เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
การพิพากษาของพระเจ้า – สิ่งหนึ่งที่น่ากลัว GOD’S JUDGMENT – A FEARFUL THING โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าที่ 17 เดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 2013 ณ |
นายกริฟฟิพึ่งจะร้องเพลงที่เขียนโดย ดร. จอห์น อาร์ ไรซ์ ผ่านไปและเป็นบทเพลงที่จำเป็นต่อคริสตจักรของเรา ทุกวันนี้แทบจะไม่มีเพลงที่พูดถึงการพิพากษาและเท่าที่ผมรู้ก็ไม่มีเพลงที่พูดถึงนรกด้วยเช่นกัน ชาวโปริถ่านเคยร้องเพลงที่พูดถึงนรก แต่พวกอีเวนเจลิคอล์ในปัจจุบันนี้คิดว่าพวกเขาฉลาดเกินไปที่จะมาพูดถึงเรื่องเช่นนี้ เช็คสเปียร์เคยกล่าวเอาไว้ว่า "ปุถุชนเหล่านี้ช่างโง่เขลาเหลือเกิน" ท่านพูดถึงพวกอีเวนเจลิคอล์ในปัจจุบันนี้ คนเหล่านี้ล้าหลังโลกที่หายนะนี้ไปถึง 40 ปี พวกเขากำลังสวมหน้ากาดของชายที่หลงหายไว้หนวดเครายาวที่ชื่อ เวน ดีสก์ ผู้มีชีวิตอยู่ประมาณสี่สิบปีก่อน ทุกวันนี้พวกอีเวนเจลิคอล์ที่เรียกว่า "ก้าวหน้า" ก็เป็นอย่างนั้น – ความฉลาดของพวกเขาจึงเป็นเพียงแค่ “เวน ดีสก์” ในพวกเขามีแต่การหลอกและพวกนับเทศน์ก็ชอบไว้หนวดเครารุนรังผู้คนจึงเรียกพวกเขาว่า "แพะ" ประมาณสี่สิบปีที่ผ่านมาโลกเริ่มต้นรณรงค์ต่อต้านการสูบบุหรี่ คนฉลาดในโลกตอนนั้นไม่นิยมสูบบุหรี่ และเป็นที่แน่นอนว่าพวกอีเวนเจลิคอล์ที่เรียกว่า "ก้าวล้ำ" ตอนนี้กลับมาเริ่มสูบบุหรี่อีกครั้งหนึ่ง และถ้าการสูบบุหรี่ของพวกเขาคือสัญลักษณ์ของคนที่มีปัญญาหรือตบตาคนอื่น ดังตัวอย่างที่วิทยาลัย วิทตัน ที่ๆบิลลี่เกรแฮมและลูกสาวทั้งหกคนของ ดร. จอห์น อาร์ ไรซ์จบการศึกษา ในขณะนี้ได้อนุญาตให้คณาจารย์และนักศึกษาสูบบุหรี่ คุณทราบหรือเปล่าว่าเดือนที่ผ่านมาสถาบันพระคริสตธรรมมูดี้ในเมืองชิคาโกได้ออกกฏห้ามสูบบุหรี่? และปัญหาหนึ่งคือปัจจุบันนี้มีคริสเตียนมากมายที่นำท่อใหญ่ๆมาใช้ในการสูบบุหรี่ – เพื่อใช้เป็นสัญญาณบอกว่าการสูบบุหรี่เป็นเรื่องที่เทห์และฉลาด - เช่น ซี เอส ลีวิส ผู้เคยใช้ท่อประปามาเป็นอุปกรณ์ใช้ในการสุบบุหรี่ นามใหม่ของพวกอีเวนเจลิคอล์ได้มาจากการสุบบุหรี่ - สี่สิบปีหลังจากนั้นโลกก็เริ่มนิยมเพิ่มมากขึ้น! ตอนนี้กำลังมีแฟชั่นใหม่ที่นำมาใช้ในคริสตจักรตอนนี้คือร้องเพลงรูปแบบใหม่ นั่นคือพวกเขาจะร้องเพลงท่อนรับแบบซ้ำแล้วซ้ำเล่า - จนกว่าคนที่อยู่ในห้องนมัสการนั้นงุนงงอ่อนเพลียและเหมือนถูกสะกดจิตจนหมด พวกเขาให้เหตุผลว่านี่คือ "การเตรียม" พวกเขาให้พร้อมที่จะฟังคำเทศนา แต่กลับมีแนวโน้มว่านี่คือเตรียมความพร้อมสำหรับการนอนหลับ และนั่นคือสิ่งที่พวกเขาทำกันในระหว่างฟังการเทศนาแบบ "การศึกษาพระคัมภีร์" ดังนี้แหละในคริสตจักรถึงไม่มีใครร้องเพลงที่เกี่ยวกับนรก และนำคำเตือนเกี่ยวกับนรกที่มีอยู่ในพระคัมภีร์มาสอน - พวกอีเวนเจลิคอล์ถึงไม่อยากร้องเพลงเกี่ยวกับคำเตือนนี้ - และพวกเขาก็ไม่ต้องการที่จะเทศนาถึงเรื่องนี้ด้วย ดังนั้น ดร. ไรซ์ จึงได้เขียนเพลงเกี่ยวกับการพิพากษาครั้งสุดท้ายดังนี้ว่า คุณจะพูดกับพระเยซูอย่างไรในวันนั้น กรุณาเปิดพระคัมภีร์ของคุณไปกับผมไปที่ฮีบรู 10:31 - ยืนชึ้นและอ่านพระวจนะของพระเจ้าด้วยกัน “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) พวกคุณนั่งลงได้ นั่นคือข้อความที่สำคัญมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในพระวจนะของเรานี้กล่าวว่า "ในแววตาของเขาไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้า" (โรม 3:18) เราไม่เคยพบใครที่กลัวพระเจ้าเลย ไม่เคย! ไม่มีข้อยกเว้น "ในแววตาของเขาไม่มีความเกรงกลัวพระเจ้า" แต่พระคัมภีร์ของเรากล่าวว่า “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) พระคัมภีร์กล่าวตรงข้ามกับคนสมัยนี้ และในสายพระเนตรของพระเจ้าแล้วพวกเขาโง่เขลา พระคัมภีร์กล่าวดังๆและชัดเจนง่า “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) แม้ว่าคนสมัยนี้มี "สายตา [แห่ง] การไม่มีความกลัวพระเจ้า" พวกเขาก็ยังคือคนผิด - ผิดที่ตายแล้ว และคืนนี้ผมจะใช้เวลาไม่มากนักมาทำการพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นถึงสิ่งที่ผมพูดมานี้ว่าเป็นความจริง “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” ฉันจะไม่พูดอะไรที่กระทบต่ออารมณ์ของคุณ เพราะบทเทศนานี้จะให้เหตุผลแบบตรรกะ และเป็นการโต้แย้งที่มีเหตุมีผลและเป็นความจริงจากพระธรรมข้อนี้ที่ว่า “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” I. ประการแรก นี่พิสูจน์ว่าพระเจ้าคือใคร ขอให้สังเกตว่าข้อนี้กล่าวว่า "กลัว" ที่ตกอยู่ในพระหัตถ์ของ "พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์" เราทุกคนรู้ว่ามีพระเจ้าที่ "ตาย" แล้วอยู่มากมาย ครั้งผมและภรรยาไปที่ประเทศอียิปต์และไปเดินผ่านอาคารโบสถ์ที่มาคนาด ในปัจจุบันนี้ถือว่าเป็นอาคารที่งดงามมาก แต่ทุกคนรู้หรือไหมว่าภาพวาดพระเจ้าที่อยู่บนผนังที่อาคารโบถส์โบราณนั้นเป็นพระเจ้าที่ตายแล้ว "พระเจ้า" ของนิกายโปรเตสแตนต์สายเสรีนิยมก็เป็นพระเจ้าที่ตายแล้ว ดร. เอ็ดเวิร์ด จอห์น คาร์แนลล์ เป็นอาจารย์ที่มีชื่อเสียงสอนที่ มหาวิทยาลัยศาสนศาสตร์ฟูลเลอร์ เขาเคยเป็นผู้อำนวยการที่ฟูลเลอร์และต่อมาเป็นอาจารย์สอนที่นั่น ปี 1959 ดร. คาร์แนลล์ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ "กรณีศาสนศาสตร์ของพวกออทอดอส์" ดูจากหนังสือของเขาก็แสดงให้เห็นแล้วว่ามห่วิทยาลัยฟูลเลอร์ถูกทำลายไปแล้วในปี 1959 เพราะหนังสือของเขาสอนถึงการวิวัฒนาการของสิ่งมีชีวิตหนึ่งไปยังอีกสิ่งหนึ่ง เขาสอนว่าทุกข้อพระคัมภีร์ได้รับการดลใจที่ไม่เท่ากัน ท่านก็สอนโจมตีการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์เกี่ยวกับก่อนพันปี และส่งเสริมให้ทำลายพระคัมภีร์ฉบับอาร์เอสวี ประมาณปีครึ่งต่อมาผมได้ยิน ดร. ชาร์ลส์ วูดบริดจ์เทศนาบอกว่าท่านเพิ่งลาออกจากคณะที่มหาวิทยาลัยฟูลเลอร์เพราะการการโจมตี “พระเจ้า” ของคาร์แนลล์ และต่อมาดร. คาร์แนลล์ก็มาฆ่าตัวตายในห้องพักที่โรงแรมในเมือง โอ๊คแลนด์ มลรัฐแคลิฟอร์เนีย "พระเจ้า" ของเขาไม่ใช่พระเจ้าของผม พระเจ้าของผมเป็น "พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์" “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) การที่ตกอยู่ในพระหัตถ์พระเจ้าชองสถาบันของฟูลเลอร์นั้นไม่ใช่เรื่องที่น่ากลัว โอ้ไม่! ร็อบเบลล์จบการศึกษาจากฟูลเลอร์ – และเขาคือคนที่เขียหนังสือที่ชื่อว่า รักแห่งชนะ หรือ Love Wins (HarperOne, 2011) ในหนังสือของท่านร็อบเบลล์กล่าวว่าคำสอนในพระคัมภีร์ที่กล่าวถึง "การลงโทษในนรก" ตลอดไปนั้นเป็นเรื่องที่ "เข้าใจผิดและไม่เป็นเช่นนั้น" (หน้า viii) เขาเรียนรู้ศาสนศาสตร์นั้นที่ฟูลเลอร์ พระเจ้าของเขาไม่ ใช่ พระเจ้าของผม พระเจ้าของเขาไม่ใช่ "พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์" “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) II. ประการที่สอง นี่คือพิสูจน์ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำที่ผ่านมา พระลักษณะของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์เห็นได้จากการพิพากษาของพระองค์ในอดีตที่ผ่านมา สเปอร์เจียนกล่าวว่า "พระเจ้าของอับราฮัมที่ปรากฏในพันธสัญญาเดิมเป็นพระเจ้าที่แตกต่างจากพระบิดาในความฝันของคนในสมัยนี้ [พวกเสรีนิยม] พวกเขามาจากอพอลโลหรือบาคชูส์" (C. H. Spurgeon, “Future Punishment a Fearful Thing”) "พระเจ้าผู้ทรงพระชนม์" ในพระคัมภีร์ทรงทำลายเผ่าพันธุ์มวลมนุษย์ที่ทำบาปโดยการให้ในน้ำท่วมโลกพระคัมภีร์กล่าวว่า “และพระเจ้าทรงเห็นว่าความชั่วร้ายของมนุษย์มีมากบนแผ่นดินโลก และเค้าความคิดทุกอย่างแห่งความคิดทั้งหลายในใจของเขาล้วนแต่ชั่วร้ายอย่างเดียวเสมอไป…และพระเยโฮวาห์ตรัสว่า “เราจะทำลายมนุษย์ที่เราได้สร้างมาจากพื้นแผ่นดินโลก ทั้งมนุษย์และสัตว์และสัตว์เลื้อยคลานและนกในอากาศ เพราะว่าเราเสียใจที่เราได้สร้างพวกเขามา” (ปฐมกาล 6:5, 7) อัครสาวกเปโตรบอกเราอีกครั้งหนึ่งว่าพระเจ้าทรงทำลายเมืองโสโดมและเมืองโกโมราห์ อีกครั้งพระเจ้าทรงประหารบุตรหัวปีทั้งหมดในประเทศอียิปต์เพียงชั่วค่ำคืนหนึ่ง อีกครั้งพระเจ้าทรงทำลายฟาโรห์และบรรดากองทัพของพระองค์ท่ามกลางทะเลสีแดง อีกครั้งชนชาติของคนฮีไวต์ คนเยบุสและประเทศอื่น ๆ ล้มตายด้วยคมดาบเพราะพระดำรัสของพระเจ้า และโมเสสกล่าวว่า “[พระองค์] และทรงตอบแทนผู้ที่เกลียดชังพระองค์ต่อหน้าเขาเองด้วยทรงทำลายเขาเสีย พระองค์จะไม่ทรงลดหย่อนโทษผู้ที่เกลียดชังพระองค์ พระองค์จะทรงตอบแทนต่อหน้าเขา” (เฉลยธรรมบัญญัติ 7:10) พระคัมภีร์สอนครั้งแล้วครั้งหนึ่งว่า “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) III. ประการที่สาม นี่พิสูจน์ได้จากคำตรัสของพระเยซู พระคัมภีร์สอนว่าพระเยซูคริสต์เป็นพระเจ้าที่บังเกิดมาเป็นมนุษย์ และไม่มีใครในพระคัมภีร์จะเล่าถึงนรกได้น่ากลัวเหมือนอย่างพระเยซูคริสต์ นี่คือบางส่วนที่พระเยซูทรงตรัสเกี่ยวกับการลงโทษนิรันดร์ “และอย่ากลัวผู้ที่ฆ่าได้แต่กาย แต่ไม่สามารถที่จะฆ่าจิตวิญญาณได้ แต่แน่นอนทีเดียวจงกลัวพระองค์ผู้ทรงสามารถที่จะทำลายทั้งจิตวิญญาณทั้งกายในนรกได้” (มัทธิว 10:28) พระเยซูทรงตรัสอีกครั้งหนึ่งว่า “ในการสิ้นสุดของโลกก็จะเป็นอย่างนั้นแหละ พวกทูตสวรรค์จะออกมาแยกคนชั่วออกจากคนชอบธรรมแล้วจะทิ้งลงในเตาไฟอันลุกโพลง ที่นั่นจะมีการร้องไห้ขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” (มัทธิว 13:49-50) อีกครั้งหนึ่งพระธรรมมัทธิวบทที่ 22 พระเยซูบอกเราถึงพระเจ้า [พระมหากษัตริย์} โดยกล่าวว่า “กษัตริย์จึงรับสั่งแก่พวกผู้รับใช้ว่า ‘จงมัดมือมัดเท้าคนนี้เอาไปทิ้งเสียที่มืดภายนอก ที่นั่นจะมีการร้องไห้และขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน” (มัทธิว 22:13) จากนั้นในพระธรรมมาระโกบทที่ 9 พระเยซูตรัสถึงสามครั้งว่านรกคือสถานที่ๆหนึ่ง “ในที่นั้นตัวหนอนของพวกเขาก็ไม่ตาย และไฟก็ไม่ดับเลย” (มาระโก 9:44) อีกครั้งหนึ่ง “ในที่นั้นตัวหนอนของพวกเขาก็ไม่ตาย และไฟก็ไม่ดับเลยWhere” (มาระโก 9:46) และอีกครั้งหนึ่ง “ในที่นั้นตัวหนอนของพวกเขาก็ไม่ตาย และไฟก็ไม่ดับเลย” (มาระโก 9:48) ผมพึ่งจะให้คุณไปเพียงไม่กี่ข้อที่กล่าวถึงการที่พระเยซูทรงกล่าวถึงนรก เพื่อยืนยันความจริงนี้ “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) พระเยซูทรงกล่าวอย่างชัดเจนถึงคนรวยและลาซารัสในบทที่สิบหกในพระธรรมลูกา หลังจากนั้นเศรษฐีก็เสียชีวิต “แล้วเมื่ออยู่ในนรกเป็นทุกข์ทรมานยิ่งนัก” (ลูกา 16:23) พระเยซูทรงกล่าวอีกครั้งหนึ่งว่า เศรษฐีคนนี้ร้องว่า “‘อับราฮัมบิดาเจ้าข้า ขอเอ็นดูข้าพเจ้าเถิด” (ลูกา 16:24) ผมหวังว่าคุณคงรู้ว่าพระเยซูทรงถ่อมตนและอ่อนโยนและเปี่ยมด้วยความรัก นั่นคือเหตุผลที่พระองค์ทรงตักเตือนพวกเราถึงนรก และเป็นเพราะความเมตตาและความรักพระเยซูจึงทรงเตือนเราถึงการพิพากษาที่กำลังจะมา เพราะว่า “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) IV. ประการที่สี่ นี่สามารถพิสูจน์ได้โดยจิตสำนึกของคนบาป เพื่อความมั่นใจขอกล่าวอีกครั้งว่าคนส่วนใหญ่จะปฏิเสธถึงเรื่องที่พระคัมภีร์กล่าวเกี่ยวกับการพิพากษาของพระเจ้า พวกเขายังปฏิเสธพระคัมภีร์ที่กล่าวถึงการพิพากษาของพระเจ้าในอดีตที่ผ่านมา และพวกเขาก็ปฏิเสธสิ่งที่พระเยซูคริสต์ทรงกล่าวถึงการพิพากษาของพระเจ้าที่จะมา นั่นคือความจริงที่ว่าคนที่อยู่ตามสภาพธรรมชาติแห่งบาปจะปฏิเสธข้อพิสูจน์และคำเตือนเหล่านี้ทั้งหมด พวกเขาจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลงจนกว่าพระวิญญาณของพระเจ้าจะเสด็จเข้ามากระตุ้นจิตใต้สำนึกของพวกเขา พระคัมภีร์กล่าวว่า “...เหมือนอย่างกับเอาเหล็กแดงนาบลงไปบนจิตสำนึกผิดชอบของเขา” (I ทิโมธี 4:2) บาปได้เผาจิตสำนึกของพวกเขาซ้ำแล้วซ้ำอีก เหมือนอย่างกับเอาเหล็กที่ไหม้แดงทาบลงไปบนจิตสำนึกผิดชอบของพวกเขา เพื่อรับรู้ถึงสิ่งที่ชั่ว แต่กระนั้นก็ตามพวกเขาก็ยังจะแก้ตัวเรื่องบาปของเขา พวกเขาหลอกตัวเองด้วยคำพูดทางจิตวิทยาและสังคมวิทยาเรื่องบาปของเขา พวกเขาตำหนิพ่อแม่ของพวกเขาสำหรับความชั่วร้ายของพวกเขา พวกเขาตำหนิสภาพแวดล้อมสำหรับความบาปของพวกเขา พวกเขาเข้าใจต่อการที่พยายามเบี่ยงความผิดของตนเองที่ถูกบันทึกเอาไว้ในหนังสือแห่งการพิพากษาของพระเจ้า แต่ถ้าพระเจ้าทรงเลือกพวกเขา พระองค์ก็จะส่งพระวิญญาณของพระองค์มาตำหนิและกระทำให้พวกเขาทราบในบาปนั้น พระวิญญาณของพระเจ้า "จะตำหนิติเตียน [พวกเขา] บาป" (ยอห์น 16:8) แล้วพวกเขาก็จะเริ่มรู้สึกเหมือนหญิงสาวที่ผมได้นำคำพยานของเธอมาเล่าในเช้าวันนี้ จำได้หรือเปล่าว่าเธอบอกว่าบาปของเธอ …บาปที่หลอกหลอนฉันและฉันก็ไม่สามารถที่จะหนีออกจากบาปนั้นได้ ดิฉันเริ่มสงสัยว่า "ฉันยอมจำนนต่อบาปนั้นได้อย่างไรกัน? ทำไมบาปนั้นถึงหลุดออกจากดิฉัน…ไปอย่างชักช้าเหลือเกิน?” พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดเผยให้ฉันรู้ถึงบาปเหล่านี้ นั่นคือความชั่วร้าย เจ้าเล่ห์ และชั่วช้าอย่างที่สุด และรวมถึงธรรมชาติของฉัน ฉันไม่สามารถอธิบายได้อย่างเต็มถึงความมืดที่อยู่ในใจของคุณ ดิฉันก็เบื่อหน่ายและละอายใจในสิ่งที่พระเจ้าทรงเห็น ฉันรู้สึกว่าตัวเองเป็นเหมือนสิ่งมีชีวิตที่เลวทรามยามอยู่ต่อหน้าพระพักต์พระเจ้า เพราะพระองค์ผู้ทรงทราบความคิดและความตั้งใจของฉัน พระเจ้าผู้ที่ทรงทราบทุกอย่างที่ฉันทำแม้แต่พัธกิจที่ทำในคริสตจักรนั่นคือความเห็นแก่ตัวที่เป็นรากของบาป ทุกครั้งที่ดิฉันไปโบสถ์จะรู้สึกเหมือนตังเองเป็นโรคเรื้อนท่ามกลางชาวคริสต์ที่บริสุทธิ์… ถึงกระนั้นก็ตามก็ยัง [ไม่] วางใจในพระคริสต์ และเชื่อใน "พระเยซู" ผมรู้ว่ามีคนที่หลงหายในโลกนี้มากมายคิดว่าคำสอนนี้เป็นความคิดที่เหลวไหลมืดมนผิดปกติและแปลกประหลาด ใช่พวกเขาคิดอย่างนั้นถูกต้อง เพราะในแง่ "ธรรมชาติ" และ "ปกติ" ใจของคนก็จะรู้สึกว่าเป็นอย่างนั้น พระคัมภีร์ถึงกล่าวว่า "มนุษย์ธรรมดา" จะไม่สามารถรู้ถึงบาปของตนเอง ต้องอาศัยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเท่านั้นถึงจะทำให้คนบาปนั้นมารับรู้ถึงความผิดของตนเอง! ในเพลงของท่านที่ชื่อ "พระคุณพระเจ้า" จอห์น นิวตัน กล่าวว่า "'พระคุณนี้สอนให้ใจของฉันเกรงกลัว” คริสตชนในยุคแห่งการฟื้นฟูเรียกว่า "ตื่นขึ้นมา" ตอนที่คุณตื่นขึ้นมาจากความชั่วร้ายที่อยู่ในของใจของคุณ จิตสำนึกของคุณจะเห็นว่า “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) V. ประการที่ห้า นี่พิสูจน์ว่าการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ช่วยเราให้รอดพ้นจากการลงโทษบาป สเปอร์เจียนผู้ยิ่งใหญ่กล่าวว่า "ดูเหมือนอว่าการทนทุกข์ของพระผู้ช่วยให้รอดรุนแรงเกินกว่าเรื่องใดๆทั้งหมด [บาป] เป็นความชั่วร้ายที่น่ากลัว...นอกจากพระโลหิตของพระบุตรของพระเจ้าแล้วไม่มีวิธีอื่นใดที่สามารถช่วยเราให้รอดได้ ถ้าคุณคิดว่าไม่มีนรกคุณก็จะไม่คิดถึงไม้กางเขน ถ้าคุณคิดนิดเดียวถึงการทุกข์ทรมานของวิญญาณที่หลงหายไป คุณก็จะคิดถึงพระผู้ไถ่ที่ทำให้คุณรอดพ้นจากบาปนั้นเพียงนิดเดียวเช่นเดียวกัน" (C. H. Spurgeon, “Future Punishment a Fearful Thing,” Metropolitan Tabernacle Pulpit, number 682) “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) นั่นเป็นวิธีเดียวที่พระเยซูทรงช่วยคุณให้รอดพ้นจากการพิพากษานิรันดร์ด้วยหรือเปล่า? พระเยซูไม่ได้ตกอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่อย่างนั้นหรือ? พระเยซูไม่ได้รับโทษที่น่ากลัวบนไม้กางเขนในฐานะเป็นตัวแทนของคุณอย่างนั้นหรือ? พระเจ้าไม่ลงโทษพระเยซูในสถานที่ของคุณเพราะความบาปของคุณอย่างนั้นหรือ? จงใคร่คิดข้อเหล่านี้ที่กล่าวถึงพระคริสต์ในฐานะคนบาปในที่ของคุณ “แต่ก็ยังเป็นน้ำพระทัยของพระเยโฮวาห์ที่จะให้ท่านฟกช้ำด้วยความระทมทุกข์ เมื่อพระองค์ทรงกระทำให้วิญญาณของท่านเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป ท่านจะเห็นเชื้อสายของท่าน ท่านจะยืดวันทั้งหลายของท่าน น้ำพระทัยของพระเยโฮวาห์จะเจริญขึ้นในมือของท่าน” (อิสยาห์ 53:10) นั่นเป็นพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะ "บดขยี้" พระเยซู "และทำให้พระองค์ต้องทนทุกข์ทรมาน" (ฉบับแปลสมัยใหม่) แสดงว่าพระองค์ทรงทนทุกข์เพื่อชดใช้บาปของเรา นั่นคือคำสอนเกี่ยวกับ "การระงับ" พระคัมภีร์ฉบับของพวกปฏิรูป กล่าวว่า "ไม้กางเขนระงับพระพิโรษของพระเจ้า นั่นกำลังกล่าวถึงการระงับพระพิโรษของพระองค์...ในความทุกข์ทรมานของพระคริสต์ถือว่าพระองค์ทรงถูกพิพากษาตเนื่องจากเรา" (หน้า 1617) ไพเพอร์ จอห์นกล่าวว่าพระคริสต์ "รับพระพิโรธของพระเจ้า" ที่ต่อต้านบาปของเรา นี้แสดงให้เห็นว่ารุนแรงยิ่งกว่าเรื่องใดๆ “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) พระเยซูเริ่มตกอยู่ในพระหัตถ์ของพระเจ้าที่สวนเกทเสมเน พระเจ้าทรงตีและบดพระเยซูพร้อมกับภาระบาปของคุณ - และความผิดบาปของคนทุกคนของพระองค์ พระเยซูถูกบดจนเหงื่อ "ไหลออกมาเป็น" หยดเลือด พระเจ้าทรงลงโทษพระเยซูอย่างรุนแรงจนพระองค์เกือบสิ้นพระชนม์ในสวนนั้นก่อนที่จะถูกตรึงที่ไม้กางเขน แล้วโดย "พระองค์นี้ทรงถูกมอบไว้ตามที่พระเจ้าได้ทรงดำริแน่นอนล่วงหน้าไว้ก่อน" (กิจการ 2:23) พระเยซูถูกเฆี่ยนจนเกือบสิ้นพระชนม์และสร้างความเจ็บปวดไปทั่วมือและเท้าของพระองค์ – ถูกทรมานโดยพระเจ้า - เพื่อระงับพระพิโรธของพระองค์และช่วยให้คุณให้รอดพ้นจากพระหัตถ์อันน่ากลัวของพระเจ้า! พระเจ้าทรง "ประทาน" พระเยซูให้สิ้นพระชนม์แทนที่ของคุณ พระคัมภีร์กล่าวว่า “เพราะว่าพระเจ้าทรงรักโลกยิ่งนัก จนได้ทรงประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ที่บังเกิดมา เพื่อผู้ใดที่เชื่อในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์” (ยอห์น 3:16) พระเจ้าทรงทำเช่นนั้นเพราะไม่มีทางอื่นอีกที่จะชดเชยหนี้บาปของคน แต่ละความรู้สึกและความเจ็บปวดที่พระเยซูรับ – ตอนที่พวกเขาตบพระพักต์ของพระองค์และดึงหนวดเคราของพระองค์ออกทีละเส้น ตอนที่พวกเขาเฆี่ยนหลังของพระองค์จนโลหิตหลั่งออกมา และตอนที่พวกเขาตอกตะปูลงที่มือและเท้าของพระองค์ - แต่ละความเจ็บปวดของพระคริสต์นั้นเป็นเพราะพระพิโรธของพระเจ้าเทลงมาเหนือพระองค์แทนที่ของคุณ นั่น คือ การ ระงับ! เหมือนเพลงใหม่นี้ พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนนั่น หลังจากที่เด็กผู้หญิงคนหนึ่งได้เห็นภาพยนต์เรื่อง "เดอะเพชั่นของพระคริสต์" ผมได้ยินเธอพูดว่า "โอ้มันช่างเป็นอะไรที่น่ากลัวต่อสิ่งที่พวกเขาทำให้กับพระเยซู" แต่คำพูดนั้นไม่ถูกต้องนัก ที่จริงแล้วความน่ากลัวนี้เป็นเพราะว่าพระเจ้าทรงทำให้กับพระเยซูต่างหาก พระเจ้าทรงลงโทษพระเยซูอย่างน่ากลัว - เพราะไม่มีวิธีอื่น ๆ อีกที่จะลงโทษเพื่อ "ดูดซึม" – หรือระงับพระพิโธของพระองค์ – จึงต้องลงโทษพระเยซูแทนที่จะเป็นคุณ ใช่เป็นเช่นนั้น “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) การลงโทษในที่นี้คือข้อพิสูจน์ถึงการลงโทษของพระเจ้าที่เทลงมาที่พระเยซูเพื่อชดเชยความผิดบาปของเราผมอยากจะอ้างคำพูดของหญิงสาวคนอีกครั้งดังนี้ [แทนที่] จะมองมาที่ตัวเองเพื่อสำรวจและตรวจสอบความรู้สึกของดิฉัน... แต่ดิฉันมองไปที่พระเยซูคริสต์โดยความเชื่อ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ที่ทรงพระชนม์อยู่! พระองค์ทรงช่วยฉันให้รอด พระองค์ทรงเปียกโชกด้วยเลือดเพราะไถ่บาปของฉัน พระองค์ทรงแบกเอาภาระหนักแห่งบาปของฉันออกไป! พระองค์ทำอย่างนั้นเพื่อดูดซึมพระพิโรธของพระเจ้าที่ควรเทลงลงมาที่ฉัน ในชีวิต ในความตายในการพิพากษาครั้งสุดท้ายและในนรก... ประวัติของฉันที่ถูกบันทึกไว้หนังสือแห่งชีวิตได้รับการแก้ไขว่า "ไม่ผิด" เพราะโดยโลหิตของพระองค์นั่นเอง! พระองค์ทรงกระทำแทนฉันและเป็นผู้ไกล่เกลี่ยความผิดของฉัน เป็นพระเอกของฉันและเป็นพระเจ้าของฉัน... ฉันหวังว่าทุกคนที่ต่อสู้สิ่งเลวร้ายอย่างฉันจะได้รับประสบการณ์แห่งการให้อภัยโทษจากพระเยซูเช่นกัน! พระองค์ทรงยอมรับโทษเพราะความผิดของฉัน พระองค์ทรงชดใช้หนี้บาปนั้นทั้งหมด ใช่เป็นเช่นนั้น อาเมน! อย่างที่บทเพลงเก่าๆนี้กล่าวเอาไว้ ไม่มีอะไรดีเท่ากับการที่ฉันได้รับพระคุณของพระองค์ คุณสนใจอยากมาเป็นคริสเตียนที่แท้จริงหรือไม่? หากคุณต้องการที่จะคุยกับเราและอธิษฐานร่วมกับเราตอนนี้ กรุณาออกจากที่นั่งของคุณตอนนี้และเดินไปที่ด้านหลังของห้องนมัสการนี้ ดร. คาเกนจะนำพวกคุณไปยังอีกห้องหนึ่งเพื่อให้คำปรึกษาและอธิษฐานเผื่อ ไปได้ตอนนี้ ดร. ชาน กรุณานำเราอธิษฐานเผื่อให้กับคนที่ไว้วางใจในพระเยซูนี้ด้วย อาเมน (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net หมายเหตุ: ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ไม่ได้สงวนลิขสิทธิ์ อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย อาเบล พลูโฮมมี: ฮีบรู 10:28-31 |
โครงร่างของ การพิพากษาของพระเจ้า – สิ่งหนึ่งที่น่ากลัว โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “การตกอยู่ในอุ้งพระหัตถ์ของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์นั้นเป็นที่น่าหวาดกลัว” (ฮีบรู 10:31) (โรม 3:18) I. ประการแรก นี่พิสูจน์ว่าพระเจ้าคือใคร ฮีบรู 10:31; I ยอห์น 1:7 II. ประการที่สอง นี่คือพิสูจน์ถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำที่ผ่านมา ปฐมกาล 6:5, 7; เฉลยธรรม III. ประการที่สาม นี่พิสูจน์ได้จากคำตรัสของพระเยซู IV. ประการที่สี่ นี่สามารถพิสูจน์ได้โดยจิตสำนึกของคนบาป V. ประการที่ห้า นี่พิสูจน์ว่าการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ช่วยเราให้รอดพ้นจากการลงโทษบาป อิสยาห์ 53:10; กิจการ 2:23; ยอห์น 3:16 |