Print Sermon

เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์

ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร

ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net




ทางที่สาม – วิกฤตแห่งการกลับใจใหม่

THE THIRD WAY – CRISIS CONVERSION
(Thai)

โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์
by Dr. R. L. Hymers, Jr.

เทศนาในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าที่ 9 เดือนมีนาคม ค.ศ. 2014 ณ
คริสตจักรแบ๊บติสต์แห่งนครลอสแอนเจลิส
A sermon preached at the Baptist Tabernacle of Los Angeles
Lord’s Day Evening, March 9, 2014

และ “เตือนสำหรับการเทศนาแบบอรรถธิษบาย” โดย แลน เฮช เมอรี่
and “A Caution For Expository Preaching” by Iain H. Murray

“และพระองค์ตรัสว่า ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน บุตรคนน้อยพูดกับบิดาว่า บิดาเจ้าข้า ขอทรัพย์ที่ตกเป็นส่วนของข้าพเจ้าเถิด’ บิดาจึงแบ่งสมบัติให้แก่บุตรทั้งสอง ต่อมาไม่กี่วัน บุตรคนน้อยนั้นก็รวบรวมทรัพย์ทั้งหมดแล้วไปเมืองไกล และได้ผลาญทรัพย์ของตนที่นั่นด้วยการเป็นนักเลง เมื่อใช้ทรัพย์หมดแล้วก็เกิดกันดารอาหารยิ่งนักทั่วเมืองนั้น เขาจึงเริ่มขัดสน เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนาเขาใคร่จะได้อิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากินเมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้วจึงพูดว่า ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก ยังมีอาหารกินอิ่มและเหลืออีก ส่วนเราจะมาตายเสียเพราะอดอาหารจำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทำผิดต่อสวรรค์และทำผิดต่อหน้าท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป” (ลูกา 15:11-19)


มีอยู่สองวิธีที่จะเทศนาพระกิตติคุณให้กับผู้ที่ไม่เชื่อในทุกวันนี้ วิธีแรกมักจะเรียกว่า "ความเชื่อแบบง่ายๆ" วิธีที่สองเรียกว่า "ทางแห่งความรอด" มีบางอย่างที่ผิดปกติให้กับทั้งสองวิธีนี้ เพราะสองวิธีนี้พระเจ้าไม่เคยใช้ในยุคแห่งการฟื้นฟูใหญ่ในปี 1859!

นักเทศน์ที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่กล่าวว่าสมาชิกในคริสตจักรส่วนใหญ่ยังไม่เคยกลับใจใหม่ ในหนังสือของเราที่ชื่อ ประกาศให้กับประเทศที่ตายแล้ว ผู้ช่วยศิษยาภิบาลของผมคือ ดร. ซี เอล คาเกน และผมเคยกล่าวว่ามีผู้นำหลายคนต่างก็ชี้ให้เห็นว่าพวกอีเวนเจลิคอล์คือพวกที่ยังหลงหาย รวมทั้งครูสอนรวีวาระศึกษา มัคนายก ภรรยาของศิษยาภิบาล และแม้กระทั่งตัวของศิษยาภิบาลเอง ดร. เอ ดับพริว โทเซอร์ กล่าวว่า " ในบรรดาคริสตจักรของพวกอีเวนเจลิคอล์มีไม่เกินสิบคนที่มีประสบการณ์เรื่อการบังเกิดใหม่" ดร. ดับบริล คริสเวลล์ เป็นผู้รับใช้ที่มีชื่อเสียงที่คริสตจักรแบ๊บติสต์ที่หนึ่งที่ ดัลลัส เท็กซัส กล่าวว่า "เขาจะประหลาดใจมากถ้าพบสมาชิกของเขาประมาณ 25 % ในสวรรค์" ย้อนกลับไปในปี 1940 ชายหนุ่มที่ชท่อ บิลลี่ เกรแฮม เคยประกาศว่า 85 % สมาชิกคริสตจักรของเรา "ยังไม่เคยบังเกิดใหม่" ดร. มอนโร "บาทหลวง" ปาร์กเกอร์ นักพูดของพวกเฟนดาเมนทอลิสต์ กล่าวว่า "ถ้าสมาชิกคริสตจักรของเราครึ่งหนึ่งคือผู้ที่ได้รับความรอดแล้ว เราก็จะเห็นการฟื้นฟู ในความเป็นจริงผมคิดว่าถ้านักเทศน์ในอเมริกาของเรากลับใจใหม่เพียงแค่ครึ่งเท่านั้นก็จพมีการฟื้นฟูยิ่งใหญ่" (Monroe “Monk” Parker, Through Sunshine and Shadows, Sword of the Lord Publishers, 1987, pp. 61, 72)

ตัวเลขทั้งหมดเหล่านี้คือหนังสืออ้างอิงจากหนังสือของเราที่ชื่อ ประกาศให้กับชนชาติที่ตายแล้ว (หน้า 42, 43) ตัวเลขเหล่านี้ได้รับมาจาก ดร. เอ ดับบริล โทเซอร์ ดร. ดับบริล เอ คริสเวลล์ บิลลี่ เกรแฮมและ ดร. "มังก์" ปาร์กเกอร์ พวกเขาแสดงให้เห็นว่าตัวเลขเหล่ากำลังแสดงว่าการประกาศของเราอาจผิดปกติไป อย่างที่ผมบอกมาแล้วว่า มีอยู่สองวิธีที่จะเทศนาพระกิตติคุณให้กับผู้ที่ไม่เชื่อในทุกวันนี้ วิธีแรกมักจะเรียกว่า "ความเชื่อแบบง่ายๆ" วิธีที่สองเรียกว่า "ทางแห่งความรอด" มีบางอย่างที่ผิดปกติให้กับทั้งสองวิธีนี้ เพราะสองวิธีนี้พระเจ้าไม่เคยใช้ในยุคแห่งการฟื้นฟูใหญ่ในปี

วิธีแรกเรียกว่า "ความเชื่อแบบง่ายๆ" นั่นเป็นวิธีการส่วนใหญ่ที่ใช้โดยพวกอีเวนเจลิคอล์ และพวกเฟนดาเมนทอล์ในทุกวันนี้ พวกเขานำคนมารับเชื่อผ่านทางที่พวกเขาเรียกว่า "บทอธิษฐานของคนบาป" ขอให้พระเยซู "เข้ามาในใจของพวกเขา" หลังจากนั้นก็ถือว่าผู้เชื่อใหม่เหล่านั้น “รอดแล้ว” พวกเขาไม่เคยแสดงให้เห็นว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตใหม่ ดำเนินชีวิตในบาป และไม่เคยไปนมัสการ มีคนเป็นล้านที่พูดพูดภาษาอังกฤษในโลกนี้เป็นเช่นนี้

วิธีที่สองที่ใช้ในการประกาศเรียกว่า "อำนาจแห่งความรอด" วิธีการนี้เกิดขึ้นเพื่อใช้ต่อต้านวิธีที่เรียกที่ว่า"ความเชื่อแบบง่ายๆ" " แต่ "อำนาจแห่งความรอด" ล้มเหลวในการแก้ไข “ความเชื่อแบบง่าย” แม้ว่าผู้ถือยืดถือมุมมองนี้จะมีความชัดเจนมากขึ้นกว่าคนอื่น ๆ แต่วิธีการของพวกเขาก็ไม่เคยถูกใช้ในยุคแห่งการฟื้นฟูใหญ่ หรือใช้ในที่สำคัญใด ๆ ที่สามารถเพิ่มผู้เชื่อหใม่เข้ามาในคริสตจักร การเทศนืแบบ "อำนาจ" พยายามที่จะแก้ไขความวุ่นวายและความผิดพลาดขอ "ความเชื่อแบบง่ายๆ" โดยกล่าวซ้ำแล้วซ้ำอีกเน้นหลักการ และสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า "กลับใจใหม่" ความเชื่อไก้รับอิมธิผลมาจากรูปแบบของ “เซนดีเมเนียนนิยม” หรือ ”Sandemanianism" และยึดถือรูปแบบของความชอบธรรมของในการทำงาน “เซนดีเมเนียนนิยม” เน้นถึวความเชื่อในข้อพระคัมภีร์และหลักคำสอนมากกว่าในพระเยซูคริสต์ นักเทศน์คนหนึ่ง กล่าวว่า "เราต้องเชื่อมั่นหรือไว้วางใจในสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ" แม้ว่าเขาจะรู้หรือไม่ก็ตาม นี่คือ ความหมายของพวก "เซนดีเมเนียนนิยม" พวกเขาบอกว่าคนบาปว่าเขารอดแล้วโดยวางใจในสิ่งที่พระคัมภีร์กล่าว แต่แทนที่จะบอกให้เชื่อไว้วางใจในตัวของพระเยซูคริสต์ ลองไปดูบทที่ "“เซนดีเมเนียนนิยม” หรือ “Sandemanianism" ในหนังสือ ดร. ลอยด์ โจนส์ The Puritans: Their Origins and Successors, Banner of Truth, 2002 edition, pp. 170-190 ให้เปิดไปอ่านได้ที่บทเทศนาในหัวข้อ “เซนดีเมเนียนนิยม"

พวกฟาริสีในสมัยของพระคริสต์นั้นไม่ได้ขึ้นอยู่กับรูปแบบของการใด ๆ "ความเชื่อแบบง่ายๆ” ภายนอกของพวกเขานั้นอยู่อย่างคนที่ไร้มลทิน พวกเขาศึกษาพระคัมภีร์อย่างต่อเนื่องและเชื่อตามนั้น อะไรคือข้อผิดพลาดในชีวิตของพวกเขา? สิ่งเดียวนั้นคือ – ตัวของพระเยซูคริสต์เอง! พระเยซูตรัสกับเขาว่า

“จงค้นดูในพระคัมภีร์ เพราะท่านคิดว่าในพระคัมภีร์นั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเป็นพยานถึงเรา แต่ท่านทั้งหลายไม่ยอมมาหาเราเพื่อจะได้ชีวิต” (ยอห์น 5:39, 40)

ซี เอช สเปอร์เจียน กล่าวว่า "ความเชื่อที่ทำให้จจิตวิญญาณรอดนั้นคือเชื่อในบุคคล ขึ้นอยู่กับพระเยซู" (“The Warrant of Faith,” The Metropolitan Tabernacle Pulpit, volume 9, Pilgrim Publications, 1979, p. 530)

ในคำเทศนากันต์เเดียวกัน สเปอร์เจียน กล่าวว่า "ความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริงเหล่านี้ [ในพระคัมภีร์] แค่นั้นไม่เพียงพอจนกว่าเราจะมาเชื่อในพระผู้ช่วยให้รอกแต่ช่วยเราถ้าเราจริงๆอย่างแท้จริงและความไว้วางใจจิตวิญญาณของเราอยู่ในมือมหาไถ่" (ibid.)

บุตรน้อยหลงหายในพระคัมภีร์ของเราตอนนี้รู้ว่า "พ่อ" มี "ขนมปังพอและเพื่อสำรองไว้" (ลูกา 15:17) แต่อาศัยความรู้ที่เป็นข้อเท็จจริงเหล่านั้นไม่ได้ช่วยเขาให้หายหิวได้ เขาจะต้องมาหา "พ่อ" ของเขาโดยตรงเพื่อมารับเอา "ขนมปัง" ความเชื่อในพระคัมภีร์ แม้ว่าความเชื่อนั้นความจริง แต่นั่นมาสามารถช่วยใครให้รอดได้ มนุษย์สามารถเชื่อในพระคัมภีร์และหลักข้อเชื่ออย่างเช่น เวสมินสเอตร์ เคชเชน แต่ไม่รอดโดยทางนั้น อย่างที่อัครทูตเปาโลพูดถึง "ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์" (2 ทิโมธี 3:15) ความเชื่อที่ตั้งอยู่ในพระคัมภีร์และหลักข้อเชื่อไม่สามารถรอดได้ พระคัมภีร์ชี้ให้เราไปที่พระเยซูคริสต์ เราถึงจะรอดได้ "โดยความเชื่อที่อยู่ในพระเยซูคริสต์"! เราไม่สามารถรอดได้เพียงแค่ทำตาม "บทอธิษฐานของคนบาป" เราไม่อาจรอดโดยแค่เชื่อว่าพระคัมภีร์กล่าวถึงพระเยซู เราไม่อาจรอดได้โดยเชื่อฟังพระคริสต์ ทางเดียวที่ทำให้เรารอดนั่นคือ “ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:15) พระคัมภีร์กล่าวไว้อย่างชัดเจนว่า “ด้วยว่าซึ่งท่านทั้งหลายรอดนั้นก็รอดโดยพระคุณเพราะความเชื่อ” (เอเฟซัส 2:8) พระเยซูคือจุดศูนย์กลางในความเชื่อ และอาจารย์เปาโลจึงกล่าวว่า “จงเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย” (กิจการ 16:31) เพื่อนผู้รับใช้ของผมที่ชื่อ ดร. ซี เอล คาเกน กล่าวว่า “ความจริงก็คือเราเชื่อโดยตรงในพระเยซู ผู้อยู่เหนือทุกสิ่ง – ‘และสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระองค์’ โคโลสี 1:17 (Preaching to a Dying Nation, p. 220). ความเชื่อเช่นนี้เป็นเพียวแค่ขั้นพื้นฐานที่เรียกว่า “ความเชื่อแบบง่ายๆ” และ “ทางความเชื่อ”

สิ่งที่ผมกล่าวในที่นี้คือเรียกว่า “ทางที่สาม” – วิกฤตแห่งการกลับใจใหม่" ทางที่หนึ่งเรียกว่า “บทอธิษฐานของคนบาป” ทางที่สองคือความพยายามแสวงหาพระคริสต์ด้วยตังเองเพื่อได้พระองค์มาเป็นพระผู้ช่วยให้รอด – โดยทางนี้คนบาปคนหนึ่งไม่อาจทำได้! แต่ “ทางที่สาม – "วิกฤตแห่งการกลับใจใหม่" เคยพูดถึงคำว่า “"วิกฤตแห่งการกลับใจใหม่" – และเป็นลักษณะความเชื่อของ “คนสมัยก่อน” ทำกันอย่างที่ลูเธอร์เคยประสบมา "วิกฤตแห่งการกลับใจใหม่" อย่างเช่นของ จอห์น บานเยน จอร์จ ไวท์ฟิวล์ท จอห์น เวสเลย์ และ ซี เอช สเปอร์เจียน เคยประสบกันมา – และคนอื่น ๆ ที่กลับใจใหม่อย่างแท้จริงก่อนที่จะมามีแบบ "บทอธิษฐานของคนบาป" และ "อำนาจแห่งความรอด" ที่กลายเป็นที่นิยม - แต่ความเชื่อเหล่านี้กลับทำลายแนวคิดอย่าง "วิกฤตแห่งการกลับใจใหม่" ของแบ๊บติสและโปรเตสแตนต์บรรพบุรุษของเรา ผมจะอธิบาย ถึงการทำเช่นนี้ว่ามันเป็น "สิ่งเลวร้าย" แล้วฉันจะอธิบาย "ตื่น".

I. ประการแรก ที่นี่คืออธิบายคน "ชั่วร้าย" ที่ถูกเปิดเผโดนวิธีที่สาม "วิกฤตแห่งการกลับใจใหม่"

เหตุผลที่ผมเลือกคำอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหาย ก็เพื่อแสดงให้เราเห็นถึงสิ่งเป็นความหมายดั้งเดิมเกี่ยวกับ "วิกฤตแห่งการกลับใจใหม่" ความเชื่อนี้มอยู่ในยุคแรกนั้น แต่แต่ระยะหลังๆ ก็เกิดความเชื่อใหม่เข้ามาแทนที่เช่น "บทอธิษฐานสารภาพของคนบาป" และ "อำนาจแห่งความรอด"

บุตรน้อยหลงหายคือคนบาป เขาถามหาส่วนมรดกที่เป็นของเขาและหนีออกจากบ้านเดินทาง "ไปเมืองไกล และได้ผลาญทรัพย์ของตนที่นั่นด้วยการเป็นนักเลง" (ลูกา 15:13) นั่นคือสิ่งที่เราทุกคนต่างก็ทำกัน ไม่ว่าจะด้วยทางใดก็ทางหนึ่ง เราหันหลังให้กับพระคริสต์และดำเนินชีวิตอยู่ในบาป เราปฏิเสธพระคริสต์เช่นเดียวกับลูกชายคนนั้นปฏิเสธพ่อตัวเอง ในความเป็นจริงก็คือเราไม่เคยกลับใจใหม่ เราดูถูกและปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอดเช่นเดียวกับลูกชายคนเล็กกระทำโดยการเกลียดและปฏิเสธพ่อของเขา

“ท่านได้ถูกมนุษย์ดูหมิ่นและทอดทิ้ง เป็นคนที่รับความเศร้าโศกและคุ้นเคยกับความระทมทุกข์ และดังผู้หนึ่งซึ่งคนทนมองดูไม่ได้ ท่านถูกดูหมิ่น และเราทั้งหลายไม่ได้นับถือท่าน” (อิสยาห์ 53:3)

ในใจของเรานั้นถือว่าพระเจ้าและพระบุตรของพระองค์เป็นศัตรู เราไม่ได้อยู่ภายใต้พระบัญญัติของพระเจ้าเหมือนบุตรน้อยหลงหายที่ไม่อยู่ภายใต้กฎข้อบังคับของบิดาของเขา

“เหตุว่าใจซึ่งปักอยู่กับเนื้อหนังนั้นก็เป็นศัตรูต่อพระเจ้า เพราะหาได้อยู่ใต้บังคับพระราชบัญญัติของพระเจ้าไม่ และที่จริงจะอยู่ใต้บังคับพระราชบัญญัตินั้นไม่ได้” (โรม 8:7)

ใจของเรามักกบฏและไม่ยอมรับการแก้ไขและยังต่อต้านพระผู้ช่วยให้รอด ในความเป็นจริงก็คือเราเป็นคนบาปที่เลวร้าย โดยไม่รู้เลยว่าเราก็มีความชอบธรรมอยู่ในตัวเรา อัครทูตเปาโลกล่าวว่าเรา "ตายในละเมิดและทำบาป" และเราอยู่ภายใต้การควบคุมของซาตาน "เจ้าแห่งโลกนี้" (เอเฟซัส 2:1)

ถ้าคุณยังเป็นคนบาปอยู่ นั่นเป็นภาพที่ไม่สวยงามเลย อาจารย์เปาโลกล่าวว่า “ทั้งพวกยิวและพวกต่างชาติต่างก็อยู่ใต้อำนาจของบาปทุกคน ตามที่มีเขียนไว้แล้วว่า ไม่มีผู้ใดเป็นคนชอบธรรมสักคนเดียว ไม่มีเลย” (โรม 3: 9, 10) ผู้เผยพระวจนะอิสยาห์กล่าวถึงสถานะจิตวิญญาณของคุณไว้ดังนี้

“...จิตใจก็อ่อนเปลี้ยไปสิ้น ตั้งแต่ฝ่าเท้าจนถึงศีรษะไม่มีความปกติในนั้นเลย มีแต่บาดแผลและฟกช้ำและเป็นแผลเลือดไหล ไม่มีการปิดแผลหรือพันไว้…” (อิสยาห์ 1: 5, 6)

นี่คือเงื่อนไขของบุตรน้อยหลงหายคนนั้น พระคัมภีร์กล่าวว่า “เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนา เขาใคร่จะได้อิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากิน” (ลูกา 15: 15, 16) และนี่คือสถานะของคุณด้วยเช่นกัน “สัญชาติของประเทศนั้น” คือมีมารเป็นผู้ควบคุมจิตใจของคุณ “คือวิญญาณที่ครอบครองอยู่ในบุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง” (เอเฟซัส 2:2) คุณได้ก้าวเข้าไปสู่ในสถานะที่น่ากลัว เป็นทาสของซาตาน มีชีวิตเยี่ยงทาสคอยรับใช้ซาตาน “ตายในบาปเหล่านั้น” (เอเฟซัส 2:5) อย่างทุกวันนี้รู้กันคือความเลวร้าย นี่คือสถานะของบุตรน้อยหลงหาย บิดาของเขาเองเป็นคนบอกว่าเขาได้ “ตาย” และก็ “หลงหายไป” เขาบอกว่า “เพราะว่าลูกของเราคนนี้ตายแล้ว แต่กลับเป็นอีก หายไปแล้ว แต่ได้พบกันอีก” (ลูกา 15:24)

คุณอยู่ในสถานะที่ต่อต้านพระคริสต์ แม้คุณจะคิดว่าคุณมีอิสระก็ตาม แต่ความจริงคุณคือทาสที่แขวนอยู่ในบาป ทุกสิ่งที่มีอยู่พระเจ้าตายไปหมดแล้ว และถูกจองจำโดยซาตาน คุณถูกมารควบคุม และคุณก็คิดเอาเองว่าการมีชีวิตที่ป็นทาสของบาปนั้นคือเสรีภาพ! กรณีเช่นนี้คือคุณที่สิ้นหวัง และเลวร้ายอย่างสิ้นเชิง ความหวังในชีวิตหายไปเพราะตกเป็นทาสให้บาป และเมื่อมีคุณบอกว่าคุณคือคนที่อยู่ในสภาพการหลง แต่คุณจะโต้เถียงคนเหล่านั้น

II. ประการที่สอง ที่นี่คือคำอธิบายของการ "ตื่นขี้นมา" ของคนบาปในยามทุกข์ยาก เขาค้นหาหนทางที่สาม "วิกฤติกแห่งการกลับใจใหม่"

“เมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้วจึงพูดว่า ‘ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก ยังมีอาหารกินอิ่มและเหลืออีก ส่วนเราจะมาตายเสียเพราะอดอาหาร” (ลูกา 15:17)

"ตอนที่มาสำนึก" นั่นคือเมื่อเขามาถึงความรู้สึกของเขาเอง ตอนเขาตื่นขึ้นมาจากอาการโคม่าของบาป อาการมึนงงและความมืดมนของความบาป "เมื่อเขามาสำนึก" ตอนที่เขาถูกปลุกให้ตื่นจากการนอนหลับในความตาย – หลังจากนั้นเขาก็จะคิดว่า "ฉันกำลังจะพินาศ" นี่คือการกระตุ้นคนบาปที่หลงหายไปเพราะรู้สึกถึงความทุกข์ยากทรมาน ความเศร้าโศกของชีวิตที่อยู่ในบาป การตื่นขึ้นมาเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น สเปอร์เจียนกล่าวถึงพระคำตอนนี้ว่า

คนบ้าไม่อาจได้รู้ว่าเขาเป็นคนบ้า แต่ทันทีที่เขามาถึงที่ตัวเอง เขาจะรู้สึกเจ็บปวด [เห็น] ค้นหาหนทางที่จะหลีกหนีออกมา ทำให้พวกเขากลับมาค้นหาเหตุผลที่แท้จริงและการตัดสินใจ อย่างบุตรน้อยหลงหายกลับมาที่ตัวเอง (C.H. Spurgeon, MTP, Pilgrim Publications, 1977 reprint, volume 17, p. 385)

การตื่นขึ้นเป็นเหมือนคนๆหนึ่งที่ถูกสะกดจิตและและถูกทำให้ตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ในตำนานกรีกไซซี แม่มดสามารถเสกคนให้กลายเป็นหมู แต่ยูลิสซิบังคับแม่มดให้เสกสหายของเขาให้กลับคืนมาอยู่ในรูปกายของมนุษย์ตามเดิม ดังนั้นพระวิญญาณของพระเจ้าทรงปลุกบุตรน้อยหลงหายให้ตื่น เพียงแค่ทางนี้เท่านั้นถึงจะให้ชายคนนั้นมาถึงจุดที่สามารถรับรู้ได้ว่าตัวเองสิ้นหวังและน่ากลัว อัครสาวกเปาโลพูดถึง "การปลุก" ตอนที่เขากล่าวว่า

“เหตุฉะนั้นพระองค์ตรัสแล้วว่า ‘คนที่หลับอยู่จงตื่นขึ้นและจงฟื้นขึ้นมาจากความตาย และพระคริสต์จะทรงส่องสว่างแก่ท่าน’” (เอเปซัส 5:14)

แต่ "การตื่น" ของคนบาปอาจไม่ง่ายนะ และมีทางเดียวที่เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเขาพบกับสถานะการณ์เลวร้าย และค้นทางที่สามคือการกลับใจใหม่อย่างแท้จริง และอยู่ไกลกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถทำได้ แต่สามารถค้นพบโดยการรับฟังคำเทศนาเท่านั้น เหมือนอย่างที่ท่าน ปูริตาน ริชาร์ด แบ็กซ์เตอร์ (1615-1691) มักจะกล่าวเอาไว้ว่า นักเทศน์หลายคนอ้างโรม 10:13 ตอนพวกเขามาเทศนาถึงพระกิตติคุณ แต่แทบไม่มีใครที่คิดถึงในข้อต่อไปที่กล่าวว่า "พวกเขาจะได้ยินอย่างไรถ้าไม่มีการเทศน์"

นั่นคือเหตุผลที่เราจะต้องมีการประกาศเทศนาในคริสตจักร "พวกเขาจะได้ยินอย่างไรถ้าไม่มีการเทศน์" และนักเทศน์จำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการเทศนาประกาศให้กับผู้ที่ยังหลงหาย มีนักเทศน์ น้อยมาก รู้วิธีเตรียมคำเทศนาแบบการประกาศในทุกวันนี้ – น้อยมากจริงๆ! ผมไม่เคยได้ยินใครเทศนาในรูปแบบการประกาศมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว! มันได้กลายเป็นอดิตไปเสียแล้ว นั่นคือเหตุผลสำคัญที่คนส่วนใหญ่ที่เข้าร่วมคริสตจักรของเราอย่างสม่ำเสมอแต่ยังคงไม่ได้รับความรอด! “พวกเขาจะได้ยินอย่างไรถ้าไม่มีการเทศน์"

การเทศนาแบบประกาศแสดงให้เห็นคนบาปเห็นว่าพวกเขาจะพบกับความหายนะ ถ้าไม่เข้ามาที่พระเยซู จะต้องแสดงให้คนๆนั้นเห็นว่าบาปคือรากเง่าที่อยู่ในตัวของเขา ไม่ใช่ทำ "บาป" แต่ตัวของบาปนั้นได้แยกตัวเขาออกจากพระเจ้า ลักษณะของบาปคือการต่อต้านและความเห็นแก่ตัว คนบาปจะต้องเผชิญความจริงเหมือนกับบุตรน้อยหลงหาย ถึงการสิ่งที่ดขาทรยศพระเจ้า – และความเห็นแก่ตัวนั้นก่อปัญหาให้ตัวเขาเอง และตอนนั้นคนบาปเช่นนี้จะต้องได้ยินคำเทศนาจนกว่าเขาจะมาถึงจุดของการเปลี่ยนใจใหม่ นี้จะต้องเน้นจนกว่าคนบาปจะเริ่มจริงๆพยายามที่จะเปลี่ยนหัวใจของเขา ความพยายามของเขาที่เปลี่ยนหัวใจของเขามักจะล้มเหลว และมันก็เป็นความล้มเหลวที่ยังตื่นขึ้นมาคนบาปที่จะเป็นความจริงที่น่ากลัวเกี่ยวกับการอยู่โดดเดี่ยว เขาจะต้องได้รับการบอกซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าเขาสูญเสียทุกอย่างไป เขาจะต้องได้รับการบอกว่าจงมุ่งมั่นแสวงหาพระคริสต์ เขาจะต้องได้รับการบอกว่า การพยายามที่เปลี่ยนใจตัวเองนั้นจะต้องล้มเหลว และความล้มเหลวมีไปจนกระทั่งคนบาปตื่นขึ้นมาเพราะความจริงที่รู้ถึงความน่ากลัวเกี่ยวกับการโดดเดี่ยว เขาจะต้องได้รับการบอกซ้ำๆว่าเขาคือคนที่หลงหายไป เขาจะต้องได้รับการบอกให้แสวงหาพระคริสต์ เราต้องถูกบอกให้ “จงเพียรเข้าไปทางประตูคับแคบ…” (ลูกา 13:24) อย่างที่คนบาปมุ่งมั่นและล้มเหลว สุดท้ายเขาต้องมาถึงจุดที่รู้สึกว่าชีวิตที่ผ่านมาหลงหายไปไร้ความหวัง ความรู้สึกตรงนี้แหละจะนำเขาเข้ามาพบพระเยซู

นี่เรียกว่าการ “การเทศนาตามธรรมบัญญัติ” – ซึ่งในอดิตล้วนแต่ทำอย่างนี้ นักเทศน์สมัยก่อนทำกัน – จนกว่าคนบาปจะมากลับใจด้วยตัวเอง! นั่นคือความหมายที่พระธรรมข้อนี้กล่าวถึง “โดยการประพฤติตามพระราชบัญญัติ เพราะว่าโดยพระราชบัญญัตินั้นเราจึงรู้จักบาปได้” (โรม 3:3) ด้วยซ้ำไม่สามารถที่จะกลายเป็นคนที่ศักดิ์สิทธิ์ด้วยซ้ำไม่สามารถหาสันติภาพกับพระเจ้า - และโดยเฉพาะอย่างยิ่งด้วยซ้ำล้มเหลวที่จะมาถึงพระเยซู - คนบาปจะเริ่มคิดว่า "ผมกำลังหายไป" นี่คือการกระตุ้นที่เขาจะต้องมี! กล่าวย้ำถึงคนบาปกลับมาเป็นคนที่บริสุทธิ์ และหลงหายจากการมีสันติสุขในพระเจ้า – โดยเฉพาะความล้มในการแสวงหาพระคริสต์ – คนบาปเริ่มต้นคิกว่า “ฉันเป็นคนที่หลงหาย!” นี่ คือการตื่นขึ้นมา!

“เมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้วจึงพูดว่า…เราจะมาตายเสียเพราะอดอาหารเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา …” (ลูกา 15:17-18)

ณ จุดนี้เมื่อคนบาปได้รับความหวังทั้งหมด "ทำในสิ่งที่ถูกต้อง" หรือ "ทำในทางที่ถูก" – หลังจากนั้นเขาจะ "มาถึงตัวเอง" – ตื่นขึ้นและตระหนักว่าเขาจะต้องเข้ามาอยู่ในพระเยซู เพราะเขาไม่สามารถทำอะไรที่จะช่วยตัวเองให้รอดได้!

"และตอนที่เขามาสำนึก" บุตรน้อยคนนั้นมารับรู้ถึงความวุ่นวายที่เกิดขึ้นเหมือนโลกนี้คือนรก เหมือนอย่างที่ท่าน บัน เคยผ่านไปก่อนที่เขาจะ "มาสำนึกได้" ก่อนที่เขาจะมาเปลี่ยนแปลงชีวิตและเข้ามากลับใจใหม่อย่างแท้จริง "กลับใจ" ในภาษากรีก หมายถึง "การเปลี่ยนใจ" นี่คือ "ทางที่สาม" "ฉันไม่มีอะไรอีกแล้ว แต่เป็นคนบาปที่มักกบฏ!" "ฉันไม่มีความหวังอีก" ฉันอยู่ในภาวะวิกฤติ! ฉันต้องเปลี่ยน - แต่ฉันไม่สามารถ ฉันไม่สามารถ ฉันไม่สามารถ ฉันได้พยายาม! ฉันได้พยายาม! ฉันพยายามแต่มันยากมาก มันเป็นไปไม่ได้ ฉันไม่สามารถกลับใจ! ฉันไม่สามารถเปลี่ยน! ฉันไม่สามารถเปลี่ยน! ฉันไม่สามารถเปลี่ยใจของฉัน ฉันหลงหายไป ฉันหลงหายไป ! ฉันหลงหายไป" นั่นยังไม่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นให้กับลูเทอร์ บันยัน จอห์น เวสลีย์, ไวท์ฟิวล์ด สเปอร์เจียน และ ดร. จอห์น ซัน – และคนอื่นๆที่กลับใจใหม่อย่างแท้จริง? สำหรับการแก้ไขนี้ ควรไปอ่านหนึงสือของ โทมัส ฮูเกอร์ (1586-1647) ในหัวข้อ เตรียมจิตวิญญาณเพื่อพระคริสต์ สำหรับฉบับแก้ไขใหม่ ดู The Old Evangelicalism: Old Truths for a New Awakening โดยเอชเลนเมอร์เร (ป้ายโฆษณาแห่งความจริงเชื่อ, 2005)

สิ่งที่สำคัญคือต้องเข้าใจว่า ใช่ว่าผู้เชื่อทุกคนจะเหมือนกันไปหมด บางคนก็ใช้ระยะเวลาสั้นๆก็วามารถเชื่อเข้าใจได้ บางคนก็อาศันรัยัเวลายาวนานกว่าจะมาตักสินใจเชื่อ อย่างภรรยาของผมเองเธอมารับเชื่อครั้งที่ไกเข่าวประเสริฐ และผู้ช่วยศิษยาภิบาลของผมคือ ดร. คลิกตัน เอล ชาน แต่พระเจ้าทรงมีวิธีของพระองค์เองทำงานให้กับคนบาปเพื่อนำคนนั้นมากลับใจ บางคนก็ร้องไห้ก่อนจะมารับเชื่อ ความส่วนเป็นอย่างนั้น แต่แม่ของผมเองตอนมารับเชื่อกลับไม่เสียน้ำตาเลยแม้แต่หยดเดียว การกลับใจใหม่ที่แท้จริงนั้นมีสองจุดที่สำคัญใน – คนนั้นมารับรู้ถึงบาปของตน และได้รับการปลดปล่อยจากบาปเพราะเชื่อในพระเยซูคริสต์! ทั้งสองจุดนี้เกิดขึ้นจริงในตัวภรรยาของผมและ ดร. ชาน เช่นกันวกันกับ ลูเทอร์ บันยัน จอห์น เวสลีย์ จอร์จ ไวท์ฟิลด์ และ เปอร์เจียน – แม้ว่าเป็นระยะเวลาที่สั้นๆ แต่พวกทั้งหมดก็ขเหมือนถูกแทงจิตสำนึกก่อนที่จะมารับเชื่อในพระผู้ช่วยให้รอด คนที่แก้ตัวในบาปของพวกเขาหรือรแก้ไขแบบเล็กๆน้อยจะไม่มีทางที่จะกลับใจใหม่ได้

ดีมาก ผมดีใจที่คุณรู้สึกถึงบาปนั้น ตอนนี้บางทีคุณอาจจะค้นพบว่ากำลังเข้ามาพักในพระเยซู ตอนนี้บางทีคุณอาจจะรู้สึกถึงความรักของพระองค์ที่นำพระองค์ไปที่กางเขนเพื่อช่วยให้คุณรอด - เพราะคุณไม่สามารถช่วยตัวเองให้รอดได้! ตอนนี้คุณรู้สึกอยากเข้ามาที่พระเยซูผู้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนในฐานะเป็นตัวแทนของคุณ และเอาพระโลหิตของพระองค์ชำระบาปของคุณ! แล้วตอนนั้นคุณจะขอบคุณพระเยซูที่ทำให้ชีวิตของคุณมีคุณค่า - เพราะคุณได้รับพระคุณของพระองค์ ความรักของพระองค์และความรอดของพระองค์เพราะว่า "วิกฤตการแห่งการกลับใจใหม่" – นี่คือวิธีเดียวที่สามารถเปลี่ยนใจและช่วยกู้วิญญาณของคุณรอดพ้นจากจากการพิพากษาของพระเจ้า! ผมหวังว่าคุณจะเห็นถึงความแตกต่างระหว่าง "การเชื่อแบบง่าย" และ "อำนาจของความรอด" กับทางนี้ และผมอธิษฐานขอให้คุณมีประสบการณ์ตอนที่เข้ามาวางใจพระเยซู และรับการชำระบาปโดยพระโลหิตอันมีค่าของพระองค์ จากนั้นผมก็หวังว่าคุณจะสามารถร้องเพลงไปพร้อมกับ ชาร์ลส์ เวสลีย์

พระเยซู ผู้เป็นที่รักแห่งจิตวิญญาณของฉัน ฉันจะบินออกไป
   สู้ได้แม้ในขณะที่ต้องข้ามกับแม่ใหญ่หรือในขณะที่เผชิญพายุแรง!
พระผู้ช่วยทรงซ่อนข้าจากพายุแห่งชีวิตที่เป็นอดีต
   ทรงนำฉันเข้าสู่สวรรค์ ทรงรับจิตวิญญาณของฉัน

พระคุณของพระองค์ทรงปกคลุมความบาปของฉัน
   ขอทรงรักษาและขอจิตวิญญาณขาวสะอาดบริสุทธิ์
พระองค์เป็นน้ำพุแห่งชีวิตและมีอิสระยามอยูกับพระองค์
   ฤดูใบไม้ผลิตอเกิดขึ้นภายในใจของฉันไปชั่วนิรันดร์
(“Jesus, Lover of My Soul” by Charles Wesley, 1707-1788)

ถ้าคุณอยากจะคุยกับพวกเราเกี่ยวกับการรับการชำระบาปโดยโลหิตของพระเยซู กรุณาออกจากที่นั่งของคุณตอนนี้และเดินไปที่ด้านหลังของห้องนมัสการนี้ ดร. คาเกน จะนำพวกคุณไปยังอีกห้องหนึ่งเพื่อให้คำปรึกษาและอธิษฐานเผื่อ ไปได้ในตอนนี้ ดร. ชาน กรุณานำเราอธิษฐานเผื่อคนที่ไว้วางใจในพระเยซูนี้ด้วย อาเมน

(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร. ฮิวเมอร์ ได้ในแต่ละอาทิตย์ทางอินเตอร์เนทได้ที่
www.realconversion.com. (กดที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”

คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net
– หรือเขียนจดหมายส่งไปให้เขาที่ P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015.
หรือโทรศัพท์ถึงเขาที (818) 352-0452.

หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์
คุณสามารถนำไปใช้โดยที่ไม่ต้องขออนุญาตจาก ดร. ไฮเมอร์ส
แต่อย่างไรก็ตามข้อความทั้งหมดของ ดร. ไฮเมอร์ส
ที่อยู่ในรูปวิดีโอนั้นมีการสงวนลิขสิทธิ์และต้องได้รับการอนุญาตเท่านั้นถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย อาเบล พลูโฮมมี: ลูกา 15:14-19
ร้องเพลงเดี่ยวพิเศษโดย มร. เบนจามิน คินเคด กริฟฟิท์:
“Jesus, Lover of My Soul” (by Charles Wesley, 1707-1788).

“เตือนสำหรับการเทศนาแบบอรรถธิษบาย”
โดย แลน เฮช เมอรี่
A CAUTION FOR EXPOSITORY PREACHING

by Iain H. Murray
(Trustee of the Banner of Truth Trust)

จำนวนนักเทศน์ในในทุกวันนี้ "จะเทศนาแบบอรรถธิบาย" ตามยุคตามสมัยและนักเทศน์ส่วนใหญ่ก็ทำเช่นนั้น เปรียบเสมือนว่านี่เป็รูปแบบของธุรกิจคือการ จำกัด ตัวเองกับข้อความในพระคัมภีร์และให้ความรู้สึกธรรมดากับคนอื่น ๆ ที่มีอะไรมากขึ้นในการหารือที่สามารถเห็นบันทึกผู้ที่ไม่ได้รู้ว่าพระคัมภีร์เป็นพระวจนะของ พระเจ้า

แต่ "การเทศนาแบบอรรถธิบาย" จะมีความหมายที่มากไปกว่านั้น ความหมายกว้างๆคือการเทศนาให้กับสมาชิกแบบตามข้อพระคัมภีร์ หรือสอนพระวจนะแบบอทิตย์ต่ออาทิตย์ ขั้นตอนนี้ถ้าจะเทียบกับวิธีการของการเทศนาแบบเนื่อหาเป็นของส่วนบุคคล จะไม่มีการเชื่อมต่อโดยตรงกับคนอื่น ๆ ในวันอาทิตย์นั้ต่อๆปยังอาทิตย์หน้า หลังจากนั้นการเทศนาแบบนี้จึงไม่ค่อยเป็นที่นิยม นั่นคือ "การอรรถธิบาย"

แต่ทำไมลักษณะ "การเทศนาแบบอรรถธิบาย" จึงกลายเป็นที่นิยมยุคต่อมา? มีเหตุผลอยู่หลาย อย่าง อย่างแรกก็เชื่อว่าการฝึกฝนจะยกระดับมาตรฐานของการเทศนา เพราะเป็นตามหลักคำสอนในพระคัมภีร์ และกล่าวว่านักเทศน์ออกจากงานอดิเรกม้าและสมาชิกที่ฟังเข้าใจพระคัมภีร์และฉลาดมากขึ้น นักเทศน์จึงต้องศีกษาค้นคว้าเนื้อหาที่จะนำมาเทศน์ – ผู้เทศน์และผู้ฟังรู้ล่วงหน้าแล้ว เหตุผลที่นำมายืนยันก็เพื่อนักเทศน์ที่มีอายุน้อย สามารถเทศนาตั้งอยู่หลักในความเป็นจริงให้กับการนมัสการหรือการประชุมใหญ่ – ที่รู้จักกันดีคือนักเทศน์จะนำพระคัมภีร์เพียงตอนเดียวมาเทศน์และพูดน้อยๆ พวกเขายังนำคำเทศนาเหล่านั้นมาจำหน่ายขาย ดั้งนั้นจึงบอกว่านี่คือรูปแบบที่ดีที่สุดของการเทศนา และเป็นการเศนาในรูปแบบของการ “อรรถธิบายพระคัมภีร์” อย่างเป็นที่นิยมกัน1

อย่างไรก็ตามในมุมมองของเรา นั่นเป็นการเทศนาที่ไม่ก่อประโยชน์ใดอย่างที่จะกล่าวกังต่อไปนี้:

1. สันนิฐานว่านักเทศน์ทั้งหมดนี้สามารถเทศน์ตามบรรทัดเหล่านี้ แต่มนุษยนั้นมีของประทานที่แตกต่างกัน สเปอร์เจียนไม่คุ้นเคยกับการเทศน์แบบ "อรรถธิบายพระคัมภีร์" (การฟังพระวจนะในวัยหนุ่มของเขา บางทีคนฮีบรูได้เก็บพระวจนะเหล่านั้นให้กับพวกเขาเอง!) และเขาก็ตัดสินใจว่านั่นไม่ใช่ของประทานที่เขามี นั่นคือเหตุผลที่จะคิดว่าการเทศนาแบบ "อรรถธิบาย" ไม่ใช่ของประทานธรรมดาที่นักเทศน์จะต้องมาคิด แม้ ดร. ลอยด์ โจนส์เขาเริ่มทำพันธกิจตอนอายุ 20 ปี และเขาก็พยายามลดระดับการเทศฯแบบอรรถธิบายลง

2.   ข้อโต้แย้งว่า "การเทศนาแบบอรรถธิบาย" เป็นวิธีการที่ดีที่สุดเพื่อให้ครอบคลุมเนื้อหาในพระคัมภีร์ให้มากที่สุด และเชื่อมโยงกับกับความคิดที่ว่าวัตถุประสงค์สำคัญของการเทศนาคือการพูดหรือใช้พระคัมภีร์มากเท่าที่มากได้ แต่ความคิดนั้นจะต้องมีการท้าทาย การเทศนามีเน้นหนักสิ่งที่จำเป็นต้องได้มากกว่าแค่การสอนให้ทำตาม ต้องอาศัยความพยายาม การปลุกให้ตื่น และกระตุ้นชายและหญิงเพื่อให้มีชีวิตแห่งการเป็นคริสเตียนที่เติบโต และเป็นนักเรียนพระคัมภีร์ประจำ ถ้านักเทศน์รับงานของเขาแบบเป็นการแนะนำมากกว่าการเทศนาแบบกระตุ้น และในแต่ละสัปดาห์นั่นมันง่ายเหมือนอยู่ใน "ชั้น" เรียน – และก็จบลงที่นั่น แต่การเทศนาที่แท้จริงต้องมีการจุดชนวนเป็นกระบวนการอย่างต่อเนื่อง

3.    สิ่งที่สำคัญ โดยเฉพาะ – คริสตจักรในสกอตแลนด์ – มีความแตกต่างระหว่าง "การเทศน์" และ "การบรรยาย" คำว่า "บรรยาย" ไม่มีความหมายใด ๆ และตอนนี้ก็คือการเทศนา”แบบอรรถธิบาย” นั่นเอง การรักษาที่ ต่อเนื่องของทางเดินหรือหนังสือ ข้อคิดของจอห์นบราวน์ของ Broughton สถานที่เอดินเบิร์ก เกิดขึ้นในลักษณะนี้ ดังนั้นตอน ลอยด์ โจนส์กล่าวถึงพระธรรมโรมเขาเรียกแบบนี้ว่าอรรถธิบายแบบ "บรรยาย" ความแตกต่างระหว่างการเทศนาและการบรรยายในมุมมองของเขานั้นคือ บทเทศนาจะเป็นรูปกลมความแตกต่างคือจบสมบูรณ์ในตัวมันเอง - ในขณะที่การบรรยายในพระคัมภีร์นั้นจะมีมากไปกว่านั้นและต้องทำต่อเนื่อง ในทางตรงกันข้ามกับพระธรรมโรมของเขา ในความรู้สึกวของลอยด์โจนส์เกี่ยวกับเนื้อหาในพระธรรมเอเฟซัสของเขานั้น จะเป็นเป็นคำเทศนาและทุกคนเปรียบเทียบขั้นตอนของเขาในทั้งสองซีรีส์ (พระธรรมแรกสำเร็จในคืนวันศุกร์ และในส่วนที่สองสำเร็จในเช้าวันอาทิตย์) และสามารถเห็นถึงความแตกต่าง นี่ไม่ได้ลดค่าพระธรรมโรมเขา แต่สังเกตุที่จุดประสงค์ที่มีความแตกต่างกัน

4.  ในตอนท้ายของวันนั้น จุดเด่นของการเทศนานั้นก็คือสามารถเป็นประโยชน์ให้แก่ผู้ฟัง อย่างเต็มและมากที่สุด และถ้านำสองอย่างนี้มาเชื่อมต่อกัน จะเห็นว่า "การอรรถธิบาย" เป็นวิธีการไม่ค่อยสร้างประโยชน์มากนัก เพราะว่าไม่คอ่ยเป็นที่นิยมในระยะยาว และผมคิดว่าเหตุผลนี้ก็ชักเจนอยู่แล้ว: เนื้อหาที่จดจำนั้นผู้ฟังกลับลืมมันไป บางครั้งก็เป็นความจริงนั้นคือเนื้อหานั้นเขียนแบบบรรทัดแทนที่จะเป็นแบบเป็นข้อๆ – ตัวอย่างเช่นคำอุปมาหนึ่งในพระกิตติคุณ – ถ้าเป็น “การเทศนาแบบอรรถธิบาย” แต่ละตอนในแต่ละข้อนั้นก็จะเป็นแบบ “ข้อความ” มากกว่านำความคิดแบบรวมทั้งหมดมากล่าวในการเทศนานั้นจเนื้อหาทั้งหมดที่น่าจะชัดเจน (ซึ่งจะเห็นได้จากบทเทศนาของสเปอร์เจียน) กลับที่จะหายไปหมด ถ้าเป็นเช่นนี้นักเทศน์กลายเป็นเพียงนักอรรถธิบายพระคัมภีร์ บางครั้งนักเทศน์ก็นำเนื้อหาเฉพาะจุดที่เขาเองนั้นสนใจ แต่ผู้ฟังอาจจะเข้าไม่ดีพอหรืออาจจะดีไปกว่านักเทศน์เสียอีก โดยใช้เนื้อหาในพระคัมภีร์ตอนเดียวกัน แต่ก็อาจจะกล่าวได้ว่า "นั่นไม่ใช่พระธรรมเอเฟซัสแบบของ ลอยด์ โจนส์ รวมทั้งการอรรถธิบายและการเทศนาตามเนื้อหาหรือเปล่า? เขาบังคับใช้เพียงบางความคิดและแค่ครั้งเดียว และยังดำเนิน ต่อเนื่องกัน – ทำไมคนอื่นถึงไม่สามารถเช่นเดียวกันนั้น?" คำตอบก็คือ ลอยด์ โจนส์ ได้ นำต้นฉบับเดิมและใช้อรรถธิบายพระธรรมเอเฟซัส แต่ตรงนี้คือชนิดของการเทศนาที่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับของประทานของนักเทศน์ มีคนมากมายได้เทศนาแบบใช้พระคัมภีร์ข้อต่อข้อ – จากพระคัมภีร์ตอนใดตอนหนึ่งที่มีผลใกล้จะหายนะ น่าจึงเป็นเหตุผลที่ทำไมมีการ "ปฏิรูป" การเทศนาและมีการวิพากษ์วิจารณ์ว่า "หนัก" หรือ ธรรมดาไร้ "ประสิทธิภาพ"ไร้ความทะเยอทะยานถ้าเทศน์แบบ “อรรถธิบาย"

5.   นักเทศน์หรือนักประกาศจะไม่นิยมแบบ "อรรถธิบาย" ในความเป็นจริงคือจะไม่ใช้แบบ" การอรรถธิบายพระคัมภีร์" นักเทศน์ประกาศที่แท้จริงนั้นจะพูดความจริงที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับจิตใจของผู้ฟัง สามารถบอกว่าถ้านี้เป็นจริง มันเป็นความผิดของคน ไม่ใช่ เนื้อหาในพระคัมภีร์ที่ว่าพระคัมภีร์ทุกตอนได้รับการดลใจจากพระเจ้าหรือเปล่า? และจริงหรือไม่ที่พระวิญญาณของพระเจ้าทรงปลุกคนบาปให้ตื่นขึ้นมา? บางที่อาจเป็นเช่นนั้น แต่ก็เป็นที่ชัดเจนที่พระคัมภีร์บอกว่าเนื้อหาทั้งหมดใช้กฃประกาศให้กับผู้ที่ไม่เป็คริสเตียน (เห็นตัวอย่างจากการเป็นพยานของพระเยซุ) และนั่นเป็นความจริง และข้อความเหล่านี้มีความโดดเด่นพิเศษต่อพันธกิจแห่งการประกาศ เป็นเนื้อหาที่คนในสมัยก่อนใช้นำคนมารับเชื่อและกลับใจใหม่อย่างเช่น – ไวท์ฟิวท์ แมคเชนี สเปอร์เจียน ลอยด์ โจนส์ และคนอื่นๆ ในทึกวันนี้คนเหล่านี้กลับถูกลืม เมื่อไหร่ที่คือครั้งสุดท้ายที่คุณ ได้ยินคำเทศนา "อะไรคือสิ่งที่ดีต่อวิญญาณของผู้ที่ยังไม่เชื่อ"?


ในที่นี้ไม่ใช่ข้อโต้แย้งว่าแนวคิดของการเทศฯว่าใครถูกใครผิด เพียงแค่บอกว่าอะไรที่ไม่ควรนำมาใช้เทศน์บนธรรมมาสน์ ขอให้นักเทศน์ทุกคนค้นหาสิ่งที่ดีที่สุดมาทำ และคือความจริงเกี่ยวกับการเทศนาที่เต็มไปด้วยความเชื่อและพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างที่มีความจำเป็นอย่างมากในเวลานี้ มากกว่าเป็นเพียงแค่การเรียนการสอนที่ถูกต้องเท่านั้น เราต้องการคำเทศนี่เปลี่ยนแปลงสมาชิกและนำคนมาเชื่อพระเจ้า

สิ่งที่ท้ายที่เกี่ยวข้องกับที่กล่าวมาก็คือนิยาย ผมอยากปิดปิดด้วยการเสนอความเห็นถึงนักเทศน์ยิ่งใหญ่คนหนึ่งในศตวรรษที่ผ่านมาตือ อาร์ บี ไคเปอร์ ในชีวประวัติของเขาชี้ให้เห็นว่าเขาปฏิเสธการเทศนาแบบ "อรรถธิบาย" ที่ชอบเอาพระคัมภีร์มาประยุกต์ใช้ เขายังกล่าวต่อว่า:

“มันเป็นข้อผิดพลาดอย่างร้ายแรงที่จะแนะให้เทศนาแบบอรรถธิบายพระคัมภีร์อย่างที่เข้าใจว่ากันว่าเพราะถูกต้องตามกฎหมาย หรือไม่เป็นที่น่าพอใจ หลังจากพวกอนุรักษ์นิยมจำนวนมากยกย่องว่าเป็นวิธีการที่ดีที่สุด การเทศนาทุกอย่างต้องเป็นแบบอรรถธิบาย .... นอกจากนี้เขายังคัดค้านที่จะแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับการเทศนาที่ขึ้นอย๔กับหนังสืออรรถธิบายพระคัมภีร์ (บางที่ใช้แค่บทเดียว) และเรียกว่าเป็นการอรรถธิบายพระคัมภีร์ ตามไคเปอร์และการเทศนาเช่นนี้มีข้อผิดพลาดอยู่มากมาย การอรรถธิบายนั้นมีความวิเศษถ้ามีข้องอ้างอิงที่ดีพอและครอบคลุมทั่ว และการเทศน์ดังกล่าวมักจะขาดความเป็นหนึ่ง ผู้ฟังไม่เข้าใจชัดเจนอย่างที่อยู่ในบทเทศนา”2

ไม่ว่าจะนำพระธรรมบทไหนมาใช้ก็ตาม วิธีการที่พระ ไคเปอร์ได้ให้นำแนะนำดังต่อไปนี้:

“"ง่าย ๆ ... เป็นการแสดงความคิดเห็นที่แสดงความเคารพและตอบสนองที่ดี แรงบันดาลใจและความกระตือรือร้น ตรรกะเป็นความเชื่อที่ทำให้เกิดความสับสน ขณะที่นักเทศน์คนหนึ่งกำลังใส่บางอย่างเข้าไปในใจของผู้ฟัง ขอให้เราหยุดพวกที่ชอบครอบงำผู้คนของเรา ให้เราเทศนาพระวจนะที่แม้แต่เด็กตัวเล็กก็ยังสนใจและอยากฟังเรามากกว่าเป็นการวาดภาพ แต่เราเทศนาที่ออกมาจากใจนี่คือสิ่งที่ต้องการเป็นอันดับแรก"3

อ้างอิง

1. ผมไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นสิ่งที่กล่าวมานี้ “การอรรถธิบาย” ก็ดีอย่างที่มีการตีพิมพ์ แต่มันอาจจะเป็นอันตรายถ้าจะรุปว่านักเทศน์ที่ดีผู้ฟังก็จะเป็นผู้ฟังที่ดีไปด้วย เพราะการอ่านและการอ่านคือสองอย่างที่แตกต่างกัน

2. Edward Heerema, R.B., A Prophet in the Land (Jordan Station, Ontario [Paideia, 1986]), pp. 138–9.

3. Ibid, p. 204.


โครงร่างของ

ทางที่สาม – วิกฤตแห่งการกลับใจใหม่

โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์

“และพระองค์ตรัสว่า “ชายคนหนึ่งมีบุตรชายสองคน บุตรคนน้อยพูดกับบิดาว่า ‘บิดาเจ้าข้า ขอทรัพย์ที่ตกเป็นส่วนของข้าพเจ้าเถิด’ บิดาจึงแบ่งสมบัติให้แก่บุตรทั้งสอง ต่อมาไม่กี่วัน บุตรคนน้อยนั้นก็รวบรวมทรัพย์ทั้งหมดแล้วไปเมืองไกล และได้ผลาญทรัพย์ของตนที่นั่นด้วยการเป็นนักเลง เมื่อใช้ทรัพย์หมดแล้วก็เกิดกันดารอาหารยิ่งนักทั่วเมืองนั้น เขาจึงเริ่มขัดสน เขาไปอาศัยอยู่กับชาวเมืองนั้นคนหนึ่ง และคนนั้นก็ใช้เขาไปเลี้ยงหมูที่ทุ่งนาเขาใคร่จะได้อิ่มท้องด้วยฝักถั่วที่หมูกินนั้น แต่ไม่มีใครให้อะไรเขากินเมื่อเขารู้สำนึกตัวแล้วจึงพูดว่า ‘ลูกจ้างของบิดาเรามีมาก ยังมีอาหารกินอิ่มและเหลืออีก ส่วนเราจะมาตายเสียเพราะอดอาหารจำเราจะลุกขึ้นไปหาบิดาเรา และพูดกับท่านว่า “บิดาเจ้าข้า ข้าพเจ้าได้ทำผิดต่อสวรรค์และทำผิดต่อหน้าท่านด้วย ข้าพเจ้าไม่สมควรจะได้ชื่อว่าเป็นลูกของท่านต่อไป” (ลูกา 15:11-19)

(ยอห์น 5:39, 40; ลูกา 15:17; 2 ทิโมธี 3:15; เอเฟซัส 2:8;
กิจการ 16:31; โคโลสี 1:17)

I. ประการแรก ที่นี่คืออธิบายคน "ชั่วร้าย" ที่ถูกเปิดเผโดนวิธีที่สาม "วิกฤตแห่งการกลับใจใหม่" ลูกา 15:13; อิสยาห์ 53:3; โรม 8:7; เอเฟซัส 2:1; โรม 3:9, 10; อิสยาห์ 1:5, 6; ลูกา 15:15, 16; เอเฟซัส 2:2, 5; ลูกา 15:24.

II. ประการที่สอง ที่นี่คือคำอธิบายของการ "ตื่นขี้นมา" ของคนบาปในยามทุกข์ยาก เขาค้นหาหนทางที่สาม "วิกฤติกแห่งการกลับใจใหม่" ลูกา 15:17; เอเฟซัส 5:14; โรม 10:14; ลูกา13:24; โรม 3:20; ลูกา 15:17-18.