เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
หกข้อผิดพลาดของคนปัจจุบันเกี่ยวกับการฟื้นฟู (บทเทศนาถึงการฟื้นฟูครั้งที่ 15) โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าที่ 16 เดือนฟฤศจิกายน ค.ศ. 2014 ณ |
หัวข้อของผมคืนนี้คือ "หกข้อผิดพลาดของคนปัจจุบันเกี่ยวกับการฟื้นฟู" ผมเริ่มสนใจเรื่องการฟื้นฟูในปี 1961 ผมได้ซื้อหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่ห้องหนังสือ ไบโอลา ซึ่งเขียนเกี่ยวกับการฟื้นฟูครั้งแรก เนื้อหาในนั้นมีบทความที่เขียนโดย จอห์น เวสลีย์และตีพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ มูดี้ จากนั้นผมเริ่มคิดเกี่ยวกับการฟื้นฟูและอธิษฐานเผื่อถึงเรื่องนี้มานานกว่าห้าสิบสามปี เป็นการดีที่ผมได้รับประสบการณ์โดยตรงถึงสองการฟื้นฟูในเคลือคริสตจักรแบ๊บติส นั่นไม่ไช่การประชุมแบบประกาศ หรือ "คาริสเมติส" ตามที่อ่านประวัติศาสตร์ของคริสเตียนจะพบว่าการฟื้นฟูมีหลายรูปแบบ ผมยังได้เห็นพระเจ้าส่งฟื้นฟูลงมาในช่วงที่เรียกว่า "พระเยซูทรงเคลื่อนไหว" ของปลายทศวรรษ 1960 และต้นทศวรรษ 1970 หลังจากห้าสิบสามปีที่ได้อ่านและคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ผมไม่ได้ถือว่าตัวเองมีรู้ดีเกี่ยวกับการฟื้นฟูดี ผมเพียงแค่เริ่มต้นเข้าใจความจริงสำคัญบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นฟู ที่ผ่านมานั้นผมเข้าใจเรื่องการฟื้นฟูผิดไป เพราะช่วงเวลาที่ผานมานี้ผมหลงไปเชื่อตามคำสอนของ ชาร์ลส์ จี ฟินเนย์ แม้ตอนนี้ผมก็ยังไม่แน่ใจว่าผมเข้าใจเรื่องนี้ได้เป็นอย่างดี “เพราะว่าบัดนี้เราเห็นสลัว ๆ เหมือนดูในกระจก” (1 โครินธ์ 13:12) แต่คืนนี้ผมจะให้คุณถึงหกข้อผิดพลาดเกี่ยวกับการฟื้นฟู และนั่นคือการฟื้นฟูที่ผมไม่ยอมรับ ผมหวังว่าจุดเหล่านี้จะช่วยให้คุณเริ่มอธิษฐานขอพระเจ้าให้ส่งการฟื้นฟูลงมายังคริสตจักรของเรา I. ประการแรก ผิดที่บอกว่าปัจจุบันนี้ไม่ใช่ยุคแห่งการฟื้นฟู ฉันจะไม่ใช้เวลามากเกี่ยวกับเรื่องนี้ แต่ผมจำเป็นต้องพูดถึงมันเพราะหลายคนเชื่อตามนั้น พวกเขามักบอกว่า "วันเวลาแห่งการฟื้นฟูนั้นไม่มีอีกแล้ว เราอยู่ในยุคสุดท้ายการฟื้นฟูจะไม่มีอีกต่อไป" ความคิดเช่นนี้อยู่ในหมู่คริสเตียนที่เชื่อพระคัมภีร์ของทุกวันนี้ แต่ผมเชื่อว่านี่เป็นความเข้าใจผิดตามเหตุผลสามประการนี้ (1) พระคัมภีร์กล่าวว่า "ด้วยว่าพระสัญญานั้นตกแก่ท่านทั้งหลายกับลูกหลานของท่านด้วย และแก่คนทั้งหลายที่อยู่ไกล คือทุกคนที่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้าของเราทรงเรียกมาเฝ้าพระองค์" (กิจการ 2:39) อัครสาวกเปโตรกล่าวว่าประมาณช่วงการฟื้นฟูที่ยิ่งใหญในวันเพนเทคอส นั่นคือการเทวิญญาณของพระเจ้าลงมาในยุคสุดท้ายนี้! (2) การฟื้นฟูที่ยิ่งใหญ่ทั้งหมดจะมาในท่ามกลางความทุกข์ลำบากยิ่งใหญ่ ภายใต้พวกต่อต้านพระคริสต์ และยุคสุดท้ายนี้ (อ้างมาจาก วิวรณ์ 7:1-14) (3) การฟื้นฟูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลกตะวันออกไกลกำลังเกิดขึ้นในขณะนี้ และในคืนนี้ นั่นคือที่ประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศอื่น ๆ ในโลกที่สาม การฟื้นฟูที่ยิ่งใหญ่ในยุคปัจจุบันเกิดขึ้นตอนนี้! มันเป็นความผิดพลาดอย่างมหันต์ที่คิดว่าปัจจุบันนี้จะไม่มีการฟื้นฟูอีก! II. ประการที่สอง ที่ผิดคือคิดว่าการฟื้นฟูขึ้นอยู่กับการประกาศของเรา ข้อผิดพลาดนี้พบบ่อยในกลุ่มคริสตจักรแบ็บติสต์ใต้และอื่น ๆ พวกเขาได้รับความคิดนี้มาจากชาร์ลส์ จี ฟินเนย์ โดยที่ฟินนีย์กล่าวว่า "การฟื้นฟูเป็นเรื่องของธรรมชาติ คือผลของการใช้วิธีการที่เหมาะสมเหมือนอย่างพืชที่ปลูกในที่ๆเหมาะสม" (C. G. Finney, Lectures on Revival, Revell, n.d., p. 5) มีอยู่หลายคริสตจักรยังคงโฆษณา "การฟื้นฟู" ว่าจะเกิดขึ้นในวันใดก็วันหนึ่ง - และวันเหล่านั้นก็หมดไปแล้ว! นี่คือความบริสุทธิ์ของฟินเนย์นิยม! การฟื้นฟูไม่ได้ขึ้นอยู่กับการประกาศและความพยายามในการเพื่อนำดวงวิญญาณ! ฟังพระธรรมกิจการ 13:48-49 “และเมื่อคนต่างชาติได้ยินอย่างนั้นก็มีความยินดี และได้สรรเสริญพระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้า และคนทั้งหลายที่ทรงหมายไว้แล้วเพื่อให้ได้ชีวิตนิรันดร์ก็ได้เชื่อถือ พระวจนะขององค์พระผู้เป็นเจ้าจึงแพร่ไปตลอดทั่วเขตแดนนั้น” ผมคิดว่าพระธรรมทั้งสองข้อนี้จะกล่าวอย่างชัดเจนถึงการฟื้นฟูที่ขึ้นอยู่กับ ความพยายามในการประกาศของเรา แม้ว่าพระกิตติคุณ "ได้รับการตีพิมพ์ไปทั่วทุกภูมิภาค" เฉพาะผู้ที่ได้รับ "ชีวิตนิรันดร์" ใช่ เรากำลังถูกบอกให้ "ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน" (มาระโก 16:15) - แต่ไม่ใช่ทุกสิ่งจะเชื่อ! ในช่วงเวลาของการฟื้นฟูมีคนมารับเชื่อมากกว่าในเวลาอื่น - ค่อนข้างชัดเจนแล้วว่าการฟื้นฟูไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยายามในการประกาศของเราเพียงอย่างเดียว III. ประการที่สาม ผิดเพราะบอกว่าการฟื้นฟูขึ้นอยู่กับการอุทิศตัวของคริสเตียน ผมรู้ว่าหลายคนอ้างพระธรรม 2 พงศาวดาร 7:14 แต่ดูเหมือนว่าแปลกที่พวกเขาไม่อ้างพันธสัญญาใหม่มาช่วยยืนยันทฤษฎีของพวกเขาที่ว่าฟื้นฟูขึ้นอยู่กับคริสเตียน "เป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้า" ทำไมถึงมอบพระธรรมข้อนี้ให้กับกษัตริย์ซาโลมอน และใช้เป็นแม่แบบสำหรับการฟื้นฟูให้กับคริสตจักรพันธสัญญา? ผมไม่เห็นเหตุผลอื่น นอกจากเป็นการให้กับนักนักเทศน์เพื่อส่งเรือออกจากคริสตจักรของเขา "นำทองและเงิน งาช้างลิงและนกยูง" เหมือนอย่างที่ซาโลมอนทรงทำใน 2 พงศาวดาร 9:21 แค่จากสองบทต่อมา! เลน เอช เมอเรย์ กล่าวว่า เรื่องใน 2 พงศาวดาร 7:14 "สิ่งแรกที่สามารถบอกได่คือว่าพันธสัญญาไม่ใช่ [พันธสัญญาใหม่] การฟื้นฟู สิ่งที่ต้องเข้าใจในพระสัญญา ยกตัวอย่างเช่นในความสัมพันธ์ของวันเวลาที่มอบให้ คนอิสราเอลในพันธสัญญาเดิมและดินแดนของเธอซึ่งได้รับการรักษา นี่คือสิ่งที่พูดถึงกัน"(Murray, เล่มเดียว หน้า 13) ความคิดที่ว่าการฟื้นตัวขึ้นอยู่กับความมุ่งมั่นของคริสเตียนนั้นมาจากฟินเนย์ เวสทัน เชอร์เชลล์ เคยเขียนจดหมายถึงหลานชายของท่านบอกให้เขาศึกษาประวัติศาสตร์ เพราะประวัติศาสตร์คือวิธีการที่ดีที่สุดทำให้ฉลาดรู้เกี่ยวกับอนาคต ภาษิตของเชอร์ชิลอย่างเช่น "ประวัติศาสตร์การศึกษา" เราพบว่าความคิดเกี่ยวกับการฟื้นฟูขึ้นอยู่กับ "การทุ่มเทเต็ม" ของคริสเตียนนั้นไม่เป็นความจริง ผู้เผยพระวจนะโยนาห์ไม่ได้ทุ่มเทอย่างเต็มให้พระเจ้า อ่านบทสุดท้ายในพระธรรมโยนาห์ แล้วคุณจะเห็นข้อบกพร่องและการขาดความเชื่อของเขา ไม่ใช่อย่างนั้น การฟื้นฟูที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเกิดขึ่นในหมู่คนต่างชาติในพันธสัญญาเดิมไม่ได้ขึ้นอยู่กับ "ยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง" หรือ "สมบูรณ์แบบ" ของผู้เผยพยากรณ์ จอห์นคาลวิน ไม่ใช่คนสมบูรณ์แบบเลย เขาเผาคนนอกรีตทั้งเป็น – พฤติกรรมของเขาแถบหาไม่เจอในพันธสัญญาใหม่! ถึงกระนั้นก็ตามพระเจ้ายังส่งการฟื้นฟูลงมาภายใต้พันธกิจและผ่านทางงานเขียนของเขา หลายครั้งที่ลูเทอร์มาสามารถควบคุมอารมณ์โกรธได้ และเคยบอกว่าธรรมศาลาของชาวยิวควรจะถูกเผา แม้ว่าลูเทอร์ต่อต้านชาวยิวเป็นบางครั้ง แต่พระเจ้าก็ยังส่งการฟื้นฟูให้กับพันธกิจที่เขาทำ เรายกโทษให้คาลวินและลูเทอร์เพราะเราตระหนักว่าพวกเขาเป็นคนยุคกลาง ทียังคงได้รับอิทธิพลจากโรมันคาทอลิก แต่ทั้งๆที่พวกเขามีข้อบกพร่อง ในขณะเดียวกันพระเจ้าก็ยังส่งการฟื้นฟูที่นำไปสู่การปฏิรูปที่ยิ่งใหญ่ภายใต้พันธกิจของพวกเขา ไวท์ฟิลด์บางครั้งทำผิดพลาดเพราะ "ความรู้สึกภายใน" เขาคิดว่าความผิดพลาดนั้นมาจากพระเจ้า เวสลีย์ ได้ทำสิ่งหนึ่ง (โยนลูกเต๋า) เพื่อบอกว่านั่นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้า แต่ไวท์ฟิลด์ เวสลีย์ ลูเทอร์และคาลวินต่างก็เห็นการฟื้นฟูที่ยิ่งในการทำพันธกิจของพวกเขา เราเห็นตัวอย่างเหล่านี้จากประวัติศาสตร์ว่าคนที่ไม่สมบูรณ์แบบ คนที่ผู้บางครั้งไม่บริสุทธิ์หรือทุ่มเทอย่างที่พวกเขาควรต้องทำ แต่การฟื้นฟูนั้นเป็นการกระทำโดยพระเจ้า เราจึงควรสรุปว่าฟินนีย์และผู้ที่ติดตามเขาผิด ตอนที่พวกเขากล่าวว่าการฟื้นฟูขึ้นได้นั้นขึ่นอยู่กับการทุ่มเทอย่างเต็มที่ของคริสเตียน อัครสาวกเปาโลบอกเราว่า “แต่ว่าเรามีทรัพย์สมบัตินี้อยู่ในภาชนะดิน เพื่อให้เห็นว่าฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง” (2 โครินธ์ 4:7) ผมจะจบประการนี้โดยอ้างคำบทเทศนาของ สตีเฟ่น ถึงศาลเซนเฮดรีน พระคัมภีร์บอกเราอย่างชัดเจนว่าสตีเฟ่นคือคนที่ "ประกอบด้วยความเชื่อ [และ] ฤทธิ์เดช จึงกระทำการมหัศจรรย์และการอัศจรรย์ใหญ่ท่ามกลางประชาชน" (กิจการ 6: 8) สตีเฟ่นยังไม่เห็นการฟื้นฟูจากการเทศนาของเขา แต่เขาก็ถูกขว้างด้วยก้อนหินจนเสียชีวิต ท่านเป็นคนที่บริสุทธิ์และชอบธรรม แต่เขาไม่สามารถทำให้เกิดการฟื้นฟูอย่างอัตโนมัติในการทำพันธกิจของเขา เราสามารถอดอาหารและอธิษฐานและกลายเป็นคริสเตียนที่แท้จริงและดียอดเยี่ยม แต่สิ่งเหล่านี้ไม่อาจสามารถบังคับให้พระเจ้าส่งการฟื้นฟูลงมา ทำไม? อัครสาวกเปาโลให้คำตอบตามนี้ “เพราะฉะนั้น คนที่ปลูกและคนที่รดน้ำไม่สำคัญอะไร แต่พระเจ้าผู้ทรงโปรดให้เติบโตนั้นต่างหากที่สำคัญ” (1 โครินธ์ 3:7) ใช่ เราควรอธิษฐานอย่างต่อเนื่องและบางครั้งก็อดอาหารด้วยเพื่อการฟื้นฟู และในเวลาเดียวกันโปรดจำไว้เสมอ "แต่พระเจ้า ...ทรงโปรดให้เติบโต" (1 โครินธ์ 3: 7) มันเป็นอำนาจอธิปไตยของพระเจ้าผู้เดียวที่ก่อให้เกิดการฟื้นฟูอย่างแท้จริงได้! IV.ประการที่สี่ ผิดเพราะบอกว่าการฟื้นฟูเป็นการพูดแบบปกติธรรมดาที่เราคาดหวังในคริสตจักร พระวิญญาณบริสุทธิถูกเทลงให้พวกอัครสาวกในวันเพนเทคอส พวกเขาเทศนาให้คนต่างชาติฟังด้วยภาษาท้องถิ่นต่างๆ และสามพันคนได้กลับใจใหม่เพราะการฟื้นฟูที่ยิ่งใหญ่นี้ ตามที่บันทึกไว้ในพระธรรมกิจการบทที่สอง แต่เราพบว่าพวกเขาต้องเต็มไปด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์อีกครั้ง ตามที่บันทึกไว้ในพระธรรมกิจการ 4:31 “เมื่อเขาอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งเขาประชุมอยู่นั้นได้หวั่นไหว และคนเหล่านั้นประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหา” (กิจการ 4:31) นี่แสดงให้เราเห็นว่านั่นคือฤดูกาลแห่งการฟื้นฟูในคริสตจักรยุคต้น ไม่ใช่การฟื้นฟูแบบธรรมดา แต่ยังเกิดหลายครั้งตอนที่คริสตจักรต่างๆทำงานตามปกติและเป็นลักษณะแบบวันต่อวัน ผมคิดว่านี่คือสิ่งที่อัครทูตเปาโลหมายถึงตอนที่ท่านกล่าวว่า "ให้ขะมักเขม้นที่จะทำการทั้งในขณะที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส” (2 ทิโมธี 4:2) ซึ่งหมายความว่าเราควรจะเทศนาและอธิษฐานต่อไปและเป็นพยานไม่ว่าจะมีการฟื้นฟูหรือไม่ พระคริสตเรียกเราให้เชื่อฟังพระมหาบัญชา (มัทธิว 28: 19-20) และ "ประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน" (มาระโก 16:15) ไม่ว่าจะมีการฟื้นฟูหรือไม่ก็ตาม! บางคนก็กลับใจใหม่แม้ในเวลาที่มิได้ทรงเคลื่อนไหว ถ้าเราคิดว่าการฟื้นฟูเป็นวิธีการปกติที่พระเจ้าทรงทำงาน เราก็จะท้อใจ เลน เอช เมอเรย์กล่าวว่า ที่มากกว่าจุดนั้น จอร์จไวท์ ฟิลด์ ได้เตือนเพื่อนของเขาที่ชื่อวิลเลียม แมคคูลอช์ ผู้รับใช้ในเมืองแคมบัสแลนด์ [สกอตแลนด์] ใน 1749 แมคคูลอช์ ท้อเท้ใจเพราะเขาไม่เห็นอย่างสิ่งที่เคยเกิดตอนที่พวกเขาเป็นพยานประกาศในการฟื้นฟูใหญ่ปี 1742 อีกต่อไป ไวท์ฟิลด์เตือนให้เขาให้รู้ว่าปี 1742 ไม่ใช่ใช้เป็นบรรทัดฐานให้กับคริสตจักร "ฉันควรจะดีใจที่ถ้าได้ยินว่ามีการฟื้นฟูที่เมืองแคมบัสแลนด์ [อีก] แต่ท่านๆเองก็เคยเห็นแล้วสิ่งต่าง ๆ เช่นนั้น [มากกว่าหนึ่งครั้ง] ในหนึ่งศตวรรษที่ "มาร์ติน ลอยด์ โจนส์หมายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นคล้ายกันเช่นในกรณีเกิดขึ้นให้กับผู้รับใช้ในประเทศเวลส์ "พันธกิจทั้งหมดถูกทำลาย” นั่นเป็นเพราะเขามัวแต่กลับไปมองช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา ที่เขาเคยเห็นและประสบการณ์ถึงการฟื้นฟูปี 1904 "เมื่อการฟื้นฟูสิ้นสุดลง ... เขาก็ยังคงคาดหวังสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างผิดปกติธรรมดาทั่วไป และก็ไม่เกิดขึ้น ดังนั้นเขาก็เริ่มกลุ้มใจและใช้เวลาประมาณสี่สิบปีในชีวิตของเขาอยู่ในสถานะทนทุกข์ไร้ความสุขไร้ประโยชน์ (Iain H. Murray, ibid., p. 29) ถ้าพระเจ้าไม่ส่งการฟื้นฟู เราต้องไม่ปล่อยให้เรื่องนี้ทำลายเรา เราต้องเดินหน้าต่อไป ทำการประกาศข่าวประเสริฐและนำคนบาปมาที่พระคริส "ทั้งที่มีโอกาส [และ] ไม่มีโอกาส" แต่ในเวลาเดียวกันเราควรจะอธิษฐานอย่างต่อเนื่องขอพระเจ้าส่งช่วงเวลาพิเศษสำหรับการฟื้นฟูและการตื่นตัว ถ้าพระเจ้าทรงส่งการฟื้นฟูลงมา เราก็จะเปรมปรีดิ์ แต่ถ้าพระองค์ไม่ทรงส่งกาฟื้นฟูมาเราก็จะยังคงออกไปนำดวงวิญญาณนำมาที่พระคริสสักครั้งในชีวิต! เราจะไม่ท้อ! เราจะไม่ยอมแพ้! เราจะประกาศทั้งที่มีโอกาสและไม่มีโอกาส! V. ประการที่ห้า ที่ผิดเพราะบอกว่าไม่มีเงื่อนไขใดๆเลยที่จะเชื่อมโยงกับการฟื้นฟู ทั้งพระคัมภีร์และประวัติศาสตร์ทั้งสองนี้ต่างก็แสดงให้เราเห็นว่า การฟื้นฟูไม่ได้ขึ้นอยู่กับความพยายามในการประกาศของมนุษย์หรือการทุ่มเททั้งหมดของคริสเตียน แต่มีเงื่อนไขบางอย่างที่จะต้องค้นให้เจอ สิ่งเหล่านี้คือหลักคำสอนที่ถูกต้องและการอธิษฐาน เราต้องอธิษฐานเพื่อให้มีการฟื้นฟูและเรายังต้องมีหลักคำสอนที่ถูกต้องเกี่ยวกับบาปและความรอด ในหนังสือของเขาที่ชื่อ การฟื้นฟู (Crossway Books, 1992) ดร. มาร์ติน ลอยด์ โจนส์ มีอยู่สองบท ในหัวข้อ "ทฤษฎีบริสุทธิ์" และ "ตายแบบดั้งเดิม" ทั้งสองบทนี้ ผู้ชายคนนี้ชี้ให้เห็นถึงการฟื้นฟูในช่วงปีแรกของการเทศนา ได้บอกเราว่ามีหลักคำสอนบางอย่างที่จะต้องเทศน์และเชื่อ ถ้าเราคาดหวังให้พระเจ้าทรงส่งการฟื้นฟูลงมา ผมจะพูดถึงสี่คำสอนตามที่ท่านให้เอาไว้ 1. ฤดูใบไม้ร่วงและการทำลายของมนุษย์ – รวมสิ่งเลวร้ายทั้งหมด 2. ช่วงชีวิต - หรือการเกิดใหม่ - เป็นผมงานของพระเจ้าไม่ใช่ของมนุษย์ 3. เป็นคนชอบธรรมโดยความเชื่อในพระคริสต์ผู้เดียว - ไม่ใช่ความเชื่อที่ผ่านทาง "การตัดสินใจนิยม" จากทางอื่นๆ 4. ฤทธิ์อำนาจแห่งพระโลหิตของพระคริสต์ที่ทรงชำระบาป – ที่เป็นบาปส่วนบุคคลและบาปดั้งเดิม นี่คือสี่หลักคำสอนถูกโจมตีโดยชาร์ลส์ จี ฟินเนย์และหลังจากนั้นไม่มีการสอนอีกต่อปรือขาดการยอมรับนับตั้งแต่น่นเป็นต้นมา จึงไม่แปลกใจอะไรที่หลังจากนั้นเราไม่เห็นการฟื้นฟูอีกต่อไปนับตั้งแต่ปี 1859! ผมไม่พูดรายละเอียดให้มากกว่านี้ แต่หลักคำสอนเหล่านี้ล้วนสำคัญจำเป็นต้องใช้เทศนาอีกครั้ง ถ้าเราหวังที่จะเห็นการฟื้นฟูมาถึงคริสตจักรของเรา คริสตจักรของเราบรรจุคนจำนวนมากที่ยังถือว่าเป็นผู้ลงหายไป จะไม่มีใครกลับใจใกม่อย่างแท้จริง จนกว่าเราจะสอนในเรื่องเหล่านี้อย่างจริงจังและหนักแน่น - ซ้ำแล้วซ้ำอีก! ดร. ลอยด์ โจนส์กล่าวว่า มองไปที่ประวัติศาสตร์ของการฟื้นฟูและคุณจะได้พบกับชายและหญิงมีความรู้สึกหมดหวัง พวกเขาทุกคนต่างทราบถึงความดีของพวกเขาว่าคืออะไร แต่มันเป็นเสื้อผ้าที่สกปรก และความชอบธรรมของพวกเขาไม่มีค่าใดๆเลย และพวกเขายังรู้สึกอีกว่าพวกเขาไม่สามารถทำอะไรได้ และร้องไห้ออกมาให้พระเจ้าเพื่อความเมตตาและความรัก ชอบธรรมโดยความเชื่อ คือสิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้เรา "ถ้าพระเจ้าไม่ทำให้เรา" พวกเขาพูดว่า "แล้วเราจะก็หลงหายไป" และเพื่อพวกเขาจะรู้ถึง [ความรู้สึกของพวกเขา] ชีวิตท่ไร้ความหวังยังอยู่ต่อพระพักตร์พระองค์ พวกเขาไม่สนใจและไม่ถือว่าเป็นเรื่องที่สำคัญเหมือนอย่สงทุกศาสนาที่ผ่านมาทร่พวกเขาเชื่อกัน และความซื่อสัตย์ของพวกเขาทั้งหมดในการเข้าร่วมคริสตจักร และอีกหลายอย่าง พวกเขายังเห็นมันเป็นสิ่งที่ไม่ดี แม้ว่าศาสนาเก่าของพวกเขาไม่มีอะไรที่มีเลย พระเจ้าต้องทำลายความอธรรม และนี่เป็นเนื้อหาสำคัญที่ต้องพูดออกมา ดังนั้นในทุกช่วงเวลาของการฟื้นฟู (Martyn Lloyd-Jones, ibid., pp. 55-56) “ส่วนคนที่มิได้อาศัยการกระทำ แต่ได้เชื่อในพระองค์ ผู้ทรงโปรดให้คนอธรรมเป็นคนชอบธรรมได้ ความเชื่อของคนนั้นต้องนับว่าเป็นความชอบธรรม” (โรม 4:5) “พระคริสต์: พระเจ้าทรงพระกรุณาให้เราเป็นผู้ชอบธรรม โดยความเชื่อในพระโลหิต” (โรม 3:24-25) VI. ประการที่หก ทีผิดคือบอกว่าการฟื้นฟูเริ่มต้นด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ ที่เรียกว่า "การฟื้นฟูหัวเราะ" ไม่ใช่การฟื้นฟูอย่างแท้จริงไม่ว่ากรณีใดก็ตาม ผมเห็นหนึ่งการประชุมด้วยตัวผมเองกับเพื่อนของผมคือ ดร. อาเธอร์ บี โฮก มันเป็นการฟื้นฟูที่ตลกและน่าเศร้าเสียจริงๆ มันอาจจะเข้าพอดีกับอย่างที่คนในปัจจุบันคิดถึงความรอด ดร. จอห์น อาร์มสตรอง กล่าวว่า "สิ่งที่ [พวกเขา] ต้องการคือความสุขความสำเร็จและความพึงพอใจ" (True Revival, Harvest House, 2001, p. 231)พวกเขาไม่คิดถึงสิ่งที่ทำให้รอดพ้นจากบาปของพวกเขา! แต่นั่นคือการเปลี่ยนแปลงและเป็นที่มาของกากลับใจใหม่และในการฟื้นฟูที่แท้จริง การฟื้นฟูและการกลับใจของแต่ละคน "ใจแตกสลาย การกลับใจและการสำนึกในบาปนั้นต้องมีพระองค์เป็นศูนย์กลางนั่นคือลักษณะการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณอย่างแท้จริง ผู้คนจะร้องไห้ ... ภายใต้ความรู้สึกอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับบาป" (Armstrong, ibid., p. 63) จากประสบการณ์ของผมแล้ว ถือว่าเกือบทุกคนที่มีประสบการณ์แห่งกลับใจใหม่อย่างแท้จริงจะต้องร้องไห้เสียใจและเศร้าโศกเพราะความบาปของพวกเขา และนั่นคือความจริงที่เกิดกับคนจำนวนมากในการฟื้นฟูที่ผมได้เห็นด้วยตาและเป็นพยานได้ และนั่นคือความจริงที่เกิดในการฟื้นฟูในอดีตที่ผ่านมา เราจะอธิษฐานอย่างไรเพื่อขอพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาที่คุณ! เราจะอธิษฐานอย่างไรขอให้พระองค์ช่วยคุณให้รู้และสำนึกเสียใจและร้องไห้เพราะบาปของคุณที่ต่อต้านพระเจ้า เราจะอธิษฐานอย่างไรขอให้คุณ เพื่อให้ได้รับชำระพ้นจากบาปของคุณโดยพระโลหิตประเสริฐของพระเยซู! "แต่ถ้าเราดำเนินอยู่ในความสว่าง เหมือนอย่างพระองค์ทรงสถิตในความสว่าง เราก็ร่วมสามัคคีธรรมซึ่งกันและกัน และพระโลหิตของพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ ก็ชำระเราทั้งหลายให้ปราศจากบาปทั้งสิ้น" (1 ยอห์น 1: 7) อาเมน ดร. ชาญโปรดขึ้นมาและอธิษฐานขอพระเจ้าทรงส่งการฟื้นฟูเช่นนี้มาสู่คริสตจักรของเรา (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย นาย อาเบล พรูมโหมมี: เศคาริยาห์ 12:10; 13:1. |
โครงร่างของ หกข้อผิดพลาดของคนปัจจุบันเกี่ยวกับการฟื้นฟู (บทเทศนาถึงการฟื้นฟูครั้งที่ 15) โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ (1 โครินธ์ 13:12) I. ประการแรก ที่ผิดเพราะบอกว่าปัจจุบันนี้ไม่ใช่ยุคแห่งการฟื้นฟู กิจการ 2:39; วิวรณ์ 7:1-14 II. ประการที่สอง ที่ผิดคือคิดว่าการฟื้นฟูขึ้นอยู่กับการประกาศของเรา กิจการ 13:48-49; มาระโก16:15 III. ประการที่สาม ที่ผิดเพราะบอกว่าการฟื้นฟูขึ้นอยู่กับการอุทิศตัวของคริสเตียน 2 พงศวดาร 9:21; 2 โครินธ์ 4:7; กิจการ 6:8; I โครินธ์ 3:7 IV.ประการที่สี่ ที่ผิดเพราะบอกว่าการฟื้นฟูเป็นการพูดแบบปกติธรรมดาที่เราคาดหวังในคริสตจักรกิจการ 4:31; 2 ทิโมธี 4:2; มาระโก16:15 V. ประการที่ห้า ที่ผิดเพราะบอกว่าไม่มีเงื่อนไขใดๆเลยที่จะเชื่อมโยงกับการฟื้นฟู โรม 4:5; 3:24-25 VI. ประการที่หก ทีผิดคือบอกว่าการฟื้นฟูเริ่มต้นด้วยความสุขและเสียงหัวเราะ I ยอห์น 1:7 |