เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
เป้าหมาย! วัตถุประสงค์! ตัวบุคคล! THE TARGET! THE OBJECT! THE PERSON! โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าวันที่ 18 เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ณ “และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:15) |
สมาชิกของเราได้ลาพักร้อนในช่วงฤดูร้อนตามปกติที่เคยทำมา ขณะที่พวกเขาลาพักร้อนนี้ก็ได้ไปเข้าโบถส์แบ๊บติสต์ยังที่ต่างๆ และอีกตามเคยพวกเขากลับมาด้วยเรื่องราวที่เป็นข่าวร้ายสักส่วนใหญ่ นั่นมาใช่ว่าพวกเขาเป็นคนชอบนินทาแต่ความรู้สึกของการเป็นห่วงมากกว่า มีหลายครอบครัวที่พาลูกๆของพวกเขาท่องไปนมัสการยังคริสตจักรต่างของแบ๊บติสต์ในฝั่งตะวันออก มีแม่บ้านท่านหนึ่งบอกผมว่า “ดร. ไฮเมอร์ส ศิษยาภิบาลเหล่านั้นไม่พูดถึงพระคริสต์หรืออธิบายพระกิตติคุณเลย” ลูกชายและภรรยาใหม่ของเขาก็ไปร่วมนมัสการที่คริสตจักรสองแห่งในฝั่งตะวันตก เขาบอกผมว่า “พ่อ ศิษยาภิบาลเหล่านั้นสอนพระคัมภีร์เหมือนกับว่าทุกคนล้วนรอดแล้ว พวกเขาไม่พูดถึงพระเยซูหรือพระกิตติคุณเลย” โปรดเข้าใจที่ผมพูดนี้ไม่ใช่ว่ากำลังหาจับผิดพวกเขา แต่เป็นการท้าท้ายให้ศิษยาภิบาลหนุ่มทั้งหลายพูดถึงพระคริสต์ในตอนเทศนาด้วย เพราะนี่คือสิ่งที่จำเป็นมากสำหรับในยุคมืดนี้ – คือพระเยซูและการถูกตรึงของพระองค์! ผมได้สอนคนอื่นๆไม่ให้ไปวิจารณ์คริสตจักรอื่นๆ แต่พวกเขาก็รู้การเทศน์อย่างนั้นดูเหมือนจะยากยิ่งนักที่จะเอ๋ยพระนามของพระคริสต์ สิ่งที่พวกเขาเป็นห่วงคือไม่ได้ยินเรื่องราวในพระกิตติคุณเลย – ไม่ได้ยิน “แม้แต่” ตอนสรุปคำเทศนา! สมาชิกอีกคนหนึ่งบอกผมอีกว่า “ศิษยาภิบาลเหล่านั้นรู้ได้อย่างไรว่าคนที่ฟังนั้นรอดแล้ว? เพราะยังมีผู้ที่มาเยี่ยมรวมอยู่ที่นั่นด้วย พวกเขารู้ได้อย่างไรกันว่าคนเหล่านั้นคือคริสเตียน?” คนอื่นๆบอกผมอีกว่า “อาจารย์ ผมพลาดฟังการเทศนาของท่านที่พูดถึงพระคริสต์” ทฤษดีการเทศน์ของผมนั้นง่ายๆ “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆในหมู่พวกท่านเลยเว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน” (1 โครินธ์ 2:2) นั่นไม่ได้หมายความว่าผมละทิ้งจุดสำคัญอื่นไป ไม่เลย! ยกตัวอย่าง บทเทศนาของผมในเช้านี้จะเป็นการเปรียบเทียบความแตกต่างระหว่างนักจิตวิทยาอย่างฟรอย์ และจังตามหลักความเชื่อดั้งเดิม แล้วผมก็จะมาสอนว่าพระคัมภีร์กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างไรบ้าง และผมก็จะมาพูดถึงการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระว่างพวกยิว และศาสนศาสตร์แห่งพระคุณ แต่จุดศูนย์กล่างในคำสอนนี้จะอยู่ที่พระคริสต์และไม้กางเขน! อย่างที่อาจารย์เปาโลกล่าวว่า “คนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่าการประกาศเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่ แต่พวกเราที่รอดเห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า เพราะมีคำเขียนไว้แล้วว่า ‘เราจะทำลายสติปัญญาของคนมีปัญญา และจะทำให้ความเข้าใจของคนที่เข้าใจสูญสิ้นไป คนมีปัญญาอยู่ที่ไหน บัณฑิตอยู่ที่ไหน นักโต้ปัญหาแห่งยุคนี้อยู่ที่ไหน พระเจ้ามิได้ทรงกระทำปัญญาของโลกนี้ให้โฉดเขลาไปแล้วหรือ เพราะตามเรื่องที่เป็นพระสติปัญญาของพระเจ้าแล้ว โลกจะรู้จักพระเจ้าโดยปัญญาไม่ได้ พระเจ้าทรงพอพระทัยที่จะช่วยคนที่เชื่อให้รอดโดยการเทศนาที่โง่เขลานั้น ด้วยว่าพวกยิวเรียกร้องหมายสำคัญและพวกกรีกเสาะหาปัญญา แต่พวกเราประกาศเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น อันเป็นสิ่งที่ให้พวกยิวสะดุด และพวกกรีกถือว่าเป็นเรื่องโง่ แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น ทั้งพวกยิวและพวกกรีกต่างถือว่า พระคริสต์ทรงเป็นฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า เพื่อมิให้เนื้อหนังใดๆอวดต่อพระพักตร์พระองค์ได้ โดยพระองค์ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญา ความชอบธรรม การแยกตั้งไว้ และการไถ่โทษ สำหรับเราทั้งหลาย นี่คือเป้าหมายในคำเทศนาของเรา! “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆในหมู่พวกท่านเลยเว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน” (I โครินธ์ 2:2) “ถ้าคุณทำอย่างนั้น คุณจะมีแต่คริสเตียนที่อ่อนแอ” มีนักเทศน์บางคนในสมัยนี้ยังกล่าวว่า! เป็นไปไมได้! ผมจะสร้างสมาชิกของผมให้เติบโตขึ้นเพื่อต่อต้านและเพื่อเปรียบเทียบกับเขา! สมาชิกของเราทุกคนมาวันอาทิตย์ทั้งตอนเช้าและตอนเย็น เราก็ใช้สามคืนสำคัญสำหรับการอธิษฐานอยู่ในช่วงระหว่างสัปดาห์ ทุกคนจะเข้าร่วมหนึ่งในสามนั้นเป็นอย่างน้อย และบางคนก็เข้าร่วมมากกว่านั้น สมาชิกของเราทุกคนออกไปประกาศ ถวายสิบลบ และมีชีวิตที่กระตือรือร้นเพื่อพระคริสต์! ผมจะพูดเหมือนอย่างสเปร์เจียนที่ว่า “ "ใช่หรือเปล่าที่พระเยซูคริสต์และการถูกตรึงของพระองค์ที่กางเขนนั้นให้ทั้งสิ่งที่มีชีวิตและสิ่งที่ตายแล้ว?...ในเวลาที่คนเศร้านั้นมองไปที่นั่น? ถ้าเขาเป็นคริสเตียน แล้วเขาจะบินไปที่ไหน? ที่ไหนกันแน่ ใช่ถึงที่พระเยซูคริสต์ผู้ถูกปลงพระชนม์หรือเปล่า? (C. H. Spurgeon, “The Man of One Subject,” The Metropolitan Tabernacle Pulpit, Pilgrim Publications, 1971 reprint, volume XXI, p. 647) คริสตจักรของสเปอร์เจียนใหญ่ที่สุดในโลกในยุคของท่าน และเกือบทุกบทเทศนาของท่านจะเป็นแบบการประกาศ – และในทุกๆบทเทศนาของท่านนั้นจะบอกว่าคนบาปจะรับการช่วยกู้จากพระเยซูได้อย่างไร บทเทศนาของท่านจะมีพระเยซูเป็นศูนย์กลาง! บทเทศนาของท่านจะเน้นเรื่องของไม้กางเขน! ผมหวังว่าคริสตจักรส่วนมากของเราจะทำอย่างนั้นด้วยในทุกวันนี้! ท่านศิษยาภิบาล ถ้าคุณอยากจะรู้ว่าการเทศนาเกี่ยวกับพระเยซูในวันอาทิตย์เป็นอย่างไรนั้นกรุณาอ่านหนังสือของสเปอร์เจียน! ดร. ดับบริว เอ คริสเวลล์ นักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่จากดัลลัส เท็กซัส บอกว่า ไม่มีชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ยิ่งใหญ่อีก หรือคำพูดที่ให้พรจากคนในยุคนี้เหมือนอย่างท่าน [การเทศนาของสเปอร์เจียน] สเปอร์เจียนคือนักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่ทุกยุคทุกสมัย และบทเทศนาของท่านก็เกี่ยวข้องกับทุกชั่วอายุคน (W. A. Criswell, Ph.D., jacket cover of The Metropolitan Tabernacle Pulpit, Pilgrim Publications, volume VII, 1986 reprint) อะไรที่ทำให้บทเทศนาของสเปอร์เจียน “ใช้ได้กับคนทุกยุคทุกสมัย”? เพราะการต่อเนื่องที่เน้นหนักถึงพระเยซูคริสต์ – และการถูกตรึงของพระองค์! ต้องเน้นหนักเรื่องของความรอดโดยการเชื่อในพระคริสต์ และต้องเน้นบ่อยๆอยู่บนธรรมาส์ นั่นคือหนทางเดียวที่จะทำให้คริสตจักรเติบโตเข้มแข็ง คริสเตียนควรได้ยินพระกิตติคุณซ้ำแล้วซ้ำเล่าไม่งั้นก็คือกลายเป็นคริสเตียนที่อ่อนแอและล้าหลัง ไม่มีอะไรที่จะเชิดชูจิตวิญญาณของผู้เชื่อให้สูงขึ้นเม่ากับการเทศนาที่เกี่ยวกับ “พระเยซูและการถูกตรึงของพระองค์”! คนบาปทั้งหลายต้องได้ยินพระกิตติคุณหลายๆครั้ง ก่อนที่พวกเข้าจะมารับเอาความรอด ในช่วงระยะเวลาห้าสิบห้าปีที่ผมทำพันธกิจก็ได้พูดคุยกับกลุ่มอีเวนเจลิคอล์และแบ๊บติสต์ ผู้รู้สึกหดหู่ใจที่พวกเขาไม่เน้นเรื่องการช่วยกู้ สมาชิกตามคริสตจักรใหญ่ๆต่างไม่รู้เลยว่าการช่วยกู้ให้รอดนั้นเป็นอย่างไร และส่วนมากก็เข้าใจผิดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ เหตุผลหนึ่งที่บ่งบอกถึงคนที่จิญญาณชองผู้ที่หลงหาย พระวัจนะกล่าวว่า “แต่มนุษย์ธรรมดาจะรับสิ่งเหล่านั้นซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้าไม่ได้ เพราะเขาเห็นว่าเป็นสิ่งโง่เขลา และเขาไม่สามารถเข้าใจได้ เพราะว่าจะเข้าใจสิ่งเหล่านั้นได้ก็ต้องสังเกตด้วยจิตวิญญาณ” (I โครินธ์ 2:14) อีกเหตุผลที่ทำให้ไม่เข้าใจในเรื่องนี้เป็นเพราะว่านักเทศน์ทั้งหลายไม่เน้นเรื่องของความรอด พวกเขาละเลยคำสอนที่เกี่ยวกับ (ศาสนศาตร์แห่งความรอด) พวกเขาขาดการใส่ใจที่จะกล่าวถึงเรื่องนี้หรือปล่อยปละละเลย พวกเขาปล่อยให้ครูสอนระวีที่ไม่ได้รับการฝึกฝนอบรมมาสอน เพราะพวกเขาคุยเอาเองว่าตัวเองคือครูสอนระวีฯที่สอนเรื่อง “ความรอด” – แม้กระทั่งบางคนเข้าใจว่าตัวเองรอดแล้วแต่จริงๆไม่ใช่! ผมอยากให้นักเทศน์ของเราทุกคนต้องเน้นพระกิตติคุณมากๆ! ความรอดในพระเยซูคือมงกุฏเพชรของการเทศนา และเป็นจุดสำคัญในการทำพันธกิจของเรา ความเชื่อในพระคริสต์คือจุดสำคัญทั้งหมด เป็นสิ่งง่ายๆ แต่ก็ซับซ้อม ผมหวังว่าพวกคุณจะสามารถได้ยินคำเทศนานี้ที่เกี่ยวข้องกับการช่วยกู้โดยการเชื่อในพระเยซู และนั่นก็นำเรามาที่เนื้อหาของเรา “และตั้งแต่เด็กมาแล้ว ที่ท่านได้รู้พระคัมภีร์อันบริสุทธิ์ ซึ่งมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:15) ในที่นี้คือคำพูดของอาจารย์เปาโลให้กับชายคนหนึ่งที่ชื่อทิโมธีและพวกเราด้วย โดยบอกว่าพระวัจนะมีฤทธิ์สอนท่านให้ได้ปัญญาถึงความรอดโดยความ – และความรอดนี้มาถึงเราโดยทางที่เราเชื่อในพระเยซูคริสต์ จุดสำคัญคือเชื่อในพระเยซูคริสต์ เรามักพูดว่าเยซูหรือพระเยซูคริสต์ แต่สำหรับอาจารย์เปาโลแล้วใช้คำว่าคริสต์นำหน้าก่อน – คริสต์ เยซู – หรือ “พระเมสิยาห์ เยซู” นั่นคือจุดของความคิดนี้ ผมคิดว่าการที่ท่านใช้คำว่า “คริสต์” นำหน้าก็เพื่อเน้นถึงตำแหน่งใหญ่ที่พระเยซูทรงมี และเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของคนบาปที่ถูกเจิม ดังนั้นอาจารย์เปาโลถึงกล่าวว่าเรารับความรอด โดย “ความเชื่อในคริสต์-พระเยซู” – ไม่ใช่ความเชื่อในพระคัมภีร์ แต่ในพระคริสต์-เยซู และจุดประสงค์ของพระคัมภีร์คือ “ทำให้เราฉลาดขึ้น” มีปัญญาและรับความรอด “โดยความเชื่อในพระคริสต์-เยซู” โดย “ความเชื่อ” ท่านหมายถึงวางใจและโดยอาศัย คำว่า “ความเชื่อ’ ในภาษากรีกจะอยู่ในรูปของ “พิสติส” หรือ “pistis” ซึ่งหมายถึง “โดยอาศัยพระคริสต์” ” (Strong, หมายเลขที่ 4102) ดังนั้นเป้าหมายของรอดวางใจที่มีใน พระคริสต์-เยซู โดยเป้าหมายนั้นหมายถึงจุดมุ่งหมาย จุดที่คุณมุ่งเป้าเข้าไปที่นั่น ทุกๆ “อย่าง” คุณต้องวางใจหรือแล้วแต่พระองค์ และ “สิ่ง” นั้น เป้าหมายนั่นคือบุคคล –พระเยซูคริสต์ พระองค์คือเป้าเดียวของเราเท่านั้น หรือคือบุคคลที่ทรงสามารถช่วยให้เรารอด – ไม่ใช่ตัวของพระคัมภีร์ ไม่ใช่พระวิญญาณบริสุทธ์ ไม่ใช่การอธิษฐาน แต่คือพระเยซู – พระเยซูเท่านั้น! นั่นคือทุกอย่างที่ผ่านมาทางพระคัมภีร์ เราได้ยินคำพูดของพระคริสต์ในพระธรรมอิสยาห์ว่า “จงมองมาที่เราและรับการช่วยให้รอด” (อิสยาห์ 45:22) คำว่า “เรา” ในข้อนั้นคือพระคริสต์ก่อนที่จะประสูติลงมายังโลกนี้ - “จงมองมาที่เรา” – พระเยซูคือเป้าหมายที่คุณต้องมองไปโดยทางความเชื่อ “จงมองมาที่เราและรับการช่วยให้รอด” นั่นคือว่าไม่มีความรอดที่ไหนอื่นอีก พระเยซูคือเป้าหมายเดียวที่คุณต้องมองไปโดยทางความเชื่อและวางใจ “จงมองมาที่เราและรับการช่วยให้รอด” และพระเยซูก่อนประสูติทรงกล่าวอีกครั้งหนึ่ว่า “จะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) “เรา” “เรา” “เรา” “แสวงหาเรา” “พบเรา” “ค้นหาเรา” คุณเห็นรู้เปล่าว่าพระเยซูคือเป้าหมายหลักของความเชื่อและความรอด! ซึ่งจะคล้ายคลึงกับพระคัมภีร์ใหม่เช่น “จงเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย” (กิจการ 16:31) พระเยซูคริสต์คือผู้เดียวเท่านั้นที่ต้องเชื่อ พระเยซูคือเป้าหมายหลักของความเชื่อและความรอด! พระองค์ทรงตรัสว่า “บรรดาผู้ทำงานเหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28) พระเยซูบอกเราให้เชื่อในพระองค์ “จงมาหาเรา” พระเยซูคือเป้าหมายหลักของความเชื่อและความรอด! และอีกข้อหนึ่ง “ผู้ที่เชื่อในพระบุตรก็ไม่ต้องถูกพิพากษาลงโทษ” (ยอห์น 3:18) ทั้งหมดนี้มาจากพระคัมภีร์ – ข้อพระคำของเรานี้คือ “…โดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” พระเยซูเท่านั้นที่ทรงช่วยเราให้รอดได้ และทางเดียวที่คุรรอดคือทรงความเชื่อ ไว้วางใจ โดยผ่านทางความเชื่อในตัวของพระเยซูคริสต์ ทำไมคุณถึงต้องการพระเยซู? เพราะว่าพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของคุณ – และเพราะว่าพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตายและประทานชีวิตนิรันดร์ให้คุณ! บาปของคุณต้องได้รับการอภัยถ้าไม่งั้งคุณไม่อาจเข้าแผ่นดินสวรรค์ คุณจะรับชีวิตนิรันดร์จากพระเยซูหรือจะตกในบึงไปนรก! พระเยซูเท่านั้นที่ทรงช่วยเราให้รอดได้! และนี่คือความเชื่อผิดต่างๆ ตัวอย่างเช่น กลุ่มผู้เชื่อในวันเสาร์ อะไรคือคำสอน “สำคัญ” ของพวกเขา? คุณต้องยึดถือวันสะบาโต (วันเสาร์) ไม่ใช่วันของพระเป็นเจ้า (วันอาทิตย์) ไม่นานมานี้พวกเขาเคยมาที่นี่ คายเขียนให้ผมและบอกว่า “เขาเชื่อทุกอย่างในพระคัมภีร์” คายบอกว่านั่นคือสิ่งที่วิเศษ แต่สำหรับผมแล้วรู้สิ่งที่ดีวิเศษกว่านั้น ผมบอกชายหนุ่มคนนั้นว่าคริสตจักรของเรายินดีให้เขาไปที่นั่น แต่เขาต้องไม่คุยกับคนอื่นเกี่ยวกับวันสะบาโต มีวันหนึ่งเขาบอก ดร. คาเกนว่าเขาไม่อาจมาที่คริสตจักรได้อีก เพราะว่าเขาจำเป็นต้องพูดเรื่องของวันสะบาโต! นั่นบอกอะไรให้กับคุณ? นั่นบอกว่าวันสะบาโตคือจุดสำคัญในความเชื่อของเขา ผมไม่ติดใจอะไรกับการที่เขานมัสการในวันสะบาโต แต่อย่าให้ตรงนั้นคือศูนย์กลางของความเชื่อ พระเยซูคริสต์เท่านั้นถึงอยู่ตรงนั้นได้ พระองค์ตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดมาถึงพระบิดาได้นอกจากมาทางเรา” (ยอห์น 14:6) พระเยซูไม่อาจที่จะแบ่งความเชื่อแห่งความรอดนี้ให้กับวัตถุใดๆนอกจากในตัวของพระองค์เอง พระเยซูตรัสว่า “ไม่มีใครมาถึงพระบิดาไม่ นอกจากมาทางเรา” (ยอห์น 14:6) พระเยซูไม่อาจที่จะแบ่งความเชื่อแห่งความรอดนี้ให้กับวัตถุใดๆนอกจากในตัวของพระองค์เอง! พระเยซูเท่านั้น ให้ฉันเห็น พระเยซูเท่านั้น ไม่มีใครแต่พระองค์ คุณจะเห็นจากพวกพยานพยะโฮวาห์เช่นเดียวกัน จุดศูนย์กลางความเชื่อของพวกเขาคือเจโฮวาห์ ไม่ใช่พระเยซู (แม้ว่าพวกเขาจะใช้พระนามของพระองค์) นี่คือคำ “แนะนำ” กับพวกมอร์มอน พวกเขาวางใจพระเยซูโดยที่ไม่พึ่งพระคัมภีร์ของมอร์มอนเลยหรือเปล่า? ไม่เลย! พวกเขาไม่ทำอย่างนั้น? พวกเขาต้องอาศัยหนังสือของมอร์มอน นี่ชี้ให้เห็นถึงหนังสือของมอร์มอน ไม่ใช่พระเยซูที่เป็นจุดศูนย์กลางในความเชื่อของพวกเขา! พระเยซูเท่านั้น พระเยซูเท่านั้นคือศูนย์กลางของความเชื่อ นั่นคือสิ่งที่เปโตรบอกว่า “ในผู้อื่นความรอดไม่มีเลย ด้วยว่านามอื่นซึ่งให้เราทั้งหลายรอดได้ ไม่ทรงโปรดให้มีในท่ามกลางมนุษย์ทั่วใต้ฟ้า” (กิจการ 4:12) พระเยซูเท่านั้นคือศูนย์กลางของความเชื่อของเรา นั่นคือทางเดียวแห่งความรอด อย่างที่เนื้อหาของเรากล่าวว่า ความรอดโดยความเชื่อในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:15) ตอนนี้แล้วคุณล่ะ? คุณพยายามกำลังเชื่ออะไร? คุณพยายามกำลังวางใจอะไร? คุณอาจพูดว่า “ฉันจะเชื่อถ้าฉันรู้สึกอย่างหรืออย่างนั้น ฉันจะเชื่อถ้าสามารถพิสูจน์ความรู้สึกจากภายในของฉัน” คุณไม่มีทางรอดโดยทางนี้! เพราะจุดศูนย์กลางความเชื่อของคุณคือความรู้สึก – ไม่ใช่พระเยซู! คุณอาจรอความรู้สึกทั้งชีวิตของคุณ – และอาจรับความรู้สึก (ขากซาตานหรือวิญญาณชั่ว) – ถ้าคุณพึ่งความรู้สึกก็จะลงนรกเท่านั้น! พระเยซูเท่านั้นช่วยคุณด้วย! พระเยซูต้องเป็นจุดศูนย์กลางของความเชื่อของคุณเท่านั้น ไม่ใช่ความรู้สึก! คุณต้องวางใจในพระเยซูเท่านั้น! พระเยซูเท่านั้น ให้ฉันเห็น พระเยซูเท่านั้น ไม่มีใครแต่พระองค์ มีอีกคนหนึ่งบอกผมว่า “ใช่ ฉันเชื่อ ฉันเชื่อว่าพระเยซูทรงพระชนม์เพื่อฉัน” โอ้ โอ้! คำว่า “ว่า” คือศูนย์กลางในความเชื่อของคุณ – ไม่ใช่พระเยซู! “ฉันเชื่ออย่างว่าอย่างนั้น!” แต่ว่าช่วยใครไม่ได้! “ว่า” คือความตาย เป็นคำสอนที่ลมๆแล้งๆ “ว่า” คือพวกเซนดีเมเนียนนิยม! ผมยังสงสัยว่า “ว่า” อาจจะเป็นชื่อของซาตานก็เป็นได้ คุณพูดว่า “ฉันเชื่อว่าพระเยซูสิ้นพระชนม์เพื่อฉัน” ฉันพูดว่า “หยุดเชื่อว่าอย่างนั้น! จงเชื่อในพระเยซูคริสต์! หยุดเชื่อหลักคำสอน หรือชื่อของซาตาน “ว่า” ““จงเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์เจ้า และท่านจะรอดได้ทั้งครอบครัวของท่านด้วย”” (กิจการ 16:31) ผมต้องวกกลับมาและพูดอีกครั้งว่า ลัทธิไม่มีพระเยซูเป็นศูนย์กลางพระไม้กางเขน! พวกนอกกรีตไม่มีพระเยซู และไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของคุณ ไม่มีศาสนาปลอมที่ทำอย่างนั้น พวกเขาทำตามศาสนาของคนตะวันออก พวกเขามุ่งไปที่ลัทธิของชาวตะวันตก พวกเขาไม่เคยเชื่อพระเยซูและการสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อบาปของเรา โอ้ จงหลีกหนีออกจากพวกนอกรีต! จงเชื่อและวางใจในพระเยซูคริสต์และพระองค์ผู้ถูกปลงพระชนม์! จงหลีกหนีจากความรู้สึกและคำสอนเทียมเท็จ “ความรอด [คือ] ผ่านทางความเชื่อซึ่งในพระเยซูคริสต์” (2 ทิโมธี 3:15) พระเยซูเท่านั้น ให้ฉันเห็น พระเยซูเท่านั้น ไม่มีใครแต่พระองค์ จงหยุดมองดูความรู้สึก! แล้วดูไปที่พระคริสต์และการถูกตรึงของพระองค์! มองดูพระองค์ผู้สถิตในสวรรค์ประทับในพระหัตถ์ขวาของพระเจ้า! จงหลีกหนีจากอารมณ์และความรู้สึก! จงหยุดมองดูความรู้สึก! แล้วดูไปที่พระคริสต์และการถูกตรึงของพระองค์! จงหยุดเชื่อ “ว่า” พระองค์สามารถช่วยคุณ “สิ่งนั้น” ช่วยคุณไม่ได้ หลีกออกจาก “นั้น” “จงเชื่อในพระเยซูคริสต์ แล้วคุณจะรอด” พระองค์อยู่ที่นั่นเพื่อคุณ จงหันมาที่พระองค์ มาที่พระองค์! วางใจในพระองค์! ฉันได้ยินเสียงแห่งการต้อนรับของพระองค์ ถ้าคุณพร้อมที่จะวางใจในตัวของพระเยซู กรุณาลุกจากที่นั่นของท่านเดินออกไปข้างหลังของห้องนี้ ดร. คาเกนจะนำพวกคุณไปที่ห้องอธิษฐาน ไปได้ ดร. ชาน กรณานำเราอธิษฐานเผื่อคนที่วางใจในพระเยซูนี้ อาเมน (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย อาเบล พลูโฮมมี: ยอห์น 3:16-18. |