เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
ยาต่อต้านการละทิ้งความจริงTHE ANTIDOTE FOR APOSTASY โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าที่ 23 เดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 ณ “แต่ฝ่ายท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียนรู้แล้ว และได้เชื่ออย่างมั่นคง ท่านก็รู้ว่าท่านได้เรียนมาจากผู้ใดและตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:14-15) |
ผมได้ยืมหัวข้อนี้ "ยาต่อต้านการละทิ้งความจริง" จาก ดร. เจ เวอร์นอน แมคกี้ ในเดือนมกราคมปี 1961 ท่านเป็นหนึ่งในนักสอนพระคัมภีร์ที่ดีตลอดกาล ตอนนั้นผมมีอายุ 19 ปี ผมเข้าร่วมคริสตจักรจีนที่หนึ่งแบ็บติสต์ในนคร ลอสแอนเจลิส ผมมีอาจารย์ที่สอนพระคัมภีร์ที่เก่งอยู่สองคน คือ ดร. ทิโมธี หลินซึ่งเป็นนักวิชาการด้านพันธสัญญาเดิม - และสอนอยู่ที่พระคริสตธรรมบ๊อบโจนส์และทรินิตี้ศาสนศาสตร์วิทยาลัยในเมืองเดียร์ฟิลด์ รัฐ อิลลินอยส์ ผมได้เรียนรู้สิ่งดีๆจาก ดร. หลินซึ่งเป็นศิษยาภิบาลของผมมาเป็นเวลาหลายปี อาจารย์สอนพระคัมภีร์ของผมอีกคนหนึ่ง คือ ดร. เจเวอร์นอน แมคกี้ ซึ่งเป็นศิษยาภิบาลที่คริสตจักรโอเพนดอร์ และตั้งอยู่ที่ 550 เวาทต์โห๊ป เมือง ลอสแอนเจลิส อยู่ไม่ไกลจากคริสตจักรจีนที่ผมเป็นสมาชิก ผมได้ยินท่านเทศนาสองครั้งต่อวันตลอดระยะเวลาสามปี - ผ่านทางรายการวิทยุของท่านที่ชื่อ "ผ่านทางพระคัมภีร์" และอีกช่วงคือในช่วง "บ่าย" การเทศนาของท่านในช่วงนี้จะไม่ซ้ำหัวข้อ "ผ่านทางพระคัมภีร์" ผมฟังรายการของท่าน "ผ่านทางพระคัมภีร์" ติดต่อกันเป็นเวลาเจ็ดปี ผมเรียนรู้พระคัมภีร์ได้เป็นอย่างมากจากอาจารย์ทั้งสองท่านนี้ ดร. หลินและ ดร. แมคกี้ ต่างก็ใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับการเผยพระวจนะถึงสิ่งที่กำลังจะมาถึง สำหรับการเทศนาของผมนั้นจะเน้นในเรื่องของ "ศาศนศาสตร์แห่งความรอด” หรือ “soteriology" (ความรอด) และนี่ก็สำเร็จหรือเป็นไปตามการเผยพระวจนะในพระคัมภีร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่กล่าวถึงในยุคสุดท้าย ดร. แมคกี้ กล่าวถูกที่บอกว่า 2 ทิโมธี บทที่สามให้ "ภาพของวันสุดท้าย ก่อนที่คริสตจักรจะมีความปิติยินดี ตอนนี้ลูกของพระเจ้าทำอย่างนั้นด้วยหรือเปล่า? " (J. Vernon McGee, Th.D., Thru the Bible, Thomas Nelson Publishers, 1983, p. 472; note on II Timothy 3:14-15). พระธรรมสองทิโมธีบทที่สามหล่าวถึงสิ่งเลวร้ายที่จะบังเกิดมาในยุคสุดท้าย และหมายสำคัญนั้นกำลังบ่งบอกว่าเรากำลังอยู่ในช่วงระหว่างสิ่งที่น่ากลัวนี้! คำว่า "เลิก" หมายถึง "การเอาใจออกห่างหรือการก่อจลาจล การละทิ้งหรือละทิ้งศาสนาใดศาสนาหนึ่งไป" (Webster’s Dictionary, Unabridged, Collins World, 1975). แน่นอนพระธรรมของเราในตอนนี้แสดงให้เห็นถึง “แต่ฝ่ายท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียนรู้แล้ว และได้เชื่ออย่างมั่นคง ท่านก็รู้ว่าท่านได้เรียนมาจากผู้ใดและตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:14-15) ให้เราสังเกตุดูพระธรรมข้อนี้ให้ดีๆ เราจะสามารถเห็นหลายอย่างทีเดียว I. หนึ่ง เน้นไปที่คำว่า “แต่” “ท่านก็รู้ว่าท่านได้เรียนมาจากผู้ใดและแต่…” (2 ทิโมธี 3:14-15) นี้อาจจะแปลว่า "อย่างไรก็ตาม" คนชั่วและคนพาลขี้เกียจจะยิ่งเลวร้ายลงหลอกลวงและถูกหลอก "แต่ [อย่างไรก็ตาม] ดำเนินต่อไปตามในสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้ ... " ไม่ว่าพวกเขาจะเลวขณะไหน คุณก็จะดำเนินตามในสิ่งที่คุณได้เรียนรู้ นั่นคือสิ่งที่อัครทูตเปาโลบอกชายหนุ่มที่ชื่อ ทิโมธี – และเรา ข้อความทั้งหมดนี้กล่าวถึงคริสตจักรในยุคสุดท้าย เรารู้เรื่องนี้เพราะเราได้รับการบอกว่าจะมี "สภาพทางของพระเจ้าภายนอก" (ข้อ 5) จะได้รับ "ถึงจะเรียนกันอยู่เสมอ แต่ก็ไม่อาจเรียนรู้ถึงความจริงเลย [แต่] และในเรื่องความเชื่อนั้นเขาใช้ไม่ได้เลยเรื่อง" (ข้อ 7 และ 8) ดร. แมคกี้ กล่าวว่า "ยุคสุดท้าย' เป็นศัพท์เทคนิคที่ใช้ในพันธสัญญาใหม่ และเป็นการพูดถึงวันยุคท้ายของคริสตจักร" (ibid., p. 469). ผมเชื่อว่าที่เขากล่าวนั้นถูกต้อง "เวลาอันตรายจะมาถึง" นั่นหมายความว่าสิ่งเลวร้ายที่ยิ่งใหญ่ ไร้ซึ่งความหวังซึ่งในภาษากรีกแปลว่า "อันตราย" มาจากคำว่า "chalepos" ปรากฏเพียงแค่ครั้งเดียวในพันธสัญญาใหม่ฉบับถาษากรีก ในแมทธิว 8:28 ใช้เพื่ออธิบายถึงวิญญาณชั่ว "ที่เลวร้าย" ดังนั้นพระคัมภีร์จึงบอกเราว่า วิญญาณชั่วและสิ่งเลวร้ายจะเกิดขึ้นในคริสตจักรในยุคสุดท้าย อาจารย์เปาโลบอกเราสิบเก้าอย่างถึงความแตกต่างของคริสตจักรในยุคสุดท้าย อาจารย์เปาโลให้รายละเอียดสิบเก้าที่บ่งบอกถึงความแตกต่างกันของสมาชิกในคริสตจักรในวันสุดท้าย ดร. McGee กล่าวอีกครั้งว่า "ถ้าคุณมองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร คุณจะเห็นสิ่งเหล่านี้เป็นหลักฐาน แต่ผมคิดว่าคุณไม่อาจพบความเลวร้ายมากอย่างที่เราประจักษ์ในทุกวันนี้ ผมเชื่อว่าเรากำลังอยู่ในช่วงที่ ‘เต็มไปด้วยอันตราย’ ที่ได้การอธิบายในส่วนนี้“ (เล่มเดียวกัน) นี่คือสิบเก้าอย่างที่บรรยายถึงผู้เชื่อในคริสตจักรในยุคของเรา 1. รักตัวเอง (เห็นแก่ตัว) คนเหล่าคือคริสเตียนเท็จที่มีอยู่ในคริสตจักรและพระคริสตธรรมต่างๆ ภายนอกพวกเขาดูเหมือนจะเป็นคนรับใช้ของพระเจ้า แต่ความเป็นจริงพวกเขารับใช้ซาตาน พวกเขา "ถึงจะเรียนกันอยู่เสมอ แต่ก็ไม่อาจเรียนรู้ถึงความจริงเลย" (ข้อ 7) และผู้คนที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะมาจากคริสตจักรของเราในทุกวันนี้ และนั่นเป็นประสบการณ์ที่น่ากลัวที่สุดที่ผมพบเห็นจากสมาชิกในโบสถ์ – เลวร้ายและไม่เคยพบเห็นในหมู่คนที่ไม่ใช่คริสเตียนจะเป็นอย่างนั้น ผมเห็นพวกแบ็บติสต์ดึงผมของกันและกันพร้อมกับการสาปแช่งด้วยภาษาหยาบคายและขว้างหนังสือเพลงนมัสการใส่กัน - เวลาประมาณ 11 โมงตอนโมงเช้าของวันอาทิตย์ในช่วงนมัสการ ผมก็เห็นผู้นำคณะนักร้องประสานเสียงโยนลงบนทางเดิน ใช้เท้าเตะจนใบหน้าของเขาแดง แล้วค้นหากุญแจในกระเป๋าเข้าไปยังคริสตจักร การกระทำเช่นนี้เกิดจากพวกที่ถูกเรียกว่า "มัคนายก" ของคริสตจักร นั่นคือเหตุการณ์เกิดในปี 1950 แล้วก็มีการฟ้องร้องกันอย่างเช่นที่คริสตจักรแบ๊บติสในฮันติงตันพาร์ค รัฐ แคลิฟอร์เนีย ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาผมก็เห็นผู้นำคริสตจักรมีเพศสัมพันธ์กับเด็กผู้หญิง ขโมยเงินของคริสตจักรไป บางคนก็ตบศีรษะศิษยาภิบาลในขณะที่ชายอีกคนหนึ่งต่อยเข้าไปที่หน้าท้อง นอกจากนี้ก็โกหกกันและกันบนอินเทอร์เน็ตและความชั่วอื่น ๆอีกมากมาย คนที่สอนระวีในวันอาทิตย์ยังปล้นธนาคาร อาจารย์ของผมคนหนึ่งในวิทยาลัยบอกว่าสุนัจกินทารกน้อยพระเยซูไปแล้ว จะไม่มีการเสด็จมาในครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์อีกต่อไป เขายังบอกว่าพระคัมภีร์เกือบทุกเล่มแล้วแต่กล่าวเท็จ โมเสสตที่นำชาวฮีบรูอพยพจากอียิปต์นั้นไม่มีตัวตน และหลักคำสอนอื่นๆล้วนแต่เท็จ แต่หนึ่งในนั้นอาจารย์พวกนี้ฆ่าตัวตายโดยการยิงหัวตัวเอง คนพวกนี้ทั้งหมดทั้งหมดได้รับการเลี้ยงดูมาในคริสตจักรแบ๊บติสใต้ พวกเขาทั้งหมดหลัวที่จะเดิน "ไปข้างหน้า" และชอบกล่าวตาม "คำอธิษฐานของคนบาป" ก่อนที่จะมารับบัพติศมา ผมเองก็สงสัยมานานว่าทำไมยังมีคนที่นับถือศาสนาคริสต์และกระทำตามนั้น ตอนที่ผมออกมาพูดต่อต้านสิ่งเหล่านี้ ผมกลับถูกเตือนว่า "เป็นตัวสร้างปัญหา" และจะไม่มีวันมาเป็นผู้รับใช้ในคริสตจักรมนเคลือของแบ๊บติสใต้ ต่อมาผมได้เขียนหนังสือเปิดเผยความผิดของพวกเขา หนังสือเล่มนั้นชื่อ "ในการประชุมใหญ่ของคริสตจักรแบ็บติสต์ใต้ " หลังจากที่ผมจบการศึกษาจากวิทยาลัยแบ๊บติสใต้ ผมก็ไปเรียนต่อปริญญาเอกที่วิทยาลัยของเพรสไบทีเรียน! วิทยาลัยของเพรสไบทีเรียนแห่งนั้นยังแย่กว่านั้นอีก! หนึ่งในอาจารย์ทำตัวเป็นพระเจ้า ต่อมาผมก็มารับรู้ว่าอาจารย์ในสองสถาบันนี้ไม่เคยบังเกิดใหม่เลย ไม่เคยมีประสบการณ์ของการกลับใจใหม่จริงและไม่ใช่คริสเตียนเลย ผมรู้ว่าบางท่านพอได้ยินผมพูดอย่างนี้อาจจะคิดว่าผมพูดเกินความจริง แต่ผมขอยืนยันในพระนามของพระเจ้าว่าทุกคำที่ผมพูดเป็นความจริงทั้งนั้น ผมสามารถมองเห็นด้วยตาของตัวเองถึงความชั่วทั้งสิบเก้าอย่างที่อธิบายถึงผู้เชื่อในยุคสุดท้ายนี้เป็นการอธิบายถึง "ยุคสุดท้าย" และสิ่งเหล่านี้ก็เกิดขึ้นให้กับทุกคณะและทั่วโลก ผมก็รู้ว่าคนหนุ่มสาวจำนวนมากมายหนีออกจากคริสตจักรในทุกวันนี้เพราะความชั่วร้ายเหล่านี้ ผมจำได้ว่ามีผู้รับใช้หนุ่มไฟแรงคนหนึ่งไปเรียนที่วิทยาลัยแบ๊บติสใต้ เขาลาออกจากพันธกิจหลังและโรงเรียน ก่อนที่เขาจะไป เขาบอกผมว่า "เกิดอะไรขึ้น? นี่หรือคือสิ่งที่พวกเขาสอน พวกเขาไม่เชื่ออะไรเลยหรือนี่ " II. สอง มุ่งเน้นไปที่ข้อที่สิบสี่ “แต่ฝ่ายท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียนรู้แล้ว และได้เชื่ออย่างมั่นคง ท่านก็รู้ว่าท่านได้เรียนมาจากผู้ใด” (2 ทิโมธี 3:14) อะไรที่เป็นความชั่วร้ายของคนในยุคสุดท้าย? ยาแก้การละทิ้งความจริงที่ดีคือพระคัมภีร์ พระวจนะของพระเจ้า พระองค์ผู้ทรงพระชนม์ เปโตรเรียกว่า "ไฟที่ส่องสว่างในที่มืด" (2 เปโตร 1:19) สิ่งที่ทำให้ผมต้องลาออกจากพระคริสตธรรม และเลิกรับใช้พระเจ้า “แต่ฝ่ายท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียนรู้แล้ว และได้เชื่ออย่างมั่นคง ท่านก็รู้ว่าท่านได้เรียนมาจากผู้ใด” (2 ทิโมธี 3:14) เด็กหนุ่มทิโมธีเรียนรู้พระคัมภีร์จากยาย แม่ และรวมถึงตัวของอัครทูตเปาโลเอง (ดู 2 ทิโมธี 1:2 และ5) ผมเรียนรู้พระคัมภีร์รวมทั้งคำทำนายเหล่านี้จาก ดร. แมคกี้ และ ดร. หลิน แต่คนที่เทศนาและทำให้ผมกลับใจใหม่คือ ดร. ชาร์ลส์ เจ วูดบริดจ์ ท่านเทศน์ต่อต้านพวกเสรีนิยมที่วิทยาลัยศาสนศาสตร์ฟุลเลอร์ และท่านก็ลาออกจากที่นั่นเพราะปัญหาสองสามปีก่อนหน้านี้ ดร. วูดบริดจ์ พูดถึง “คนที่มักเยาะเย้ย” ใน “วันสุดท้าย” จากในบทที่สามในพระธรรม 2 เปโตร ฉันรอดอยู่ทุกวัน (ดู 2 เปโตร 3:3) ดังนั้นผมจึงรู้ว่าคำว่าละทั้งความจริงก่อนที่จะไปเรียนที่พระคริสตธรรมเสรีนิยม ผมเรียนรู้ถึงการเชื่อในพระคัมภีร์อย่างไร้ข้อสงสัย ไม่ใช่เชื่อตามพวกอาจารย์ที่ไม่เคยกลับใจใหม่ ผมได้เรียนรู้จาก ดร. วูดบริดจ์ ดร. หลินและ ดร. แมคกี้ เพียงพอที่จะไว้วางใจในพระวจนะของพระเจ้า คำเทศนาที่ใช้เทศน์ที่พระคริสตธรรมสมัยนั้นคือหัวข้อ การละทิ้งความจริงจากพระธรรมสดุดี 119:99 “ข้าพระองค์มีความเข้าใจมากกว่าบรรดาครูของข้าพระองค์ เพราะบรรดาพระโอวาท [พระคัมภีร์] ของพระองค์เป็นการไตร่ตรองของข้าพระองค์” (สดุดี 119:99) คนหนุ่มคนสาวทั้งหลาย ผมรู้ถึงสิ่งที่เขาสอนพวกคุณในวิทยาลัย ผมจบการศึกษาจาก ลอสแอนเจลิส ที่วิทยาลัยและมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียในเมือง ลอสแอนเจลิส (BA, 1970) ผมรู้สิ่งที่พวกเขาโจมตีศาสนาคริสต์ ผมรู้ว่าพวกเขาเยาะเย้ยคริสเตียนและใส่ร้ายพระเยซู ผมยังรู้ว่าทุกวันนี้ต่างก็มีการต่อต้านคนหนุ่มคนสาวโดยสิ่งเทียมเท็จ แม้แต่ประธานาธิบดีก็ต่อต้านพวกเรา แต่ผมยังรู้อีกว่าผู้ที่เชื่อในพระคัมภีร์สามารถพูดเหมือนผู้เขียนพระธรรมสดุดีดังนี้ “การคลี่คลายพระวจนะของพระองค์ให้ความสว่าง ทั้งให้ความเข้าใจแก่คนรู้น้อย” (สดุดี 119:130) และ “พระวจนะของพระองค์เป็นโคมสำหรับเท้าของข้าพระองค์” (สดุด 119:105) “เพราะฉะนั้นข้าพระองค์ถือว่าบรรดาข้อบังคับของพระองค์ถูกต้องในทุกเรื่อง ข้าพระองค์เกลียดมรรคาทุจริตทุกทาง” (สดุดี 119:128) ฟังบทเพลงของที่ท่าน กรีฟิทท์พึ่งร้องผ่านไป ‘ท่ามกลางพายุแห่งความสงสัยไม่เชื่อและความกลัว III. สาม เน้นไปที่ข้อสิบห้า “...พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:15) ดร. ลอยด์ โจนส์กล่าวว่า "ผมไม่อาจรู้เรื่องของพระเจ้าถ้าปราศจากพระคัมภีร์บอกผม" (Great Doctrines of the Bible (1), p. 36). เขากล่าวว่า "ไม่มีหนังสือเล่มอื่น ๆ อีกที่เป็นเสียงของพระเจ้า" (Evangelistic Sermons, p. 25). “พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:15) พระคัมภีร์ชี้ให้เราถึงพระคริสต์ เมื่อคนๆหนึ่งรับฟังพระวจนะ จะเชื่ออย่างแน่วแน่ว่านั่นคือพระดำรัสของพระเจ้า คนๆนั้นต้องการที่จะรู้จักพระคริสต์ เชื่อในพระคัมภีร์เท่านั้นจะไม่สามารถช่วยให้คุณรอด เพราะพระคำของพระเจ้าชั้ให้เราไปที่พรคริสต์ จะรับความรอดได้อย่างไร? โดยเชื่อในพระเยซูคริสต์! บี บี แมคคิมนี่ คนแบ๊บติสต์เขียนไว้ว่า ฉันรู้ ฉันรู้ ฉันรู้ว่าพระคัมภีร์เป็นความจริง คุณสามารถเชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นความจริงในขณะเดียวกันยังคงไม่รอด! การจะรอดได้นั้นคุณจะต้องปฏิบัติตามพระคัมภีร์และไว้วางใจในพระเยซูคริสต์ พระคัมภีร์บอกเราว่าพระเยซูคริสต์ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของเรา พระคัมภีร์บอกเราว่าบาปของเราสามารถล้างออก "โดยความเชื่อในพระโลหิตของพระองค์" (โรม 3:25) พระวจนะกล่าวว่า ““จงเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย” (กิจการ 16:31) คุณสามารถรับ “ความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:15). ดร. ดับบริว กล่าวว่า ความเชื่อเป็นของขวัญของพระเจ้าในผ่ายจิตวิญญาณและไม่เกี่ยวข้องใดๆกับจิตใต้สำนึกผิด ความเชื่อคือความมหัศจรรย์คือที่พระเจ้าประทานให้เราเพื่อจะสามารถวางใจพระบุตรของพระองค์ (A. W. Tozer, D.D., Christian Publications, 1966, p. 33). ในยามที่คุณป่วยเพราะความบาปของคุณ และไม่มีทางที่จะหนีออกจากมันแล้ว (แต่ไม่ใช่ก่อนหน้านั้น) พระเจ้าจะช่วยให้คุณวางใจพระเยซูคริสต์ ถ้าคุณอยากจะคุยกับพวกเราเกี่ยวกับการรับการชำระบาปโดยโลหิตของพระเยซู กรุณาออกจากที่นั่งของคุณตอนนี้และเดินไปที่ด้านหลังของห้องนมัสการนี้ ดร. คาเกน จะนำพวกคุณไปยังอีกห้องหนึ่งเพื่อให้คำปรึกษาและอธิษฐานเผื่อ ไปได้ในตอนนี้ ดร. ชาน กรุณานำเราอธิษฐานเผื่อคนที่ไว้วางใจในพระเยซูนี้ด้วย อาเมน (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย อาเบล พลูโฮมมี: 2 ทิโมธี 3:1-7, 12-15 |
โครงร่างของ ยาต่อต้านการละทิ้งความจริงTHE ANTIDOTE FOR APOSTASY โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “แต่ฝ่ายท่านจงดำเนินต่อไปในสิ่งที่ท่านเรียนรู้แล้ว และได้เชื่ออย่างมั่นคง ท่านก็รู้ว่าท่านได้เรียนมาจากผู้ใดและตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:14-15) I. หนึ่ง เน้นคำว่า “แต่” 2 ทิโมธี 3:1-14ก 5, 7, 8. II. สอง มุ่งเน้นไปที่ข้อที่สิบสี่ 2 ทิโมธี 3:14ข; 2 เปโตร 1:19; 3:3; III. สาม เน้นไปที่ข้อสิบห้า 2 ทิโมธี 3:15; โรม 3:25; กิจการ 16:31. |