วยชีวิตคุณให้รอดพ้นจากบาป มันไม่ผิดอะไรเลยที่คุณมาที่นี่เพราะติดเป็นนิสัยหรือเพราะความเหงา มันเพียงแค่ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริงเท่านั้น การกลับใจใหม่นั้นคุณต้องการบางอย่างมากไปกว่านี้ ไม่ใช่แค่มาคริสตจักรเพื่อทำให้รู้สึกสบายใจเท่านั้น II. ประการที่สอง คุณเริ่มต้นรู้ว่าพระเจ้านั้นมีจริง คุณสามารถรับรู้ได้ว่าพระเจ้านั้นมีอยู่จริงก่อนที่คุณจะมาที่คริสตจักร แต่บางคนก็รับทราบแบบสลัวๆ ความเชื่อในพระเจ้าก็ไม่ชัดเจนก่อนที่เขาจะรับฟังพระคำของพระเจ้า นี่รวมถึงตัวคุณเองด้วย ถ้าคนๆนั้นถูกพามาที่นี่ ถ้าคุณถูกเลี้ยงในคริสตจักร คุณอาจจะรู้พระคัมภีร์มากมาย การค้นหาสิ่งต่างๆในพระคัมภีร์ก็ไม่ยากสำหรับคุณแลย คุณก็รู้ถึงแผนการแห่งความรอด คุณรู้ข้อพระคัมภีร์มากมาย ตลอดจนบทเพลงต่างๆ แต่สำหรับพระเจ้านั้นยังไม่ได้เป็นจริง และยังคลุมเคลือให้กับคุณ อีกประเด็นหนึ่ง ไม่ว่าคุณจะเป็นคนใหม่ หรือเด็กในคริสตจักรก็ตาม บางอย่างเริ่มที่จะเกิดขึ้น คุณเริ่มที่จะรับทราบว่าพระเจ้านั้นมีจริงๆ – ไม่ได้เป็นเพียงแค่คำพูดที่กล่าวถึงพระเจ้าเท่านั้น พระเจ้านั้นกลายเป็นบุคคลจริงให้กับคุณ สมัยเด็กๆนั้น ผมเคยสงสัยและความเชื่อในพระเจ้านั้นไม่ชัดเจน แต่ผมไม่ได้ตระหนักถึงอย่างที่พระคัมภีร์กล่าวว่า "พระเจ้ายิ่งใหญ่และน่ากลัว" (เนหะมีย์ 1: 5) จนกระทั่งผมอายุสิบห้าปี – สองปีให้หลังจากที่ผมเริ่มเข้าร่วมนมัสการที่คริสตจักรแบ๊บติสกับเพื่อนบ้านของผม วันที่นำยายของฉันไปฝังที่สุสาน ผมวิ่งไปเป็นต้นไม้ในสุสานนั้น และตกหลุมเหงื่อออกและล้มอยู่บนพื้นดิน ทันใดนั้นพระเจ้าเสด็จลงมาที่ผม – และผมรู้ว่าพระเจ้านั้นมีจริง และในความบริสุทธิ์ของพระองค์มีพลังอำนาจน่าแกรงขาม แต่ผมก็ยังไม่กลับใจใหม่ คุณเคยมีประสบการณ์บางอย่างเช่นนี้หรือเปล่า? พระเจ้ามีอยู่จริงในชีวิตของคุณหรือเปล่า? นั่นเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ พระคัมภีร์กล่าวว่า “ถ้าไม่มีความเชื่อก็เป็นไปไม่ได้ที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย เพราะผู้ที่จะมาหาพระเจ้าต้องเชื่อว่าพระองค์ [ทรงดำรงอยู่]” (ฮีบรู 11:6) การเชื่อในพะเจ้านั้นคือส่วนหนึ่งของความเชื่อ – แต่การเชื่อเช่นนั้นไม่ได้ทำให้เรารอด แม่ของผมพูดเสมอว่า “ฉันเชื่อพระเจ้าอยู่เสมอ” และไม่เป็นที่สงสัยอะไรเลยที่ผมจะต้องถามแม่ในสิ่งที่ท่านได้ทำ แม่เชื่อพระเจ้ามาตั้งแต่เด็กๆ แต่ท่านไมได้กลับใจใหม่จนกว่าอายุของท่าน 80 ปี มันเป็นสิ่งที่สำคัญมากในการที่ท่านเชื่อพระเจ้า แต่มีบางอย่างที่มากไปกว่านั้นต้องเกิดขึ้นให้กับคนที่อยากกลับใจใหม่จริงๆ ดังนั้น ที่ผมกำลังพูด ก็คือคุณอาจจะมาคริสตจักรในเช้านี้ทั้งๆที่ไม่รู้เลยว่าพระเจ้านั้นมีอยู่จริง ชึ่งอาจจะค่อยเป็นค่อยไป หรือทันทีทันใด ต่อการที่คุณเห็นว่าพระเจ้านั้นทรงพระชนม์จริง III. ประการที่สาม รู้ว่าคุณได้ต่อต้านพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงพิโรธเป็นเพราะความบาปของคุณ พระวจนะกล่าวว่า “บรรดาผู้ที่มีวิสัยบาปควบคุมอยู่ [คือ คนที่ไม่กลับใจใหม่] ไม่อาจเป็นที่ชอบพระทัยของพระเจ้าได้” (โรม 8:8) ในขณะที่คุณเริ่มรู้ว่า คนที่ไม่ยอมกลับใจใหม่ ไม่มีอะไรเลยที่เราจะทำให้เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า ความจริง ก็คือคุณเริ่มรับรู้ว่าคุณคือคนบาปคนหนึ่ง ในทุกๆวัน “ใจที่แข็งดื้อด้าน และไม่ยอมกลับใจ ท่านจึงส่ำสมพระพิโรธให้แก่ตนเอง” (โรม 5:2) พระวัจนะกล่าวไว้ว่า “พระเจ้าทรงสำแดงพระพโรธทุกๆวัน” (สดุดี 7:11) หลังจากคุณค้นพบว่าพระเจ้านั้นมีอยู่จริง คุณก็รับรู้ถึงการที่คุณได้ต่อต้านพระเจ้าโดยการทำบาป รวมถึงการไม่รักพระองค์ ความบาปต่างๆที่คุณยอมจำนนต่อนั้นได้ต่อต้านพระเจ้า และพระบัญญัติของพระองค์ และก็จะมีความชัดเจนมากขึ้นว่านั่นคือความจริง ขาดการรักพระเจ้าในเวลานี้ ก็กระทำให้บาปนั้นเพิ่มพูลทวีขึ้น แต่ยิ่งกว่านั้น คุณก็เริ่มรู้ว่าโดยธรรมชาติแล้วคุณคือคนบาป และไม่มีอะไรดีในตัวของคุณเลย จิตใจของคุณเต็มด้วยความบาป ขั้นตอนนี้เรียกว่า “การรับรู้” โดย พูริทานส์ แต่มันไม่สามมารถรับรู้ได้ถ้าปราศจากการรับรู้เรื่องบาป และการตำหนิตนเองอย่างลึกซึ้ง คุณจะรู้สึกเหมือน จอหน์ นิวตัน เคยทำมาแล้ว เขาได้เขียนไว้ว่า: ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์ต่ำช้าเพียงใด ไม่บริสุทธิ์ และไม่สะอาด! คุณเริ่มต้นคิดลึกลงไป กว่านั้น เกี่ยวกับบาปที่อยู่ภายในจิตและหัวใจของคุณ คุณจะคิดว่า “ใจของข้าเต็มด้วยความบาป และห่างเหินจากพระเจ้า” ความคิดนี้ก็จะรบกวนคุณ คุณก็จะรู้สึกเสียใจผิดหวังและถูกรบกวนด้วยความคิดที่เต็มด้วยบาปซึ่งเป็นของคุณเอง ตลอดจนจากการขาดการรักพระเจ้า ในขั้นนี้ชีวิตที่เยือกเย็นไร้ความหวังก็ต่อต้านรบกวนจากลึกๆภายในของคุณเพราะการที่คุณเข้าหาพระเจ้า คุณก็จะรับรู้ได้ว่าบุคคลที่มีจิตใจที่เต็มด้วยบาปนั้นไร้ทิศทางไร้ความหวัง คุณก็จะเห็นว่ามันจำเป็นและถูกต้องทีเดียวที่พระเจ้าจะส่งคุณไปที่แดนมรณา – เพราะว่าคุณสมควรอยู่ที่นั่น นี่คือสิ่งที่คุณคิดเมื่อคุณรู้และเข้าใจว่าคุณได้ต่อต้านพระเจ้า และพระองค์ทรงพิโรธเพราะความบาปของคุณ ขั้นตอนของการรับรู้นี้เป็นตอนที่สำคัญมาก แต่ยังไม่ไช่การกลับใจใหม่ คนที่มองเห็นความบาปของตัวเองว่าเป็นอย่างไรนั้น – ยังไม่ใช่การกลับใจใหม่ เพราะว่าการกลับใจใหม่นั้นต้องไปไกลกว่าการที่เชื่อว่าเป็นคนบาปเพียงอย่างเดียว คุณอาจจะรับรู้ว่าคุณไม่เป็นที่พอพระทัยพระเจ้า จุดของการรับรู้นี้อาจจะเติบโตจากการฟังพระคำของพระเจ้าตลอดถึงการเข้าใจว่าพระเจ้าต่อต้านและไม่พอพระทัยในตัวคุณ ดังนั้นหนทางเดียวที่จะพาคุณเข้าถึงขั้นตอนที่สี่นั่นคือขั้น การกลับใจใหม่ คุณต้องรู้อย่างถ่องแท้ว่าคุณเต็มไปด้วยบาปและไม่บริสุทธิ์ ชาลีย์ สเปอร์เจียน ได้มาถึงขั้นรับรู้เกี่ยวกับความบาปของตนเองในตอนที่เขายายุ 15 ปี พ่อและปู่ของเขาต่างก็เป็นนักเทศน์ พวกเขาอยู่ในยุคที่เรียกว่าการ “ตัดสินใจนิยม” ไม่สามารถสอนเกี่ยวกับการกลับใจใหม่หรือยังไม่เน้นและยังไม่ชัดเจน ดังนั้น พ่อและปู่ของเขาจึงไม่ “กระตุ้น” เขาให้ “ตัดสินใจเพื่อพระเยซู”คริสต์ แต่กลับรอดูว่าพระเจ้าจะทำงานผ่านตัวเขาเพื่อจะได้กลับใจใหม่ ผมคิดว่าพวกเขาถูก สเปอร์เจียนมาเชื่อเรื่องของความบาปตอนที่เขามีอายุสิบห้าปี เขาได้อธิบายความเข้าใจของเขาเกี่ยวกับบาปไว้ดังนี้: ทันทีที่ผมพบกับโมเสส ขณะกำลังถือแขนของเขาซึ่งเป็นพระบัญญัติของพระเจ้า และดูเหมือนว่าเขามองดูผมอยู่ ดูเหมือนว่าเขาได้ค้นหาตัวผมผ่านทางสายตาของเขาที่เป็นประกายไฟ เขา [บอกให้ผมอ่าน] ‘สิบคำของพระเจ้า’ – พระบัญญัติสิบประการ – และตอนที่ผมอ่านคำเหล่านั้น พวกเขาได้รวมตัวกันกล่าวหา และตำหนิผมด้วยสายตาแห่งพระเจ้าผู้บริสุทธิ์ จากประสบการณ์นั้น เขามองเห็น เขารู้ว่าเขาคือคนบาปในสายพระเนตรของพระเจ้า และไม่มี “ศาสนา” หรือ “ความดี” ที่ไหนที่สามารถช่วยให้เขารอด เด็กหนุ่มสเปอร์เจียนได้เข้าสู่ภาวะแห่งความทุกข์อย่างแสนสาหัส เขาได้พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อจะได้มาซึ่งสันติสุขของพระเจ้าโดยพละกำลังของเขาเอง แต่ความพยายามทุกอย่างที่เขาทำเพื่อสร้างสันติกับพระเจ้านั้นกลับล้มเหลว มีทางเดียวที่เขาต้องพร้อมที่จะทำ คือเข้าสู่ขั้นตอนที่สี่ IV. สี่ คุณพยายามแสวงหาความรอดด้วยตัวเอง หรือเรียนรู้ว่าจะรอดได้อย่างไร คนที่ตื่นแล้ว จะรู้ดีว่าเป็นคนบาป แต่จะยังไม่หันไปหาพระเยซู ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์อธิบายถึงสภาพของคนโดยกล่าวว่า "ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง...และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน" (อิสยาห์ 53:3) เราเป็นเหมือนอดัม ที่รู้ว่าเขาเป็นคนบาป แต่กลับซ่อนตัวจากพระผู้ช่วยให้รอดและพยายามที่จะปิดบังความผิดบาปของเขาโดยใบมะเดื่อ (ปฐมกาล 3: 7, 8) เช่นเดียวกับอดัม คนบาปตื่นขึ้นมาโดยพยายามทำบางอย่างเพื่อปกป้องตัวเองจากบาป เขาพยายามที่จะ "เรียนรู้" ว่าจะรอดได้อย่างไร แต่เขากลับพบว่า "การเรียนรู้" ไม่ได้ช่วยเขาให้ดีเลย เขาเป็นเช่น "ถึงจะเรียนกันอยู่เสมอ แต่ก็ไม่อาจเรียนรู้ถึงความจริงเลย" (2 ทิโมธี 3: 7) หรือเขามองหาแต่ "ความรู้สึก" แทนที่จะเป็นตัวของพระเยซูเอง บางคนมองหาที่ "ความรู้สึก" และอยู่อย่างนั้นหลายเดือน เพราะไม่มีใครจะรอดโดย "ความรู้สึก" สเปอร์เจียนถูกทำให้ตื่นจากบาปของเขา แต่เขาไม่เชื่อ เขารอดก็ต่อเมื่อวางใจพระเยซู เขากล่าวว่า ก่อนที่ผมจะมาที่คริสต์ ผมพูดกับตัวเองว่า "มันไม่มีทางที่จะสามารถเป็นไปได้ ถ้าผมเชื่อในพระเยซูอย่างที่ผมเป็น ผมจะรอดได้อย่างไร? ผมต้องรู้สึกอะไรบางอย่าง ผมต้องทำอะไรบางอย่าง” (ibid.) นั่นนำคุณไปยังประการที่ห้า V. ประการที่ห้า สุดท้ายคุณมาที่พระคริสต์และวางใจพระองค์ผู้เดียว สุดท้ายชายหนุ่มอย่างสเปอร์เจียนได้ยินนักเทศน์ท่านหนึ่งพูดว่า “จงมองดูพระเยซูคริสต์...อย่าไปมองที่ตัวเอง...จงมองดูพระเยซู” และแล้วหลังจากการเผชิญปัญหาอุปสรรคและความสับสนต่างๆภายในชีวิต เขาจึงได้มองดูพระเยซูคริสต์ สเปอร์เจียนกล่าวว่า “ผมได้รับความรอดแล้ว [โดยพระโลหิตของพระคริสต์]! ผมจะเต้นรำตลอดทางกลับบ้าน!” หลังจากการต่อสู้และความสงสัยทั้งหลายผ่านไป เขาได้หยุดมองหาความรู้สึกหรือสิ่งใดๆในตัวเอง เขาทำง่ายๆคือเชื่อในพระเยซู – แล้วทันใดนั้นพระเยซูก็ทรงช่วยเขา ในช่วงเวลาเดียวกีนนี้เขาได้รับการชำระจากบาปโดยพระโลหิตของพระเยซูคริสต์! มันง่ายและยังเป็นประสบการณ์ที่ลึกซึ้งมากที่สุดที่มนุษย์สามารถมีได้ เพื่อนของผมกลับใจอย่างแท้จริง! พระคัมภีร์กล่าวว่า "เชื่อในพระเยซูคริสต์เจ้าและท่านจะรอด" (กิจการ 16:31) โจเซฟ ฮาร์ท กล่าวว่า ขณะที่คนบาปมารับเชื่อ สรุป พระเยซูคริสต์ตรัสว่า : “ถ้าท่านไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ท่านจะไม่มีวันได้เข้าอาณาจักรสวรรค์” (มัทธิว 18:3) เหมือนตัวละครหลักในการแสวงบุญ ที่ทำแบบผิวเผิน “ต่อการตัดสินใจเพื่อพระเยซูคิรสต์” ไม่! ไม่! ต้องมั่นใจว่าการการกลับใจใหม่นั้นมีจริงๆ เพราะว่าถ้าคุณไม่ได้กลับใจใหม่จริงๆ “คุณไม่มีวันได้เข้าอณาจักรสวรรค์” (มัทธิว 18:3) การกลับใจใหม่ที่แท้จริง 1. คุณต้องมาตรงจุดที่เชื่อจริงๆว่ามีพระเจ้า – พระเจ้าเที่ยงแท้ซึ่งนำคนบาปไปทิ้งนรก และพาผู้ที่ได้รับการทรงไถ่เข้าแผ่นดินสวรรค์หลังเขาเหล่านั้นเสียชีวิต 2. คุณต้องรู้ลึกๆภายในว่าคุณคือคนบาป และเคยต่อต้านพระเจ้า ซึ่งอาจจะเป็นไปในลักษณะเช่นนี้ในช่วงรยะยาวนาน (หรืออาจจะสั้นๆสำหรับบางคน) ดร. คาเกน ซึ่งเป็นมัคนายกของพวกเรานี้เอง กล่าวว่า “ผมได้ต่อสู้กับการนอนหลับแบบไม่เพียงพอมาหลายคืนและก็หลายเดือน หลังจากที่พระเจ้ากลายมาเป็นความจริงให้กับผม ในเวลานี้ผมจึงสามารถอธิบายชีวิตของผมซึ่งอยู่ในช่วงสองปีที่ต้องทนทุกข์ทรมานทางจิตใจ” (C. L. Cagan, Ph.D., From Darwin to Design, Whitaker House, 2006, p. 41) 3. ต้องรู้ว่าคุณไม่สามารถทำอะไรเพื่อได้มาซึ่งการคืนดีระหว่างคุณกับพระเจ้าถึงเรื่องที่ได้ต่อต้านพระเจ้าและพระพิโรธของพระองค์ ไม่ใช่สิ่งที่คุณพูด หรือเรียน หรือทำจะช่วยตัวคุณได้ทุกอบ่าง ต้องทำให้เกิดความกระจ่างชัดเจนในจิตใจ 4. คุณต้องมายังพระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระเจ้า และเข้ารับการชำระความบาปของคุณโดยพระโลหิตของพระองค์ ดร. คาเกน พูดว่า “ผมสามารถจำได้ในทุกๆวินาทีตอนที่ผมเข้ามาไว้วางใจ [พระเยซูคริสต์]…มันดูเหมือนว่าผมกำลังเผชิญหน้า [พระเยซูคริสต์]…ผมอยู่ในพระสิริของพระเยซูคริสต์ และพระองค์ก็พร้อมสำหรับผม ถึงแม้ว่าผมเคยทอดทิ้งพระองค์ไปหลายปี อย่างไรก็ตามพระองค์ก็ยังสถิตตรงนั้นเพื่อผม ยังรัก และประทานความรอดให้ผม และคืนนั้นคือช่วงเวลาที่ผมได้ไว้วางใจในพระองค์ ผมก็ทราบว่าผมเลือกที่จะเข้าหาพระองค์หรือหนีออกไป ในชั่วขณะนั้น เพียงแค่ไม่กี่วินาที ผมได้มาหาพระเยซูคริสต์ ผมจึงไม่ไว้วางใจในตัวเองอีกต่อไปดั่งคนที่ไม่เชื่อทำกัน ผมได้ไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ ผมเชื่อในพระองค์ นั่นมันง่ายมากใช่มั้ย ในช่วงเวลาสั้นๆแห่งการไว้วางใจนั้น…ผมเข้ามาพระเยซูคริสต์และนี่ก็เป็นเหตุการณ์ สำคัญที่เกิดขึ้นในชีวิตของมนุษย์ – การกลับใจใหม่ ตลอดระยะทั้งหมดในชีวิตของผมนั้นหนีจากพระเจ้า แต่คืนนั้นผมได้หันกลับและในทันใดนั้นก็ตรงมายังพระเยซูคริสต์” (C. L. Cagan, ibid., p. 19). นี่คือการกลับใจใหม่ที่แท้จริง และคือประสบการณ์ที่คุณจะต้องมีโดยการกลับใจใหม่เพื่อพระเยซูคริสต์ มาที่พระเยซูและเชื่อพระองค์! พระองค์จะช่วยคุณและชำระให้พ้นจากบาปโดยพระโลหิตที่หลั่งลงที่กางเขน! อาเมน (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย นาย อาเบล พรูมโหมมี: |
โครงร่างของ การกลับใจใหม่ที่แท้จริง – ฉบับปี 2015 REAL CONVERSION – 2015 EDITION โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “และตรัสว่า เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าท่านไม่เปลี่ยนแปลงและเป็นเหมือนเด็กเล็กๆ ท่านจะไม่มีวันไดเข้าอณาจักรสวรรค์” (มัทธิว 18:3) I. ประการแรก คุณมาที่คริสตจักรด้วยเหตุผลอื่นมากกว่าเพราะการกลับใจใหม่ II. ประการที่สอง คุณเริ่มต้นรู้ว่าพระเจ้านั้นมีจริง เยเรมีย์ 1:5; ฮีบรู 11:6. III. ประการที่สาม รู้ว่าคุณได้ต่อต้านพระเจ้า และพระองค์ก็ทรงพิโรธเป็นเพราะความบาปของคุณ โรม 8:8; 2:5; สดุดี 7:11. IV. สี่ คุณพยายามแสวงหาความรอดด้วยตัวเอง หรือเรียนรู้ว่าจะรอดได้อย่างไร อิสยาห์ 53:3; ปฐมกาล 3:7, 8; 2 ทิโมธี 3:7 V. ประการที่ห้า สุดท้ายคุณมาที่พระคริสต์และวางใจพระองค์ผู้เดียว กิจการ 16:31. |