เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
วันสิ้นพระชนม์ของพระเยซูTHE DAY JESUS DIED โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าที่ 13 เดือนเมษายน ค.ศ. 2014 ณ “แล้วปีลาตจึงมอบพระองค์ให้เขาพาไปตรึงที่กางเขน และเขาพาพระเยซูไป และพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า สถานที่กะโหลกศีรษะ ภาษาฮีบรูเรียกว่า กลโกธา ณ ที่นั้น เขาตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนกับคนอีกสองคน คนละข้างและพระเยซูทรงอยู่กลาง” (ยอห์น 19:16-18). |
วันที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนคือวันที่สี่และเป็นวันที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติ วันแรกก็คือวันที่พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์คนแรก วันที่สองเป็นวันที่มนุษย์หลงทำบาปและนำความตายเข้ามาในโลก วันที่สามเป็นวันที่น้ำท่วมโลกในสมัยของโนอาห์ แต่วันที่สำคัญที่สุดคือวันที่สี่เป็นวันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน และอยู่บนเนินเขาที่อยู่นอกกำแพงเมืองเยรูซาเล็ม วันที่พระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้น เป็นวันที่ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ได้รับการเปลี่ยนแปลง - ตลอดไป! ชีวิตของมนุษย์เปลี่ยนไปอย่างมาก มีผู้คนมากมายกลับใจใหม่และโลกนี้ก็เปลี่ยนไป คืนนี้เราจะมองย้อนกลับไปในวันที่พระเยซูคริสต์ทรงสี้นพระชนม์ และดูเหตุการณ์ใหญี่สำคัญสี่อย่างเกิดขึ้นในวันนั้น I. ประการแรก ความมืดเข้ามาปกคลุมในวันนั้น พระวจนะตรัสว่า “แล้วก็บังเกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่เวลา [เที่ยงวัน] เป็นเวลาหกชั่วโมง [จนถึงบ่ายสามโมง]” (มํทธิว 27:45) ดร. เจ เวอนอน แมคกี้ กล่าวว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าของเราถูกตรึงบนไม้กางเขนในเวลาที่สาม หรือเวลาเก้าโมงเช้า ในเวลาตอนเที่ยงหรือสิบสองนาฬิกา สิ่งชั่วช้าที่มนุษย์ทำต่อพระบุตรของพระเจ้าก็สิ้นสุดลง ช่วงบ่ายวันนั้น ความมืดได้ลงมาและไม้กางเขนกลายเป็นแท่นบูชาที่เอาชีวิตลูกแกะของพระเจ้าแบกความผิดบาปของโลก (Thru the Bible, Thomas Nelson, 1983, volume IV, p. 148) มัทธิว มาระโกและลูกาบอกเราทราบถึงความมืดที่ลงมาปกคลุม "ทั่วแผ่นดิน" ตั้งแต่เที่ยงวันจนถึงสามโมงเย็น คือเวลาที่พระคริสต์สิ้นพระชนม์ ดร. จอห์น แมคอาเธอ กล่าวพูดถึงพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ผิด แต่ที่เขาพูดถึงความมืดถูกต้องตามนี้ นี่ไม่ใช่สาเหตุที่เกิดจากสุริยุปราคาเพราะพวกยิวใช้ปฏิทินที่เรียกว่าลูนา หรือจันทรคติและปัสกาก็จะอยู่ในช่วงพระจันทร์เต็มดวงเสมอ ทำให้คำถามเรื่องสุริยุปราคาถูกตักออกไป นี่จึงเป็นความมืดที่เกิดขึ้นเหนือธรรมชาติ (MacArthur Study Bible, note on Luke 23:44). ความมืดเหนือธรรมชาติ เข้ามาปกคลุมโลกตอนที่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เตือนเราถึง หมายสำคัญสิบสองอย่างที่โมเสสกระทำ ก่อนที่พวกอิสราเอลจะอพยพออกจากอียิปต์ “และพระเยโฮวาห์ตรัสกับโมเสสว่า “จงเหยียดมือของเจ้าขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ เพื่อจะให้มีความมืดทั่วแผ่นดินแห่งอียิปต์ เป็นความมืดจนจับคลำได้ และโมเสสได้เหยียดมือของตนขึ้นสู่ฟ้าสวรรค์ และได้เกิดความมืดทึบทั่วไปในแผ่นดินแห่งอียิปต์ตลอดสามวัน…” (อพยพ 10:21-22) พระเจ้าทรงส่งความมืดเข้ามาในยุคของโมเสส และพระเจ้าก็ทรงส่งความมืดเดียวกันนี้เข้ามาปกคลุมทั่วแผ่นดิน ตอนที่พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน ดร. วัตต์ เขียนเอาไว้ว่า: ความสวยงามของแสงอาทิตย์ก็ถูกซ่อนอยู่ภายใต้ของความมืด II. ประการที่สอง วันนั้นม่านในพระวิหารขาดออกเป็นสองท่อน พระวนจนะตรัสว่า “และดูเถิด ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็นสองท่อนตั้งแต่บนตลอดล่าง แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็แตกออกจากกัน” (มัทธิว 27:51) ภายในพระวิหารแห่งนี้มีผ้าม่านขนาดใหญ่ผืนหนึ่ง ดร. จอห์นอาร์ไรซ์บอกเราถึงขนาดของพระวิหารนี้: พระคัมภีร์บอกเราว่า สถานที่ศักดิ์สิทธิ์หรือพระวิหารแห่งนี้ยาวเก้าสิบฟุต กว้างสามสิบฟุตและสูงเก้าสิบฟุต ... พระวิหารนี้แยกออกเป็นสองส่วน ส่วนแรกคือส่วนที่บริสุทธิ์ศักดิ์สิทธิ์ประมาณหกสิบฟุต... ม่านนี้แยกส่วนที่ถือว่าบริสุทธิ์ออกจากอีกสามส่วนของอาคารหรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ (Dr. John R. Rice, The King of the Jews: A Commentary on Matthew, Sword of the Lord, 1955, p. 479) ดร. ไรซ์ ชี้ให้เราเห็นว่าไม่มีใครสามารถเข้าไปในส่วนที่ศักด์สิทธิ์ยกเว้นมหาปุโรหิต และมหาปุโรหิตก็สามารถเข้าไปที่นั่นปีละครั้งเท่านั้น คือวันที่ต้องทำการถวายเครื่องบูชาไถ่โทษ ดร. ไรซ์ยังกล่าวอีกว่า ตอนพระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนนั้น "ม่านในพระวิหารก็ขาดออกเป็น [สอง] ท่อน จากบนลงล่าง" (มัทธิว 27:51) เริ่มต้นฉีกจากด้านบน นั่นเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าพระเจ้าเป็นผู้ [ฉีก] ม่าน ... ตอนที่ม่านถูกฉีกลงมาแล้ว กำแพงที่กั้นระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ถูกลบออก เพื่อเปิดทางให้ผู้ที่เต็มใจมาที่ [พระคริสต์] (ibid., page 480) III. ประการที่สาม แผ่นดินไหวในวันนั้น พระวจนะกล่าวว่า “แผ่นดินก็ไหว ศิลาก็ [แตกออกจากกัน]” (มัทธิว 27:51) แผ่นดินไหวครั้งนี้ก็อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับผ้าม่านที่ฉีกขาดออกจากกัน ผมคิดว่าก็เป็นไปได้ แต่ อีเดอชิม ชี้ว่า "แผ่นดินไหวเป็นเรื่องที่เกิดตามธรรมชาติ... แต่ผ้าม่านที่ฉีกขาดนั้นเป็นฝีพระหัตถ์ของพระเจ้า" (Alfred Edersheim, The Life and Times of Jesus the Messiah, Eerdmans, 1945, volume II, p. 611). อีดีเชมชี้ให้เห็นว่าผ้าม่านนั้นหนาเท่ากับฝ่ามือของคนๆหนึ่ง (หนาประมาณ 2 ½ นิ้ว) "ถ้าผ้าม่านนี้หนาเท่าที่อธิบายไว้ไว้นั้น แผ่นดินไหวเพียงอย่างเดียวไม่อาจทำให้ขาดได้" (เล่มเดียวกัน) ผ้าม่านฉีกขาดในเวลานั้นอยู่ใน "ช่วงถวายเครื่องบูชาหรือช่วงเย็น นั้นคือช่วงเวลาปุโรหิตเข้าไปทำพิธีถวายเครื่องบูชาในสถานที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าเผาเครื่องหอมหรืออื่น ๆ " (เล่มเดียวกัน) การฉีกขาดของผ้าม่านนั้น สร้างความแปลกประหลาดให้กับปุโรหิตของชาวยิวเป็นอย่างมาก ครั้งหนึ่ง ดร. ชาร์ลส์ ไรรีย์ กล่าวว่า "ผลการฉีกขาดของผ้าม่านที่เหนือธรรมชาตินี้ถูกบันทึกไว้ในกิจการ 6:7 ซึ่งบอกเราว่า 'มีปุโรหิตกลุ่มหนึ่งได้เข้ามาเชื่อ'" (cf. Ryrie Study Bible, note on Matthew 27:51) ตอนพระคริสต์สิ้นพระชนม์นั้น ผ้าม่านก็ขาดออกเป็นสองท่อน ตอนนี้คุณสามารถมาถึงพระเจ้าได้เพราะพระคริสต์ทรงเป็นคนกลาง ไม่มีผ้าม่านคอยปิดบังระหว่างคุณกับพระเจ้าอีก พระเยซูคือผู้กลางระหว่างคุณและพระเจ้า มาที่พระเยซูแล้วพระองค์จะนำคุณไปที่พระเจ้าโดยตรง “”ด้วยเหตุว่า มีพระเจ้าองค์เดียวและมีคนกลางแต่ผู้เดียวระหว่างพระเจ้ากับมนุษย์ คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์ (1 ทิโมธี 2:5) IV. ประการที่สี่ พระเยซูทรงตรัสที่กางเขนในวันนั้น ทหารยามที่พระวิหารจับกุมพระเยซูเพราะเข้าใจผิด พวกเขาพาพระองค์ไปที่มหาปุโรหิต และก็ถ่มน้ำลายรดหน้าของพระองค์ และชกใบหน้าของพระองค์ด้วยกำปั้นของพวกเขา เพราะพวกยิวไม่มีอำนาจที่จะทำอย่างนั้นอย่างเป็นทางการ พวกเขาพาพระเยซูไปยังผู้ว่าราชการโรมัน ปอนทิอัส ปีลาต เขาได้ถามพระเยซูและบอกว่าพระองค์บริสุทธิ์และพยายามที่จะช่วยพระองค์ให้รอด แต่เขาก็โบยตีพระเยซู เพราะต้องการตอบสนองความต้องการของพวกปุโรหิตใหญ่ ทหารโบยตีและเฆี่ยนหลังของพระเยซู พวกเขาทอมงกุฎหนามและสวมใส่บนศีรษะของพระองค์และนำเสื้อสีม่วงมาสวมพระองค์ ปีลาตได้นำพระองค์ออกมาให้พวกฝูงชนเพื่อแสดงให้เห็นว่า พระองค์ถูกลงโทษแล้วและคิดว่าหากอย่างนั้นแล้ว จะทำให้ฝูงชนเกิดความสงสารพระเยซู ปีลาตกล่าวกับพวกเขา “เราไม่พบความผิดในตัวชายผู้นี้” (ยอห์น 19:4) ตอนที่พวกปุโรหิตใหญ่เห็นพระองค์ ทันใดนั้นพวกเขาก็ตะโกนขึ้นว่า "ตรึงเขาเสีย! ตรึงเขาเสีย" ปีลาตกล่าวกับพวกเขาว่า "พวกคุณจงพาเขาไปตรึง เพราะเราไม่พบความผิดในตัวเขา" ผู้นำของชาวยิวร้องออกมาว่า "ถ้าคุณปล่อยคนนี้ไปคุณจะไม่ใช่เพื่อนของซีซาร์ ใครก็ตามที่นับถือคนนี้เป็นกษัตริย์ก็เท่ากับทรยศต่อซีซาร์" ปีลาตกล่าวว่า "เราต้องตรึงกษัตริย์ของพวกคุณเช่นนั้นหรือ?" ปุโรหิตใหญ่ร้องตะโกนออกมาว่า" เราไม่มีกษัตริย์ ยกเว้นแต่ซีซาร์" แล้วปีลาตได้มอบพระเยซูให้กับพวกทหารและพวกเขาก็นำพระองค์ไปตรึงที่กางเขน พระเยซูรับความเจ็บปวดทรมานทอย่างแสนสาหัสที่ไม้กางเขนเพราะถูกตอกด้วยตะปู แต่ในขณะที่พระองค์ได้รับความเจ็บปวดทรมานนั้น พระองค์ทรงตรัสคำเหล่านี้ว่า คำแรกที่พูดคือ – ขอทรงให้อถัย “เมื่อมาถึงสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า กะโหลกศีรษะ เขาก็ตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนที่นั่น พร้อมกับผู้ร้ายสองคนนั้น ข้างขวาพระหัตถ์คนหนึ่ง และข้างซ้ายอีกคนหนึ่ง ฝ่ายพระเยซูจึงตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ขอโปรดอภัยโทษพวกเขา เพราะว่าเขาไม่รู้ว่าเขาทำอะไร” และพวกเขาก็เอาฉลองพระองค์จับฉลากแบ่งปันกัน” (ลูกา 23:33-34) นั่นคือเหตุผลหลักที่พระเยซูเสด็จไปที่กางเขน – เพื่ออภัยบาปของเรา พระเยซูถูกปล่อยไปที่กางเขน เพื่อชดใช้หนี้บาปของเรา คำที่สองที่ทรงตรัสคือ – ความรอด “ฝ่ายคนหนึ่งในผู้ร้ายที่ถูกตรึงไว้จึงพูดหยาบช้าต่อพระองค์ว่า ถ้าท่านเป็นพระคริสต์ จงช่วยตัวเองกับเราให้รอดเถิด แต่อีกคนหนึ่งห้ามปรามเขาว่า เจ้าก็ไม่เกรงกลัวพระเจ้าหรือ เพราะเจ้าเป็นคนถูกโทษเหมือนกัน และเราก็สมกับโทษนั้นจริง เพราะเราได้รับสมกับการที่เราได้กระทำ แต่ท่านผู้นี้หาได้กระทำผิดประการใดไม่ แล้วคนนั้นจึงทูลพระเยซูว่า พระองค์เจ้าข้า ขอพระองค์ทรงระลึกถึงข้าพระองค์เมื่อพระองค์เสด็จเข้าในอาณาจักรของพระองค์ฝ่ายพระเยซูทรงตอบเขาว่า เราบอกความจริงแก่เจ้าว่า วันนี้เจ้าจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” (ลูกา 23:39-43). พระเยซูสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อช่วยคนบาป คนบาปคนแรกที่พระองค์ทรงช่วยคือโจรที่เชื่อบนไม้กางเขนที่อยู่ถัดจากพระองค์ หลายคนคิดว่าพวกเขาสามารถรอดโดยการเรียนรู้ แต่โจรคนนี้ไม่เคยเรียนอะไรสักนิดเลย แต่เขาเชื่อในพระเยซูแบบง่ายๆ คนอื่นอาจคิดว่าพวกเขาจะต้องรู้สึกบางอย่างที่อยู่ถายในหรือเปลี่ยนแปลงภายใน แต่โจรคนนี้ได้ไม่มีเลย เขาแค่เชื่อในพระเยซู คำที่สามที่ทรงตรัสคือ – ดูแลกันและกัน “ผู้ที่ยืนอยู่ข้างกางเขนของพระเยซูนั้น มีมารดาของพระองค์กับน้าสาวของพระองค์ มารีย์ภรรยาของเคลโอฟัส และมารีย์ชาวมักดาลา ฉะนั้นเมื่อพระเยซูทอดพระเนตรเห็นมารดาของพระองค์ และสาวกคนที่พระองค์ทรงรักยืนอยู่ใกล้ พระองค์ตรัสกับมารดาของพระองค์ว่า หญิงเอ๋ย จงดูบุตรของท่านเถิด แล้วพระองค์ตรัสกับสาวกคนนั้นว่า “จงดูมารดาของท่านเถิด และตั้งแต่เวลานั้นมา สาวกคนนั้นก็รับนางมาอยู่ในบ้านของตน” (ยอห์น 19:25-27) พระเยซูทรงบอกยอห์นให้ดูแลมารดาของพระองค์ พระเยซูทรงต้องการให้เราดูแลซึ่งกันและกันในคริสตจักรท้องถิ่นที่เราสำกัดอยู่ คำที่สี่ที่ทรงตรัสคือ – สละชีวิต “แล้วก็บังเกิดความมืดทั่วทั้งแผ่นดิน ตั้งแต่เวลาเที่ยงวัน จนถึงบ่ายสามโมง ครั้นประมาณบ่ายสามโมงพระเยซูทรงร้องเสียงดังว่า เอลี เอลี ลามาสะบักธานี แปลว่า พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ไฉนพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (มัทธิว 27:45-46) พระเยซูร้องไห้ออกมาเพราะว่าพระองค์ถูกแยกออกจากพระเจ้าพระบิดา ที่พระองค์ทรงกลายเป็นแกะที่ยอมสละชีวิตเพราะบาปของเรา คำที่ห้าที่ทรงตรัสคือ – การทนทุกข์ “หลังจากนั้นพระเยซูทรงทราบว่า ทุกสิ่งสำเร็จแล้ว เพื่อพระคัมภีร์จะสำเร็จจึงตรัสว่า เรากระหายน้ำ มีภาชนะใส่น้ำองุ่นเปรี้ยววางอยู่ที่นั่น เขาจึงเอาฟองน้ำ ชุบน้ำองุ่นเปรี้ยวใส่ปลายไม้หุสบชูขึ้นให้ถึงพระโอษฐ์ของพระองค์” (ยอห์น 19:28-29) นี้แสดงให้เห็นถึงความทุกข์ทรมานของพระเยซูที่ผ่านไปเพื่อชดใช้ความผิดของเรา คำที่หกที่พูดไว้ – ทรงไถ่ “เมื่อพระเยซูทรงรับน้ำองุ่นเปรี้ยวแล้ว พระองค์ตรัสว่า “สำเร็จแล้ว” และทรงก้มพระเศียรลงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป” (ยอห์น 19:30) ทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับความรอดของเรา ตอนนี้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้ว ไม่มีอะไรเหลือที่คนจะต้องทำอีก นอกเสียจากเชื่อในพระเยซู ที่เจ็ดที่ตรัส – ฝากไว้กับพระบิดา “พระเยซูทรงร้องเสียงดังตรัสว่า “พระบิดาเจ้าข้า ข้าพระองค์ฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” ตรัสอย่างนั้นแล้ว จึงทรงปล่อยพระวิญญาณจิตออกไป” (ลูกา 23:46) นายร้อยคนนั้นเห็นคนมากมายถูกตรึงบนไม้กางเขน แต่เขาไม่เคยเห็นใครเสียชีวิตเหมือนพระเยซู เขาเงยหน้าขึ้นมองพระศพของพระเยซูที่แขวนอยู่บนไม้กางเขน ด้วยน้ำตาไหลลงอับแก้ม นายร้อยคนนี้ได้กล่าวว่า “นี่คือพระบุตรของพระเจ้าด้วยแน่แท้” (มาระโก 15:39) ขอคุณจงวางใจพระบุตรของพระเจ้าและรับการช่วยกู้ เพื่อให้รอดพ้นจากบาปของคุณ ผ่านทางการสิ้นพระชนม์ของพระเยซูและพระโลหิตของพระองค์ อาเมน (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย อาเบล พลูโฮมมี: มาระโก 15:25-39. |
โครงร่างของ วันสิ้นพระชนม์ของพระเยซู THE DAY JESUS DIED โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “แล้วปีลาตจึงมอบพระองค์ให้เขาพาไปตรึงที่กางเขน และเขาพาพระเยซูไป และพระองค์ทรงแบกกางเขนของพระองค์ไปยังสถานที่แห่งหนึ่งซึ่งเรียกว่า สถานที่กะโหลกศีรษะ ภาษาฮีบรูเรียกว่า กลโกธา ณ ที่นั้น เขาตรึงพระองค์ไว้ที่กางเขนกับคนอีกสองคน คนละข้างและพระเยซูทรงอยู่กลาง” (ยอห์น 19:16-18). I. ประการแรก ความมืดเข้ามาปกคลุมในวันนั้น
II. ประการที่สอง วันนั้นม่านในพระวิหารขาดออกเป็นสองท่อน; มัทธิว 27:51ก. III. ประการที่สาม แผ่นดินไหวในวันนั้น มัทธิว 27:51ข;
IV. ประการที่สี่ พระเยซูทรงตรัสที่กางเขนในวันนั้น ยอห์น 19:4;
ลูกา 23:33-34, 39-43; ยอห์น19:25-27; มัทธิว 27:45-46; |