เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
เดินผ่านเปลิวไฟกับพระบุตรของพระเจ้า! WALKING THROUGH THE FIRE WITH THE SON OF GOD! โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเช้าวันของพระเป็นเจ้าที่ 29 เดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 ณ “พระองค์ตรัสตอบและกล่าวว่า ดูเถิด เราเห็นสี่คนถูกปล่อย กำลังเดินอยู่กลางไฟ และเขาทั้งหลายก็ไม่เป็นอันตราย และรูปร่างของคนที่สี่นั้นคล้ายคลึงกับพระบุตรของพระเจ้า” (ดาเนียล 3:25) |
ผมจะเริ่มเทศน์โดยการกล่าวถึงในทางที่ผิดก่อน เรามักถูกสอนในสถาบันพระคริสตธรรมให้เริ่มต้นการเทศนาโดยพูดบางสิ่งบางอย่างที่สามารถดึงดูดความสนใจของผู้ฟังก่อน แต่ผมจะทำลายกฎของการเตรียมเทศน์หรือภาษาอังกฤเรียกว่า homiletics แล้วให้บทเรียนเตรียมเทศน์แบบการอรรถิบาย – ถ้าคุณไม่รู้จักคำเหล่านั้นนี้มันก็จะดูน่าเบื่อ แต่ผมจะให้คำนิยามของคำว่า Homiletics หมายถึงศึกษาเรียนรู้การเทศน์ นั่นคือศึกษาเกี่ยวกับการเตรียมบทเทศนาและการนำไปประยุกต์ใช้ การอรรถธิบายพระคัมภีร์หรือ Hermeneutics คือการศึกษาวิธีการตีความพระคัมภีร์ – นั่นคือกฎของการอรรถธิบายพระคัมภีร์ ดร. เอ็ม อาร์ ดีฮาน (1891-1965) ได้ให้สามกฎที่เกี่ยวข้องกับการอรรถธิบายแบบ hermeneutics ไว้ดังนี้: (1) พระคัมภีร์ทุกตอนมีเพียงแค่หนึ่งหลักอรรถธิบาย ผมจะใช้กฏแห่งการอธิบายพระคัมภีร์ทั้งสามข้อของ ดร. ดีฮาน มาใช้เป็นโครงร่างในบทเทศนานี้ I. ประการแรก พระคัมภีร์ทุกตอนมีเพียงแค่หนึ่งหลักอรรถธิบาย เนบูคาดเนซาร์คือกษัตริย์ของบาบิโลน สมัยก่อนศตวรรคที่หกนั้น เนบูคาดเนซาร์ได้ส่งกองทัพของพระองค์ไปล้อมกรุงเยรูซาเล็ม ทหารของพระองคืได้จับกุมเอากษัตริย์แห่งยูดาห์เนรเทศไปขังที่บาบิโลน พวกเขาค้นพระวิหารของชาวยิวและเอานิเวศของพระเจ้ากลับไปยังบาบิโลน เนบุคาดเนซายังสั่งให้กองทัพของเพระองค์กวดต้อนชาวยิวไปเป็นทาสเชลยที่บาบิโลน แต่ เนบูคาดเนซาร์ สั่งคนใช้ที่ชื่ออาเชนาส์ ให้เลือกชายหนุ่มที่จะฉลาดและดีที่สุดและสอนพวกเขาให้พูดภาษาชาล์ดีน และเรียนรู้กลักวิทยาศาสตร์ของชาวบาบิโลน เพื่อพวกเขาจะเป็นคนพิเสษและสามารถอยู่ในพระราชวังของกษัตริย์และคอยรับใช้ ดังนั้นผู้ชายทั้งสี่คนที่ถูกเลือกได้แก่แดเนียล, ชัดรัคเมชาคและอาเบดโก พระเจ้าทรงอวยพระพรชายหนุ่มชาวยิวทั้งสี่เหล่านี้ตอนที่เนบูคาดเนซาร์ถามพวกเขา “ในบรรดาเรื่องราวอันเกี่ยวกับปัญญาและความเข้าใจ ซึ่งกษัตริย์ตรัสถามเขาทั้งหลาย ทรงเห็นว่าเขาทั้งหลายดีกว่าพวกโหร และพวกหมอดู ซึ่งอยู่ในอาณาจักรทั้งสิ้นของพระองค์สิบเท่า” (ดาเนียล 1:20) กษัตริย์ทรงวางใจและเชื่อในการตัดสินใจของพวกเขาและใช้พวกเขาให้เป็นที่ปรึกษาให้กับพระองค์ ในความเป็นจริงแล้วกษัตริย์เนบูคาดเนซาร์ทรงตั้งให้ดาเนียลเป็นผู้แทนของพระองค์ครอบครองทั่วบาบิโลนเป็นรองแค่พระองค์เท่านั้น กษัตริย์นั้นยังพระราชทานให้ชัดรัคเมชาคและ อาเบดโก ทำงานสูงสุดในรัฐบาลภายใต้ผู้นำของดาเนียล ตอนนี้กษัตริย์ได้หล่อรูปเคารพทองคำสูงเก้าสิบฟุตเพื่อให้ผู้คนได้บูชา ผู้นำทั่วบาบิโลนมากราบไหว้บูชาแถบไม่เว้นวัน กษัตริย์เนบูคาดเนซาร์มีรับสั่งประกาศว่าทุกคนที่ไม่กราบไหว้นมัสการรูปเคารพนั้น "ให้โยนเข้าไปในเตาที่ไฟลุกอยู่" (แดเนียล 3:11) ชัดรัค เมชาคและอาเบเดโก ได้นมัสการพระเจ้าเยโฮวาห์ของอิสราเอล ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ก้มกราบนมัสการรูปเคราพของกษัตริย์ นักดาราศาสตร์ชาวเคลเดียที่อิจฉาชาวยิวเหล่านี้อยู่แล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงเดินไปที่กษัตริย์และกล่าวว่า “มียิวบางคนที่พระองค์ได้แต่งตั้งให้จัดราชการในเมืองบาบิโลน คือชัดรัค เมชาค และเอเบดเนโก โอ ข้าแต่กษัตริย์ คนเหล่านี้ไม่เชื่อฟังพระองค์ เขามิได้ปฏิบัติพระของพระองค์ หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งไว้” (ดาเนียล 3:12) กษัตริย์เนบูคาดเนซาร์ได้ฟังดังนั้นก็โกรธมาก พระองค์รับสั่งให้เรียกชัดรัคเมชาคและ อาเบดโก พระองค์ทรงบอกพวกเขาว่าหากพวกเขาไม่ก้มลงกราบไหว้รูปเคารพของพระองค์ ก็จะทิ้งเขาลงปในเตาที่ไฟลุกอยู่ คำตอบที่พวกเขาได้ตอบกษัตริย์เป็นนั้นช่างชาญฉลาดมากๆ หนึ่งในมัคนยกของพวกเราที่ชื่อ เมรเซีย ทราบดีว่าผมชอบคำตอบของชายสี่คนนี้มาก และถูกเขียนไว้บนโต๊ะทำงานของผมที่นห้องทำงานของผมมาเป็นเวลาหลายปีแล้ว พวกเขาตอบว่า “ถ้าพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ผู้ซึ่งพวกข้าพระองค์ปรนนิบัติ สามารถช่วยพวกข้าพระองค์ให้พ้นจากเตาที่ไฟลุกอยู่ โอ ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ก็จะทรงช่วยพวกข้าพระองค์ให้พ้นพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น โอ ข้าแต่กษัตริย์ ขอพระองค์ทรงทราบว่า พวกข้าพระองค์จะไม่ปรนนิบัติพระของพระองค์ หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งขึ้น” (ดาเนียล 3:17 และ 18) พระเจ้าของเราทรงสามารถจะช่วยกู้เราได้ พวกข้าพระองค์จะไม่ปรนนิบัติพระของพระองค์ หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งขึ้น กษัตริย์นั้นก็โกรธที่พวกเขาตอบพระองค์เช่นนั้น พระองค์จึงสั่งคนรับใช้ให้ทำเตาไฟให้ร้อนมากๆ พระองค์ก็รับสั่งให้ทหารของพระองค์ให้โยนชาวยิวสามคนนี้ลงไปในเตาไฟที่ลุกโชติช่วง สุดท้ายกษัตริย์ได้ทอดพระเนตรมองลงไปในเตานั้น พระองค์ก็ประหลาดใจมากที่สิ่งที่ทรงเห็น! พระองค์ได้กล่าวว่า ““ดูเถิด เราเห็นสี่คนถูกปล่อย กำลังเดินอยู่กลางไฟ และเขาทั้งหลายก็ไม่เป็นอันตราย และรูปร่างของคนที่สี่นั้นคล้ายคลึงกับพระบุตรของพระเจ้า” (ดาเนียล 3:25) กษัตริย์นั้นได้เอาพวกเขาออกจากเตาไฟ พระองค์ก็สรรสเริญพระเจ้าของอิสราเอล พระองค์ทรงตรัสว่าพระเจ้าได้ส่ง "ผู้ได้ส่งทูตสวรรค์ของพระองค์มาช่วยผู้รับใช้ของพระองค์ให้พ้น ผู้วางใจในพระองค์" (แดเนียล 3:28) นอกจากนี้ เนบูคาดเนซาร์ ยังเรียกชายทั้งสามคนนี้กลับมาทำงานเดิมของพวกเขา พระองค์ยังทรงออกกฤษฎีกาว่าห้ามไม่ให้ใครพูดต่อต้านพระเจ้าของอิสราเอล และพระองค์ตรัสว่า "เพราะว่าไม่มีพระเจ้าอื่นที่จะสามารถช่วยให้พ้นในทางนี้ได้" (แดเนียล 3:29) นั่นคือหลักอรรถธิบายพระคัมภีร์ แต่ยังมีอีก! II. ประกาศที่สอง พระคัมภีร์ทุกตอนถูกนำไปประยุกต์ใช้ที่หลากหลายกันออกไป มีอรรถธิบายเดียว แต่ประยุกต์ใช้ที่หลากหลาย” – นั่นคือความจริงตามหลักการอถรรธิบายพระคัมภีร์แบบ hermeneutics – นั่นคือวิทยาศาสาตร์แห่งการอธิบายพระคัมภีร์ ผมคิดถึงบางอย่างที่สามารถนำพระคัมภีร์ตอนนี้ไปประยุกต์ใช้ตามนี้ สิ่งแรก นั่นคือชาวยิวคนอื่นๆที่ถูกการเนรเทศไปยังบาบิโลน พวกเขาถูกทดลองให้รับเอาวัฒนธรรมของคนต่างชาติที่อยู่รอบๆของพวกเขา และยกเลิกเชื่อพระเจ้า ที่เห็นได้ชัดคือดาเนียลที่อยู่ในถ้ำสิงโตและชายฮีบรูสามคนถูกโยนในเตาเผา นั่นคือสิ่งแรกที่สอนเราถึงชาวยิวในบาบิโลนถูกบังคับให้ทิ้งมรดกและความเชื่อของพวกเขา แต่พระคัมภีร์ตอนนี้ก็สามารถประยุกต์ใช้ให้กับคริสเตียน เรากำลังอาศัยอยู่ในยุคเวลาที่มีพวกอีเวนเจลิคอล์เพิ่มมากขึ้น ตลอดชีวิตของการรับใช้ของผมๆเห็นสมาชิกในคริสตจักรของเราเพิ่มมากขึ้นที่เลิกเข้าร่วมประชุมอธิษฐานในช่วงระหว่างกลางสัปดาห์ และเลิกเข้ามร่วมนมัสการใช้ช่วงเย็น ความจริงตามที่ผมเห็นคือเกือบทุกคริสตจักรไม่มีนักเทศน์ที่เป็นแบบนักประกาศอีกต่อไป นักเทศน์ส่วนใหญ่จะเทศนาแบบง่ายๆและจืดๆแม้แต่คริสตจักรใหญ่ๆของเรา ผมเห็นคริสตจักรเลิกใช้บทเพลงนมัสการและบทเพลงดีที่สร้างความเชื่อให้เรา ฉันเห็นพวกเขาร้องเพลงท่อนซ้ำไปซ้ำมาซึ่งไม่ได้ช่วยเสริมสร้างจิตวิญญาณเลย ผมก็เห็นผู้รับใช้ที่ไม่ยอมใส่เน็ทไทท์และสวมแต่เสื้อกีฬาขึ้นไปการเทศนา แล้วก็บอกให้สมาชิกเรียกชื่อของพวกเขาเท่านั้น สิทธิอำนาจและความศักดิ์สิทธ์แห่งการเทศนานั้นได้กลายเป็นอดิต ผมเห็นพวกเขาปล่อยให้อนุชนเดินเข้าคริสตจักรโดยให้พวกผู้ชายสวมเสื้อยืดและให้ผู้หญิงใส่กระโปรงสั้นๆ อนุชนในคริสตจักรต่างๆของเราตอนนี้ก็ดูเหมือนเป็นแมงดาและโสเภณีและติดยาเสพติดซึ่งผิดเพี้ยนจากมาตรฐานตามของแบ็บติสต์! เราเริ่มต้นรับเอาและกำลังถูกกลืนหายไปกับโลก เรากลายเป็นแบบเหมือนกับชาวโลกมากจนคุณไม่สามารถบอกถึงความแตกต่างระหว่างตริสเตียนและชาวโลก! ใช่นั่นเป็นสิ่งที่ไม่ดี! ชายฮีบรูทั้งสามคนในพระธรรมดาเนียลพูดกับเราว่า "เราจะไม่รับเอาสิ่งอื่น ที่จะอยู่ร่วมทำงานกับชาวโลกและไปโรงเรียนกับชาวโลกและสุภาพเหมือนกับชาวโลก แต่เราจะไปไกลกว่านั้น - ไกลออกไป - ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม"! “ถ้าพระเจ้าของพวกข้าพระองค์ผู้ซึ่งพวกข้าพระองค์ปรนนิบัติ สามารถช่วยพวกข้าพระองค์ให้พ้นจากเตาที่ไฟลุกอยู่ โอ ข้าแต่กษัตริย์ พระองค์ก็จะทรงช่วยพวกข้าพระองค์ให้พ้นพระหัตถ์ของพระองค์ แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น โอ ข้าแต่กษัตริย์ ขอพระองค์ทรงทราบว่า พวกข้าพระองค์จะไม่ปรนนิบัติพระของพระองค์ หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งขึ้น” (ดาเนียล 3:17 และ 18) เราจะยืนขึ้นและปกป้องพระคัมภีร์ตอนที่ถูกโจมตี เราจะตอบอาจารย์ที่สอนตามวิทยาลัยที่พยายามที่จะผลักดันหลักวิวัฒนาการและต่ำช้าลงเข้าไปในลำคอของเรา เราจะไม่เข้าร่วมแห่ขบวนพาเหรดและจะไม่ดูแม้แต่ 5 นาทีตราบใดที่พวกเขายังโฆษณาชวนเชื่อต่อต้านคริสเตียน เราจะไม่เข้าร่วมแห่ขบวนพาเหรดตราบใดที่พวกเขายังโจมตีและปฏิเสธพระคัมภีร์ที่เป็นพื้นฐานแห่งความเชื่อของเรา! และถ้าพวกเขายังสร้างปัญหาให้กับเรา -จะเป็นตามนั้น! “แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น โอ ข้าแต่กษัตริย์ ขอพระองค์ทรงทราบว่า พวกข้าพระองค์จะไม่ปรนนิบัติพระของพระองค์ หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งขึ้น” (ดาเนียล 3:18) และเราจะพูดให้ชาวโลกที่ยังหลงหายไปว่า "เราจะไม่เข้าร่วมการเต้นรำในโรงเรียนของคุณ เราจะไม่สูบบุหรี่ในบ้องของคุณแม้ว่าจะถูกกฎหมายก็ตาม! เราจะไม่มองไปที่สื่อลามกของคุณ! เราจะไม่ทำตามตัวอย่างของคุณที่มีการทำแท้ง! เราจะไม่ขาดการไปคริสตจักรเพื่อไปงานปาร์ตี้ของคุณ ไม่เคย! ไม่เคย! ไม่เคย! เราจะไม่ทำสิ่งเหล่านั้น" "พระเจ้าของเราผู้ที่เรารับใช้ทรงสามารถช่วยเรา ... แต่ถ้าไม่เป็นเช่นนั้น โอ ข้าแต่กษัตริย์ ขอพระองค์ทรงทราบว่า พวกข้าพระองค์จะไม่ปรนนิบัติพระของพระองค์ หรือนมัสการปฏิมากรทองคำ [ของ] ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งขึ้น!” ไมเคย! ไม่เคย!ไมเคย! ไม่เคย!ไมเคย! ไม่เคย!ไมเคย! ความเชื่อของบรรพบุรุษของเรา! ยังคงดำรงอยู่ เราจะเดินผ่านเตาไฟกับพระบุตรของพระเจ้า! เราจะเดินผ่านไฟแม้ว่าพระเจ้าจะให้เราถูกเผาไหม้! เราจะไม่กราบไหว้พระเจ้าหรือราคะตัณหา สื่อลามกยาเสพติดและวัตถุนิยมของคุณ เราจะเดินผ่านเตาไฟกับพระบุตรของพระเจ้า ความเชื่อบรรพบุรุษของเรา! นั้นศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นก็ประยุกต์ใช้กับคริสเตียนผู้ที่กำลังเดินผ่านการทดลองอย่างหนัก อย่าให้ผู้ใดบอกว่าชีวิตของคริสเตียนที่แท้จริงเป็นเรื่องที่ง่ายเสมอไป พระคริสต์ตรัสกับเราว่า “ขณะนั้นพระเยซูจึงตรัสกับเหล่าสาวกของพระองค์ว่า “ถ้าผู้ใดใคร่ตามเรามา ให้ผู้นั้นเอาชนะตัวเอง และรับกางเขนของตนแบกและตามเรามา” (มัทธิว 16:24) และอัครทูตเปาโลกล่าวว่า “เราทั้งหลายจำต้องทนความยากลำบากมากจนกว่าจะได้เข้าในอาณาจักรของพระเจ้า” (กิจการ 14:22) ถ้าคุณคือสาวกที่แท้จริงของพระคริสต์ คุณก็จะเดินผ่านการทดลองหลายอย่าง แต่พระคริสต์ตรัสว่า “เมื่อเขาจะติเตียนข่มเหงและนินทาว่าร้ายท่านทั้งหลายเป็นความเท็จเพราะเรา ท่านก็เป็นสุขจงชื่นชมยินดีอย่างเหลือล้น เพราะว่าบำเหน็จของท่านมีบริบูรณ์ในสวรรค์ เพราะเขาได้ข่มเหงศาสดาพยากรณ์ทั้งหลายที่อยู่ก่อนท่านเหมือนกัน” (มัทธิว 5:11-12) ไม่ว่าคุณจะพบกับการทดลองอะไรก็ตาม พระเยซูตรัสว่า “เราจะไม่ละท่านหรือทอดทิ้งท่านเลย” (ฮีบรู 13:5) โปรดจำไว้ว่ามีชายคนที่สี่ในเตาไฟกับผู้ชายชาวฮีบรูสามคน “รูปร่างของคนที่สี่นั้นคล้ายคลึงกับพระบุตรของพระเจ้า” (ดาเนียล 3:25) พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าทรงอยู่กับพวกเขาในเตาไฟที่ลุกอยู่! พระเยซูทรงปรากฏอยู่ในรูปกายก่อนที่จะมาบังเกิดเป็นมนุษย์และทรงช่วยพวกเขาให้รอดพ้นจากการถูกไฟไหม้ จงวางใจในพระองค์ และพระองค์จะนำคุณให้ผ่านพ้นจากไฟแห่งชีวิตนี้ บทเพลงนมัสการที่แห่งความเชื่อของเราได้ใส่คำเหล่านี้ไว้ในพระโอกฐ์ของพระเยซูและก็ถูกต้อง! เมื่อเดินผ่านการทดลองด้วยไฟแห่งการหลอกลวงนั้น แต่ ดร. ดีฮาน ได้อรรถธิบายให้กับเราดังข้อต่อไปนี้ III. ประการที่สาม พระคัมภีร์ส่วนใหญ่เปิดเผยหรือกล่าวถึงสิ่งที่จะบังเกิดมาในอนาคต ดร. ดีฮานกล่าวไว้ถูกต้องว่า "ชาวหนุ่มฮีบรูเป็นภาพของอิสราเอลท่ามกลางคนต่างชาติ ที่ถูกโยนลงไปในเตาแห่งความทุกข์และการประหัตประหาร ตามมาตรฐานของมนุษย์แล้วพวกเขาน่าจะถูกทำลาย แต่น่าอัศจรรย์คือพวกเขาได้รับการช่วยกู้แม้ว่าจะตกอยู่ในเตาไฟแห่งความเกลียดชัง [การต่อต้านชาวยิว] และถูกกดขี่ขมเหงเพราะพวกเขาเป็นคนที่พระเจ้าทรงมีพันธสัญญาด้วย และท้ายที่สุดจะถูกช่วยกู้ออกจากน้ำมือของคนต่างชาติ" (DeHaan, ibid., pp. 73-74) แต่ละประเทศมีการกดขี่ข่มเหงชาวยิวที่แตกต่างกันออกไปเช่น อียิปต์ บาบิโลน กรีซ โรม สเปน ฝรั่งเศส รัสเซียและเยอรมนี – แต่เป้าหมายหนึ่งของประเทศเหล่านี้คือข่มเหงชาวยิวและพยายามที่จะกำจัดพวกเขา แต่แผนของพวกเขาทั้งหมดก็ล้มเหลว เพราะอิสราเอลเป็นชนชาตินิรันดร์ของพระเจ้า! ตอนนี้อีหร่านคิดว่าพวกเขาสามารถทำลายอิสราเอลได้ พวกเขาพูดอย่างนี้ครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผมอยากจะบอกพวกเขาว่า "มีหลายประเทศที่แข็งเกร่งมากกว่าพวกคุณพยายามกำจัดชาวยิวแต่ต่างก็ ล้ม เหลว – แล้วคุณคือใคร!" พระเจ้าทรงสถิตกับอิสราเอลในเตาไฟแห่งความทุกข์และพระเจ้าก็ไม่จะปล่อยให้พวกเขาเป็นฝ่ายแพ้! คุณเห็นแล้วว่าพระเจ้าทรงทำพันธสัญญากับอับราฮัมว่าไม่มีใครจะสามารถหักทำลายชนชาตินี้ได้ พระเจ้าบอกผู้รับใช้ของพระองค์ว่าแผ่นดินคานาอันทรงประทานให้กับชาวยิวตลอดไป! “ในวันเดียวกันนั้น พระเยโฮวาห์ทรงกระทำพันธสัญญากับอับราม ตรัสว่า “เราได้ยกแผ่นดินนี้แก่เชื้อสายของเจ้าแล้ว ตั้งแต่แม่น้ำอียิปต์ไปจนถึงแม่น้ำใหญ่ คือแม่น้ำยูเฟรติส” (ปฐมกาล 15:18) “และเราจะให้แผ่นดินที่เจ้าอาศัยอยู่เป็นคนต่างด้าวนี้ คือบรรดาแผ่นดินคานาอันแก่เจ้าและเชื้อสายของเจ้าที่มาภายหลังเจ้าให้เป็นกรรมสิทธิ์นิรันดร์ และเราจะเป็นพระเจ้าของพวกเขา” (ปฐมกาล 17:8) แต่ละยุยแต่ละสัมยชาวยิวล้วนแต่ถูกกดขี่ข่มเหง – โดยพวกคริสเตียนที่เทียมเท็จ และคริสเตียนจอมปลอมพวกนี้จ้องที่จะทำร้ายคนของพระเจ้า! แต่โยชูวา (เยซู) คือคนที่สี่ที่อยู่ในเตาไฟนั้นกับชาวยิว - และในที่สุดก็ทำให้พวกเขาประสบกับชัยชนะที่ยิ่งใหญ่และเหนือกว่าคนต่างชาติทั้งหลาย! ในที่สุดคำทำนายของอัครทูตเปาโลก็กำลังจะกลายเป็นความจริง ท่านกล่าวว่า “และเมื่อเป็นดังนั้น พวกอิสราเอลทั้งปวงก็จะได้รับความรอด ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘พระผู้ช่วยให้รอดจะเสด็จมาจากเมืองศิโยน และจะทรงกำจัดอธรรมให้สูญสิ้นไปจากยาโคบ” (โรม 11:26) ในบทสรุปนี้ให้เราคิดถึงชายคนที่สี่ในเตาไฟกับชายชาวฮิบรูทั้งสามคน เนบูคาดเนซาร์ ตรัสว่าคนนั้นเป็น "ทูตสวรรค์" (ดาเนียล 3:28) "ทูตสวรรค์" นั้นหมายถึง "ผู้ส่งสาร" พระเยซูคือ"ผู้ส่งสารของพระเจ้า" ในพันธสัญญาเดิมนั่นคือพระลักษณะของพระองค์ก่อนที่จะประสูติ ตัวอย่างเช่น "ทูตสวรรค์ของพระเจ้า" ได้มาปรากฏให้กับโนอาห์ พ่อของแซมซั่น พระคัมภีร์กล่าวว่า “ทูตสวรรค์ของพระเยโฮวาห์ไม่ปรากฏแก่มาโนอาห์หรือแก่ภรรยาของเขาอีกเลย แล้วมาโนอาห์จึงทราบว่าผู้นั้นเป็นทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเยโฮวาห์ และมาโนอาห์พูดกับภรรยาของตนว่า “เราจะตายเป็นแน่ เพราะเราได้เห็นพระเจ้า” (ผู้วินิจฉัย 13:21, 22) ดังนั้นทูตสวรรค์ขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็คือพระเจ้า และเป็นพระเยซูบุคคลที่สองของตรีเอกานุภาพที่ปรากฏอยู่ในพันธสัญญาเดิมก่อนที่พระองค์จะมาประสูติจากครรภ์ของมารีย์ นอกจากนี้ในดาเนียล 3:25 กษัตริย์ได้มองเข้าไปในเตาที่ไฟและกล่าวว่า "บุคคลคนที่สี่นั้นเป็นเหมือนพระบุตรของพระเจ้า" ดร. เจ เวอร์นอน แมคกี้กล่าวว่า "ผมเชื่อว่าคนที่สี่คือพระบุตรของพระเจ้า ผู้ทรงบังเกิดมาเป็นพระคริสต์ " (J. Vernon McGee, Th.D., Thru the Bible, Thomas Nelson Publishers, 1982, volume III, p,. 547; note on Daniel 3:25) ทำไมพระลักษณะของพระเยซูผู้ประสูติมาและแบ่งรับความทุกข์ทรมานถึงถูกกปฏิเสธโดยคนที่ทรงเลือก - และในท้ายที่สุดพระองค์ก็ทรงช่วยเหลือพวกเขา พระองค์เสด็จลงมาจากสวรรค์สู่ครรภ์ของหญิงพรมจารย์ที่ชื่อมารีย์ พระองค์ไม่ได้ "ลงมา" แบบเป็น "พระเจ้าของพระทั้งหลายและกษัตริย์ของกษัตริย์ทั้งหลาย" ตอนที่พระองค์บังเกิดในเบธเลเฮนั่นคือครั้งแรกที่มีคริสมาสต์ พระองค์จะเสด็จมาเป็นกษัตริย์ของกษัตริย์ทั้งหลายในอนาคต – นั่นคือการเสด็จมาสองของเขา แต่พระองค์เสด็จลงมาในอยู่ในครรภ์ของมารี่ย์และประสูติมาเพื่อช่วยเรา – เช่นเดียวกับการที่พระองค์เสด็จลงมาที่เตาไฟเพื่อช่วยสามวีรบุรุษผู้กล้าหาญของชาวยิว! พระเยซูเสด็จลงมาจากสวรรค์เพื่อมาทนทุกข์อยู่ในโลกและช่วยคนของพระองค์จากเตาไฟนรก! เราทุกคนควรจะอยู่ใน "ไฟที่ไม่มีวันดับ" แต่พระเยซูเสด็จลงมาสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อชดใช้ค่าละเมิดของเรา พระเจ้าทรงชดใช้ทุกความผิดบาปของเรา "ในร่างกายของพระองค์ที่ต้นไม้" – บนไม้กางเขน (เปโตร 2:24) ดังนั้นพระเยซูทรงชดใช้บาปของคนของพระองค์ พระองค์สิ้นพระชนม์ถูกบรรจุไว้ในหลุมฝังศพเป็นเวลาสามวัน แต่ในช่วงเช้าวันอาทิตย์หรืออีสเตอร์ร่างกายของพระเยซูทรงฟื้นคืนพระชนม์ - เนื้อและกระดูก - จากความตาย พระองค์เสด็จกลับขึ้นสู่สวรรค์และตอนนี้ประทับข้างพระหัตถ์ขวาของพระเจ้าพระบิดาและกำลังอธิษฐานให้คุณ ตอนที่คุณไว้วางใจในพระเยซูด้วยใจจริง พระองค์ทรงให้อภัยบาปของคุณและชำระพวกเขาด้วยพระโลหิตของพระองค์ เมื่อคุณไว้วางใจพระเยซูด้วยใจแล้ว พระองค์ทรงช่วยให้คุณรอดพ้นจากบาปและยกประทานความหวังให้คุณ - เช่นเดียวกับการที่พระองค์ทรงช่วยชายฮีบรูทั้งสามคนจากเตาที่ไฟที่ลุกอยู่! อาเมน! ถ้าคุณอยากจะคุยกับพวกเราถึงการมาที่พระเยซูคริสต์ กรุณาออกจากที่นั่งของคุณตอนนี้และเดินไปที่ด้านหลังของห้องนมัสการนี้ ดร. คาเกนจะนำพวกคุณไปยังอีกห้องหนึ่งเพื่อให้คำปรึกษาและอธิษฐานเผื่อ ไปได้ในตอนนี้ ดร. ชาน กรุณานำเราอธิษฐานเผื่อคนที่ไว้วางใจในพระเยซูนี้ด้วย อาเมน (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย อาเบล พลูโฮมมี: ดาเนียล 3:16-25 |
โครงร่างของ เดินผ่านเปลิวไฟกับพระบุตรของพระเจ้า! WALKING THROUGH THE FIRE WITH THE SON OF GOD! โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “พระองค์ตรัสตอบและกล่าวว่า ดูเถิด เราเห็นสี่คนถูกปล่อย กำลังเดินอยู่กลางไฟ และเขาทั้งหลายก็ไม่เป็นอันตราย และรูปร่างของคนที่สี่นั้นคล้ายคลึงกับพระบุตรของพระเจ้า” (ดาเนียล 3:25) I. ประการแรก พระคัมภีร์ทุกตอนมีเพียงแค่หนึ่งหลักอรรถธิบาย ดาเนียล 1:20; II. ประกาศที่สอง พระคัมภีร์ทุกตอนถูกนำไปประยุกต์ใช้ที่หลากหลายกันออกไป III. ประการที่สาม พระคัมภีร์ส่วนใหญ่เปิดเผยหรือกล่าวถึงสิ่งที่จะบังเกิดมาในอนาคต |