เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
คนที่พระเจ้าทรงใช้ในงานฟื้นฟู (บทเทศนาฟื้นฟูครั้งที่ 12) โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าที่ 19 เดือนตุลาคม ค.ศ. 2014 ณ “แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” (1 โครินธ์ 1:27). |
หนึ่งในพระธรรมที่โดดเด่นที่สุดเกี่ยวกับการฟื้นฟูนั้นอยู่ในข้อนี้ พระเจ้าเลือกคนโง่และอ่อนแอในโลกนี้ เพื่อทำลายคนที่มีปัญญาและแข็งแรงให้อับอาย ในที่นี้น่าจะชัดเจนให้กับทุกคนที่อ่านพระคัมภีร์ ก่อนที่พระคริสต์จะทรงบังเกิด พระเจ้าทรงเลือกหญิงพรมจารีย์คนหนึ่งจากครอบครัวที่ยากจนเพื่อที่จะเป็นมารดาของพระองค์ ตอนที่พระองค์ทรงประสูติแล้ว พระเจ้าก็ส่งคนเลี้ยงแกะที่ยากจนกลุ่มหนึ่งไปนมัสการพระองค์ พระเจ้าไม่ได้ส่งกษัตริย์เฮโรดหรือผู้ใหญที่เป็นนักปกครองของอิสราเอลไปทักทายทารกน้อยที่เป็นพระคริสต์นั้น แต่พระเจ้ากลับส่งนักดาราศาสตร์สามคนจากแดนไกลที่ไม่ใช่คนอิสราเอล ตอนที่พระเยซูกำลังจะเริ่มทรงทำพันธกิจ พระเจ้าไม่ได้ส่งพวกมหาปุโลหิตออกไปประกาศถึงเรื่องนี้ แต่พระเจ้าได้ทรงส่งผู้เผยพระวจนะยากจนอย่าง ยอห์น ผู้ให้บัพติสมา ตอนที่พระเยซูพร้อมที่จะทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคน พระองค์ไม่ได้เลือกสิบสองคนนี้มาจากศาลสูงสุดของชาวยิว แต่พระองค์กลับเรียกสิบสองคนที่เป็นชาวประมงและต่ำต้อย และตอนพระเยซูทรงเลือกสาวกที่เข้ามาแทนที่ยูดาส พระองค์ก็เลือกฆาตกรที่มีนามว่า โซล แห่งทาร์ซัผู้ที่เรียกตัวเองว่า "ตัวเอก" ของคนบาป เป็นคนที่มีบาปหนาเลวร้ายที่สุด! ในชีวิตของพระเยซูคริสต์เป็นที่ชัดเจนว่า “แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” (1 โครินธ์ 1:27) หัวข้อนี้ยังปรากฏซ้ำแล้วซ้ำอีกในพระคัมภีร์เดิม พระเจ้าทรงเลือกอาเบลให้มาอยู่เหนือคาอินซึ่งเป็นลูกชายคนโตและสำคัญที่สุด พระเจ้าทรงเลือกยาโคยมาเป็นใหญ่กว่าเอเซาแม้ว่าเอเซาเป็นลูกชายคนโตที่ต้องสืบทอดมรดก พระเจ้าทรงเลือกโยเซฟให้เป็นใหญ่กว่าพี่น้องสิบเอ็ดคนของเขาแม้ว่าเขาจะเป็นลูกชายคนสุดท้องและอ่อนแอก็ตาม พระเจ้าทรงเลือกโมเสสให้มาอยู่เหนือฟาโรห์ พระองค์ทรงเลือกคนเลี้ยงแกะให้มาเป็นใหญ่เหนือคนที่โลกถือว่าใหญ่สุด ณ เวลานั้น พระเจ้าทรงเลือกกิเดโอนที่จะช่วยคนอิสราเอลให้รอดพ้นจากคนมีเดียน - แม้กิเดโอนจะกล่าวว่า "ครอบครัวของข้าพระองค์ยากจน... และข้าพระองค์คือคนเล็กสุดน้อยในบ้านบิดาของเข้าฯ" (ผู้วินิจฉัย 6:15) พระเจ้าทรงเลือกหนุ่มน้อยอย่างซามูเอล และเป็นเด็กกำพร้า แทนที่จะเป็นบุตรชายสองคนของมหาปุโรหิต พระเจ้าทรงเลือกเด็กเลี้ยงแกะอย่างดาวิดให้มาอยู่เหนือกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่อย่างซาอูล ยังเกิดขึ้นอย่างเนื่องในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร ดังนั้นจึงยืนยันว่าพระธรรมตอนนี้เป็นจริง “แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” (1 โครินธ์ 1:27) คนยากจนและคนไร้ที่อยู่ในยุคแรกของคริสเตียน คนเหล่านั้นส่วนใหญ่เป็นทาส พวกเขาถูกกดขี่ข่มเหงจากสิบจักรพรรดิโรมันจนถึงขั้นเสียชีวิต แต่กลับไม่มีใครจำจักรพรรดิหล่านั้นได้สักคน (นอกจาก เนโร ) แม้ว่าจักรพรรดิเหล่านั้นเป็นคนที่มีอำนาจมากที่สุดในโลก ณ เวลานั้นก็ตาม ผู้คนทั่วโลกกลับระลึกถึงบุคคลที่ยอมพลีชีพเพราะความเชื่อทุกครั้ง ในทุกปีสมเด็จพระสันตะปาปาและมวลชนจะจัดงานระลึกถึงคนเหล่านี้ในวันศุกร์ประเสริฐ! ผู้ยอมพลีชีพและเป็นทาสเหล่านั้นได้เอาชนะผู้มีอำนาจอย่างจักรวรรดิโรมันโบราณ! ลองคิดถึง ลูเทอร์ ผมอยากให้คุณลองมาฟังสิ่งที่ ดร.ลอยด์ โจนส์กล่าวถึงท่าน อะไรคือความหวังที่ชายคนนั้นมี มาร์ติน ลูเทอร์ เป็นเพียงนักบวชที่ไร้ชื่อเสียง? เขาเป็นใครถึงลุกขึ้นมาต่อต้านทุกคริสตจักร และ ... สิบสองถึงสิบสามศตวรรษที่เชื่อต่างกัน? ดูเหมือนว่าเป็นชายคนหนึ่งที่โอหังลุกขึ้นมาและพูดว่า "เราคนเดียวที่ถูกต้องแต่พวกคุณทั้งหมดผิด" นั่นคือคำพูดของเขาที่ยังพูดอยู่ในทุกวันนี้ และคุณยังจะเห็นว่า ท่านคือคนที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงตรัสผ่าน และแม้ว่าเขาจะยืนหยัดอยู่คนเดียว ในขณะเดียวกันพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้เกียรติเขา ด้วยเหตุนี้การปฏิรูปของโปรเตสแตนต์จึงเกิดขึ้นมา และมีอย่างต่อเนื่องและเป็นอย่างนั้นเสมอ... สิ่งที่ผมกำลังพูดคือว่า ตอนที่พระเจ้าทรงเริ่มเคลื่อนไหวคริสตจักรของพระองค์ และตอนนั้นพระองค์ก็ทรงตระเตรียมการฟื้นฟู นี่คือสิ่งที่พระองค์ทรงกระทำ ทรงวางภาระนี้ให้กับคนบางคนที่ถูกเรียก และเป็นอย่างนั้น คนที่มารวมตัวกัน เป็นคนที่ไร้ชื่อเสียง และรักความสงบ เพราะพวกเขาอยากรับภาระนี้ (Martyn Lloyd-Jones, M.D., Revival, Crossway Books, 1987, pp. 203, 167) และในทางเดียวเดียวกันอย่างที่คุณพบในประวัติศาสตร์ของการฟื้นฟูทั้งหมด ผู้ชายที่ขื่อ เจมส์ แมคคิวล์เคน เริ่มต้นพูดคุยกับอีกสองคน และพวกเขาเห็นสถานการณ์ทั้งหมดและทั้งสามคนได้มาพบปะกันในห้องเรียนเล็กๆ และเป็นช่องทางแคบๆ ผมมีโอกาสเข้าเยี่ยมชมที่แห่งนั้น ตอนผมไปที่ไอร์แลนด์เหนือ ผมออกไปตามทางของผมเพื่อไปดู เพราะผมชอบดูสถานที่อย่างนั่น ... พวกเขารู้สึกว่านี่คือสถานที่ใช้สำหรับอธิษฐาน (Lloyd-Jones, ibid., p. 165) และแน่นอน ปี 1859 ได้มีการฟื้นฟูเกิดขึ้นที่ไอร์แลนด์เหนือ เพราะสามคนนี้ได้อธิษฐานขอพระเจ้าทรงเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมา ดร. ลอยด์ โจนส์ ยังกล่าวอีกว่า "เชื่อผมเถิดเพื่อน ตอนที่การฟื้นฟูครั้งต่อไปจะมีนั้น จะมาแบบเป็นที่แปลกใจให้กับทุกๆคน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับผู้ที่พยายามที่จะทำให้มีการฟื้นฟูเกิดขึ้น การเกิดขึ้นในครั้งนี้ [แบบไม่มีการเตรียมตัว] ทั้งชายและหญิงต่างได้รับภาระนี้ตามที่ได้อธิษฐานเพราะพวกเขาจะแบกภาระหนักเพราะพวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือตัวเอง และพวกเขาต้องการที่จะเข้าร่วมกับผู้อื่นที่มีความรู้สึกในสิ่งเดียวกันและมีการร้องไห้ออกมาให้กับพระเจ้า" (Lloyd-Jones, ibid., pp. 165-166) ดร. ลอยด์ โจนส์ กล่าวเสริมว่า "แล้วคุณอาจคุ้นเคยกับพวกเมโทดิสนิยมในสาขาต่างๆ เริ่มต้นได้อย่างไร ...? เริ่มต้นแบบเดียวกันกับสองพี่น้องเวสลีย์และไวท์ฟิลด์และคน ๆ ที่เป็นสมาชิกของคริสตจักรในอังกฤษ ... บางครั้งก็ไม่มีใครรู้ถึงสิ่งเกิดขึ้นนั้น แต่พวกเขาเพียงแค่พบปะกันเพราะพวกเขาถูกเรียกมาในเป้าหมายเดียวกัน" (ibid., p. 166) เราทุกคนต่างก็รู้จัก จอร์จ ไวท์ฟิลด์ และ จอห์น และชาร์ลส์ เวสลีย์ แต่ก่อนหน้านั้นไม่มีใครรู้จักพวกเขาเลย พวกเขาเป็นเพียงชายหนุ่มธรรมดาที่ได้รับการสถาปนาและเห็นคริสตจักรแองกลิกันนั้นตายแล้วและต้องการที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้าจากประสบการณ์ที่มีอยู่กับพระคริสต์ ผมนึกถึงบางคน คนนั้นน่าจะเป็นบิชอป ไรลี กล่าวถึง จอห์น เวสลีย์ ว่าควรจะได้รับการแต่งตั้งให้เป็นบิชอปใหญ่แห่งแคนเทอร์ผู้นำคริสตจักรแห่งอังกฤษ แต่แน่นอนเขาไม่เคยคิดถึงตำแหน่งสูงนั้นเลย เขากลับถูกเยาะเย้ยและหัวเราะเยาะใส่ เขาถูกห้ามไม่ให้ไปเทศนาที่มหาวิทยาลัย ออสฟอร์ด ซึ่งเขาเองก็สำเร็จการศึกษาที่นี่ เพราะเขาบอกให้พวกนักศึกษาและคณาจารย์ต้องบังเกิดใหม่อีกครั้ง แม้แต่แม่ของเขาเอง ซูซานนา เวสลีย์ก็ไม่พอใจในการเทศนาของเขาอย่างเฃ่น "ต้องศัทธาอย่างจริงจัง" – ต้องบ้าคลั่ง - ก่อนที่เธอจะกลับใจใหม่ ห้าสิบสามปีที่ จอห์น เวสลีย์เทศน์สามครั้งต่อวันให้กับฝูงชนขนาดใหญ่ที่มารวมตัวกันกลางแจ้งในทุ่งนาทั่วอังกฤษเพื่อฟังเขา แต่ต้นสำกัดของตัวเองกลับดูถูกเยาะเย้ยและหัวเราะเยาะใส่ผู้ชายคนนี้ เขาไม่เคยรับเกียรติจนถึงช่วงปลายอายุแปดสิบ ในขณะเดียวกันในระหว่างการทำพัธกิจของ จอห์น เวสลีย์ มีหกคนที่ดำรงตำแหน่งเป็ยอาร์คบิชอปแห่งอังกฤษ นี่คือชื่อของพวกเขาตามลำดับ จอห์นพอตเตอร์ (1737-1747) ผมคิดว่าคงไม่มีใครสงสัย แต่ว่านักประวัติศาสตร์ชาวอังกฤษสามารถตั้งชื่อทั้งหกคนนี้อย่างที่ทราบว่า "ผู้ดีสุดยอด" แน่นอนคริสเตียนเกือบทุกคนรู้จักชื่อของ จอห์น เวสลีย์ และคนส่วนใหญ่รู้จักพี่ชายของเขาที่ชื่อ ชาร์ลส์ ซึ่งเป็นผู้เขียนบทเพลงที่ร้องกันเกือบทุกคริสตจักรและทุกคณะในโลก แต่ไวท์ฟิลด์และสองพี่น้องเวสเลย์เป็นเพียงบุคคลที่ไร้นาม ตอนที่พวกเขารวมตัวกันกับคนอื่น ๆ เพื่ออธิษฐานขอเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาในวันส่งท้ายปีเก่าปี 1738 เพียงแค่ก่อนหน้าการฟื้นฟูใหญ่ครั้งแรกในโลกที่พูดภาษาอังกฤษ “แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” (1 โครินธ์ 1:27) พระธรรมข้อนี้ยังอธิบายว่าทำไมคนหนุ่มสาวมักจะเป็นผู้นำในการฟื้นฟู เพราะคนหนุ่มสาวในคริสตจักรคือพวกแรกที่รับรู้ถึงการเคลื่อนไหวของพระวิญญาณของพระเจ้าในหมู่พวกเขา และคนหนุ่มสาวคือพวกที่หิวกระหายความชอบธรรมและการฟื้นฟูในระยะยาวและความจริงของพระเจ้า การฟื้นฟูแรกที่ผมเห็นในคริสตจักรจีนแบ๊บติสเริ่มต้นในหมู่คนหนุ่มสาว ในช่วงระหว่างการเข้าค่ายภาคฤดูร้อนที่ภูเขา ขณะที่พวกเขารวมตัวกันเพื่ออธิษฐานในเช้าวันหนึ่งที่ค่าย พระวิญญาณของพระเจ้าเสด็จลงมาเหนือพวกเขา ฤทธิ์อำนาจแห่งการฟื้นฟูนั้นมีต่อเนื่องไปจนถึงในวันอาทิตย์และในคืนนั้น ผมยังจำคำอธิษฐานของคนหนุ่มสาวในคืนวันนั้นได้ดี น้ำตาแห่งการกลับใจใหม่ การอธิษฐานและการสารภาพและพระเจ้าทรงประทับอยู่ใกล้การประชุมครั้งนั้น ผมยังเห็นการฟื้นฟูที่คริสตจักรแบ๊บติสในรัฐเวอร์จิเนีย มีหญิงสาวสามคนลุกขึ้นไปร้องเพลง พวกเธอร้องไห้ คนในคริสตจักรทั้งหมดต่างก็รู้สึกถึงการฟื้นฟูนี้ - "พระเจ้าลงมาในหมู่พวกเรา" "ที่เฮอน์ฮัทในแซกโซนีการฟื้นฟูเกิดขึ้นท่ามกลางคนหนุ่มสาวของวันที่ 13 สิงหาคม" ในวันที่ 29 สิงหาคม "ชั่วสิบโมงตอนกลางคืนไปจนถึงเช้าของวันต่อมา สามารถเป็นพยานได้ว่าหญิงสาวที่มาจากเฮอน์ฮัท ใช้เวลาเหล่านี้ [สาม] ชั่วโมงอธิษฐานร้องเพลงและร้องไห้ พวกเด็กชายก็เช่นเดียวกันอธิษฐานที่อื่น จิตวิญญาณแห่งการอธิษฐานในเวลานั้นได้ทำให้ทรงเทพระวิญญาณลงมาบนเด็กๆอย่างมีพลังอำนาจ อย่างไม่อาจอธิบายได้" (John Greenfield, Power From On High, World Wide Revival Prayer Movement, 1950, p. 31) ในเดือนตุลาคม 1973 การฟื้นฟูเกิดขึ้นท่ามกลางนักเรียนในโรงเรียนมัธยมที่ บารีโอ เด็กผู้ชายสองคนเริ่มอธิษฐานด้วยกัน และอีกไม่นานทั้งโรงเรียนไม่เห็นด้วย และตรงกันข้ามพระวิญญาณทรงทำงานและนำมาซึ่งการกลับใจใหม่ (Shirley Lees, Drunk Before Dawn, Overseas Missionary Fellowship, 1979, pp. 185-189) ไบรอัน เอช เอ็ดเวิร์ด กล่าวว่า "อะไรคือสิ่งที่สำคัญในช่วงเวลาของการฟื้นฟู ... ความท้าทายของคนหนุ่มสาวและการเปลี่ยนแปลงใหม่ พวกเขามีความปรารถนาที่จะอธิษฐานเพื่อการฟื้นฟูและก็เริ่มต้นเกิดขึ้น ... นี่เป็นลักษณะการรายงานที่ดีเกี่ยวกับการฟื้นฟู แต่กลับได้รับความสนใจน้อยเกินไปจากผู้ที่วิเคราะห์ปัจจัยความจริงของการฟื้นฟู " (Brian H. Edwards, Revival! A People Saturated With God, Evangelical Press, 1991 edition, p. 165) “แต่พระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าโง่เขลา เพื่อจะทำให้คนมีปัญญาอับอาย และพระเจ้าได้ทรงเลือกสิ่งที่โลกถือว่าอ่อนแอ เพื่อทำให้คนที่แข็งแรงอับอาย” (1 โครินธ์ 1:27) เอมี่ คาร์ไมเคิล อธิบายถึงการเทพระวิญญาณบริสุทธิ์ลงมาในประเทศอินเดียดังต่อไปนี้ ตอนนั้นใกล้การนมัสการในช่วงเช้า มีเหตุการณ์เกิดขึ้น คนที่กำลังพูดถูกบังคับให้หยุด เหมือนทำให้รู้อยู่ภายใน แต่กลับไม่สามารถที่จะอธิษฐานได้ ที่โรงเรียนนั่น มีเด็กผู้ชายคนหนึ่งเริ่มพยายามที่จะอธิษฐาน แต่เขากลับต้องร้องไห้ [น้ำตาไหล] จากนั้นคนอื่นๆก็ร้องไห้ตาม และแล้วก็ทั้งหมด โดยเริ่มต้นจากผู้นำก่อน จากนั้นพวกคนหนุ่มสาวต่างก็เริ่มร้องไห้อย่างขมขื่นและอธิษฐานขอการให้อภัย แล้วก็แพร่กระจายไปยังพวกผู้หญิง มันน่าตกใจและแปลกใจl – ผมไม่สามารถใช้คำอื่น ๆที่ดีไปกว่านี้อีก – ไม่สามารถคิดคำอื่นอีก จากนั้นไม่นานมีคนจำนวนมากมายล้มลงไปกองอยู่บนพื้น ร้องไห้หาพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นเด็กผู้ชายเด็กผู้หญิง พวกผู้ชายและผู้หญิงต่างก็จำอะไรไม่ได่ [ลืม] คนอื่น ๆ ไปหมด เสียงดังเหมือนคลื่นและลมแรงพัดต้นไม้ ... ตอนแรกเคลื่อนไหวท่ามกลางเด็กผู้ชายก่อน เด็กนักเรียนผู้ชาย ลูกๆของเราเอง ... และสมาชิกที่เป็นอนุชนในคริสตจักร เจ็ดเดือนต่อมาเธอได้รายงานว่า "เกือบ [คนหนุ่มสาว] ทั้งหมดของเราได้ออกไปและกลับใจใหม่" (J. Edwin Orr, Ph.D., The Flaming Tongue, Moody Press, 1973, pp. 18, 19) ขอให้สังเกตคำว่า "ตอนแรกเคลื่อนไหวท่ามกลางเด็กผู้ชายก่อน เด็กนักเรียนผู้ชาย ลูกๆของเราเอง ... และสมาชิกที่เป็นอนุชนบางคนในคริสตจักร” นั่นคือการฟื้นฟูที่มักเกิดขึ่นในคริสตจักร – เหมือนอย่างคนหนุ่มสาวรอคอยนานถึงกาเสด็จรลงมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในงานฟื้นฟู มีการฟื้นฟูอยู่สามครั้งที่ผมสามารถเห็นด้วยตาของตัวเอง คือตอนที่พระเจ้าทรงเทพระวิญญาณของพระองค์ลงมาให้คนหนุ่มสาวในเมือง ลอสแอนเจลิส ในซานฟรานซิและในเวอร์จิเนียบีช ตอนนี้ในคืนนี้ ผมพูดกับคนหนุ่มสาวของเราที่นี่ เราจะเอาบทเทศนานี้ถ่ายเอกสารให้คุณเพื่อนำกลับไปอ่านที่บ้าน ผมหวังว่าคุณจะอ่านมันหลายๆครั้ง และผมหวังว่าคุณจะอธิษฐานขอสิ่งที่อยู่ในบทเทศนานี้เกิดขึ้นในชีวิตของคุณและเกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา คุณอาจคิดว่า "ดร ไฮเมอร์ส คงจะไม่ยอมให้สิ่งเช่นนี้เกิดขึ้นในคริสตจักรของเรา "แต่คุณผิด ผมเชื่อว่าผมรู้มากพอเกี่ยวกับการฟื้นฟูที่ไม่ดับพระวิญญาณ ถ้าพระเจ้าทรงเมตตาและเสด็จลงมาที่การฟื้นฟู! คุณสามารถรวมคำพูดของผู้เผยพระวจนะอิสยาห์ในคำอธิษฐานของคุณ “โอ ถ้าหากว่าพระองค์จะทรงแหวกฟ้าสวรรค์เสด็จลงมาได้หนอ เพื่อภูเขาจะไหลลงมาต่อพระพักตร์พระองค์” (อิสยาห์ 64:1) ดร. ชานกรุณานำเราอธิษฐาน (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย นาย อาเบล พรูมโหมมี: 1 โครินธ์ 1:26-31. |
|