เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
การแสวงหาและพบกับพระคริสต์ ON SEEKING AND FINDING CHRIST โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าวันที่ 11 เดือนสิงหาคม ค.ศ. 2013 ณ “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” |
เป็นที่ทราบกันดีว่าคนที่ติดตามอาเมเนียนมักจะอธิษฐานเหมือนกับคนที่ติดตามคาวิน แน่นอนผมกำลังกล่าวถึงคนที่ติดตามคาวินในสมัยก่อน ดูเหมือนว่าอาเมเนียนจะประกาศความรอดให้คนแบบที่อธิษฐานขอพระเจ้าเป็นผู้กระทำ เราได้ยินพวกอาเมเนียนอธิษฐานดังนี้ “โอ้ พระเจ้า ขอทรงช่วยพี่น้องของข้าพเจ้า!” ดังนั้นคริสเตียนในกลุ่มของอาเมเนียนดูเหมือนว่าพวกเขาเคยเป็นคนที่ติดตามคาวิน! ปริศนานี้ดูจะไม่ยากนักต่อการที่จะอธิบายให้กับคนที่ฝักฝ่ายในวิญญาณ พระวัจนะตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงให้ความรอดของตนเกิดผลด้วยความเกรงกลัวตัวสั่น เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ทั้งให้ท่านมีใจปรารถนาและให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟิลิปปี 2:12, 13) คนต้องแสวงหาความรอดด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่เขาทำอย่างนั้นก็เพราะว่าพระเจ้าทำงานอยู่ในตัวเขา – และทรงเคลื่อนไหวคนนั้นให้ทำด้วย โปรดจำสองข้อนี้ไว้ในใจ แล้วคุณจะพบว่าไม่มีข้อขัดแย้งใดๆอยู่ในพระคัมภีร์ พระคำของเราตอนนี้กล่าวว่า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) พระคัมภีร์ยังกล่าวอีกว่า “ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า” (โรม 3:11) ข้อไหนกันแน่ที่กล่าวถูกต้อง? ตามตรรกะของมนุษย์แล้วพูดว่าสองข้อนี้ไม่จริงทั้งกันทั้งนั้น แต่ถ้าดูตามในพระธรรมฟิลิปปีแล้วตามที่กล่าวไว้ในสองข้อนี้คือความจริงอย่างแน่นอนและไม่ได้ขัดแย้งกัน และนี่เปรียบเสมือนกระดูดชิ้นสำคัญที่เรานำมาใช้ในการประกาศและใช้ในการให้คำปรึกษาเวลาที่อยู่ในห้องอธิษฐาน ไม่มีใครคนไหนที่จะแสวงหาพระองค์ก่อนที่พระองค์จะสถิตอยู่ในคนๆนั้น ในช่วงระยะห้าสิบห้าปีที่ผมทำพันธกิจ ผมไม่เคยเจอคนไม่เชื่อนอกคริสตจักรจะแสวงหาพระเจ้า ไม่มีเลย! แต่ตอนที่พระเจ้าทรงเรียกคน พวกเขาก็จะแสวงหาพระคริสต์ด้วยสิ้นสุดจิตสุดใจเพื่อที่จะได้พบกับพระองค์! และนี่คือสามความคิดที่กล่าวถึงการแสวงหาและพบพระคริสต์ และมาจากข้อพระคัมภีร์ของเรานี้เอง “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) I. หนึ่ง คนที่พระเจ้าทรงเรียก พวกเขาก็จะแสวงหาพระคริสต์ด้วยสิ้นสุดจิตสุดใจเพื่อที่จะได้พบกับพระองค์! “…เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ทั้งให้ท่านมีใจปรารถนาและให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟิลิปปี 2:13) ทุกวันนี้ผู้คนมักจะพูดกันว่าทุกคนสามารถรับความรอดได้ในทุกเวลา เพียงแค่ผู้ที่หลงหายกล่าวตาม “บทสารภาพของคนบาป” ก็จะรอด สิ่งที่พวกเขาต้องทำคือ “เดินออกมาข้างหน้า” หรือพูดตามคำอธิษฐานนั้น หรือทำทั้งสองอย่าง ถ้าเป็นอย่างนี้ความรอดคือสิ่งที่มนุษย์ทำได้เอง ไม่ต้องการพระเจ้าใดๆ และนี่คือความเชื่อดั้งเดิมที่เชื่อว่าความบาปไม่ได้มารับมาโดยธรรมชาติ พวกที่เชื่อเช่นนี้บอกว่ามนุษย์ต้องช่วยตัวเองโดยที่ชีวิตฝ่ายเนื้อหนังตอบสนองพระกิตติคุณ ต้องอาศัยชีวิตฝ่ายจิตวิญญาณเท่านั้นถึงจะสามารถรับรู้ได้ว่าความเชื่อเช่นนี้มันผิด ขอพระเจ้าทรงเบิกตาของคุณให้เห็นถึงความเชื่อผิดของคนในยุคสมัยนี้ที่เรียกว่า “การตัดสินใจนิยม”! เศรษฐีหนุ่มคนนั้นหันหลังให้กับพระเยซูและกลับไปใช้ชีวิตเดิมแห่งบาปของเขา พระเยซูทรงบอกพวกสาวกว่า ช่าง “ยาก” ยิ่งนักที่จะให้คนเช่นนี้ “เข้าแผ่นดินของพระเจ้า” พวกสาวกถามว่า “แล้วใครล่ะจะรับการช่วยกู้?” พระเยซูทรงตอบว่า “ฝ่ายมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้” (มาระโก 10:24, 26, 27) ผมอยากแบ่งข้อความสำคัญนี้ออกมาดังต่อไปนี้ (1) ช่าง “ยาก” ยิ่งนักที่จะให้คนเช่นนี้ “เข้าแผ่นดินของพระเจ้า”
(2) “แล้วใครล่ะจะรับการช่วยกู้?” (3) “ฝ่ายมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้” (Mark 10:24-27).
แล้วพระเยซูตรัสว่า “แต่ไม่เป็นแบบนั้นกับพระเจ้า:เพราะว่าพระเจ้าทรงกระทำให้เป็นไปได้ทุกสิ่ง” ให้เก็บข้อนี้เอาไว้ในใจ แล้วก็ลองไปคิดถึงโรม 3:11 “ไม่มีคนที่เข้าใจ ไม่มีคนที่แสวงหาพระเจ้า” แล้วก็กลับมาคิดถึงข้อพระคัมภีร์ของเรา “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) ผมพยายามที่จะนำคุณออกจากความคิดของพวกที่ไม่เชื่อเรื่องบาปและพวกที่เชื่อ “การตัดสินใจนิยม” ที่ทำให้หลายๆพันคนต้องหลงหายไป ให้ดูไปที่มาระโก 10 และ โรม 3:11 และเยเรมีย์ 29:13 แล้วก็มาที่ความจริงที่ยิ่งใหญ่นี้ – คนที่หลงหายไม่อาจรอดโดยการทำด้วยตัวเองและไม่แสวงหาพระคริสต์นอกจากพระเจ้าทรงเรียกคนเหล่านั้นมาที่พระผู้ช่วยให้รอด (1) “ถ้าอย่างนั้นใครจะรอดได้?” (มาระโก 10:26) (2) “ฝ่ายมนุษย์ย่อมเป็นไปไม่ได้” (มาระโก 10:27) (3) “เพราะว่าพระเจ้าเป็นผู้ทรงกระทำกิจอยู่ภายในท่าน ทั้งให้ท่านมีใจปรารถนาและให้ประพฤติตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟิลิปปี 2:13) บางคนอาจพูดว่า “นั่นเป็นพวกนิยมคาลวินหรือเปล่า” แต่พวกเขาผิด มันไม่ใช่คาลวิน และมาใช่ไฮคาลวินนิยม” เพราะคนพูดเหล่านี้พูดโดยที่ไม่รู้ว่าศาสนศาตร์ที่ผ่านมานั้นเป็นอย่างไร คาลวินนิยม นั้นกล่าวถึงคนที่คิดว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องออกไปประกาศ เพราะว่าพระเจ้าจะนำคนเหล่านั้นมาคริสตจักรเอง “โดยที่ไม่ต้องพึ่งพาคุณหรือผม” – ถ้าตามอย่างคาลวินนิยมแท้จริงนั้นท่านได้บอกวิลเลียน แครีย์ (ผู้ที่นิยมชมชอบคาลวินเป็นอย่างมาก แต่ไม่ใช่หนึ่งในไฮเปอร์คาลวิน) แต่คุณไม่จำเป็นต้องเป็นคาลวินใดๆเพื่อที่จะเห็น เหมือนอย่างสิ่งที่ผมได้รับมาจาก ดร. เอ ดับบริว โทเซอร์ ผู้ที่ไม่ใช่คาลวินเช่นกัน แน่นอนท่านคือนักศึกษาที่จริงจังกับพระคัมภีร์ ท่านกล่าวว่า คุณรู้หรือเปล่าว่าความเชื่อของคุณคือของประทานจากพระเจ้า? คุณจงมองความเชื่อของคุณว่าเป็นการอัศจรรย์ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าประทานให้กับคนบาปทั้งชายและหญิงที่เชื่อฟังพระผู้ช่วยให้รอดและพระเจ้า…(A. W. Tozer, D.D., Jesus, the Author of Our Faith, Christian Publications, 1988, โดย 3) นอกจากคนที่ได้รับสิ่งมหัศจรรย์นี้จากพระคริสต์เป็นของประทานเท่านั้นถึงจะแสวงหาและพบกับพระคริสต์และได้รับความรอด ส่วนคนอื่นๆที่แสวงหาด้วยตัวเอง ไม่อาจพบพระคริสต์ได้ อย่างที่พระองค์ตรัสว่า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา” พระเจ้าตรัสให้กับคนที่ประทานความเชื่อให้เท่านั้น และไม่ประทานให้กับคนที่พระเจ้าตรัสให้ว่า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) คำสัญญานี้ทรงประทานให้กับคนที่พระเจ้าประทานความเชื่อให้เท่านั้น ย้ำอีกครั้งคำสัญญาของพระเจ้านี้ทรงให้กับผู้เชื่อกลุ่มนี้เท่านั้น ส่วนคนอื่นๆที่ไม่ได้ชักนำก็จะไปๆมาๆในคริสตจักรในช่วงระยะเวลาหนึ่งและไม่นานก็จะหนีออกจากคริสตจักรไป – หรืออย่างมากก็คือเป็นพวกที่มาคริสตจักรตามเทศกาล เป็นเพียงแค่คริสเตียน “ในนาม” เป็นสมาชิกที่ไม่ได้รับความรอด สำหรับคนที่พระเจ้าสถิตและทำงานอยู่ในผู้นั้น พวกเขาจะแสวงหาและพบกับพระคริสต์ และพวกเขา เท่า นั้น คือผู้ที่แสวงหาและพบพระองค์! ด้วยเหตุนี้พระคริสต์จึงตรัสว่า “ไม่มีผู้ใดมาถึงเราได้นอกจากพระบิดาผู้ทรงใช้เรามาจะทรงชักนำให้เขามา และเราจะให้ผู้นั้นฟื้นขึ้นมาในวันสุดท้าย…” (ยอห์น 6:44) ตอนที่ทุกคนมาที่พระคริสต์ก็เพราะพระคุณของพระเจ้าเท่านั้น พระคุณพระเจ้า นั้นแสนชื่นใจ II. สอง คนที่ ไม่ได้ ถูกชักนำ ไม่สามารถพบกับพระคริสต์ “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) พระสัญญานี้กล่าวว่า “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเรา” คำว่า “เจ้า” ในที่นี้คือใคร? อย่างที่ผมได้พบในตอนเชื้อนี้ “เจ้าจะ…พบเรา” พูดถึงคนที่ “แสวงหา [พระองค์] ด้วยสิ้นสุดใจ เท่านั้น แล้วใครล่ะคือผู้ที่ไม่มีส่วนในพระสัญญานี้? พวกเขาคือคนที่ไม่ได้ “แสวงหาพระองค์ด้วยสิ้นสุดใจของ [พวกเขา]” สำหรับคนที่คิดว่าพวกเขายังอยากที่จะทำบาปบางอย่างที่พวกเขารักอยู่ต่อไป จะไม่มีวันที่พบกับพระเยซูคริสต์ได้ พระเยซูทรงตรัสว่า “หลักของการพิพากษามีอย่างนี้ คือความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รักความมืดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาชั่ว” (ยอห์น 3:19) คนที่รัก “ความมืดมากกว่าความสว่าง” จะไม่ยอมมาที่พระคริสต์ สเปอร์เจียนกล่าวว่า “สมสมุติว่าความเมตตากรุณาของพระเจ้าคือเหตุผลที่บอกว่าทำไมพวกเขาต้องห่อตัวเองด้วยเสื้อผ้าเพื่อความปลอดภัยจากกามารมณ์ และให้อยู่ห่างไกลจากวันแห่งความชั่ว แล้วพระเจ้าก็นำคุณออกจากความชั่วนี้ (C. H. Spurgeon, “A Second Word to Seekers,” MTP, number 1,313, p. 514) และสำหรับคนที่ยอมแพ้ต่อความชั่วจะไม่มีวันพบกับพระเยซู สเปอร์เจียนบอกว่า “วิญญาณที่ยากไร้ทั้งหลาย จงเข้ามา พระองค์ทรงรับคุณ ไม่ว่าคุณจะเป็นอย่างไรก็ตาม ถ้าคุณวางใจพระเยซูด้วยสิ้นสุดใจ พระองค์ก็จะทรงรับคุณ และ พระองค์ จะ สำแดง ให้ รู้ ว่า จะ วางใจ อย่างไร และประทานความเชื่อให้…[คุณจะ] พบกับความเมตตาอย่างที่พระคำของเรานี้กล่าวว่า…ถ้าคุณแสวงหา [พระเยซู] ด้วยสุดใจทั้งหมดของเจ้า” (เล่มเดียวกัน หน้า 515) แล้วสำหรับคริสเตียนที่เป็นแบบอย่างไม่ดีและผิดไม่มีวันพบกับพระคริสต์ สเปอร์เจียนบอกว่า “ผมกลัวว่าจะมีคนจะไม่แสวงพระเจ้าด้วยสิ้นสุดใจเพราะอาจารย์คริสเตียนที่สอนตามพระคริสตธรรม ผมขอแนะนำว่าอย่าไปทำตาม [แบบอย่าง] และติดตามพวกเขา เพราะพวกเขาคือคนที่ [ไร้ค่า] และเป็น [แบบอย่างที่ไม่ดี] จงปล่อยพวกเขาอยู่กับสิ่งเลวที่พวกเขาทำ สำหรับคุณล่ะ? คุณมีจิตวิญญาณของคุณเอง [ที่จะคิดถึง] และคุณต้องแสวงหาพระคริสต์อย่างสุดจิตสุดใจ…แต่ใจของคนเหล่านั้นเป็นเพียงแต่อุ่นๆไม่เย็นไม่ร้อนไม่เคยถูกต้มด้วยรัก” (เล่มเดียวกันหน้า 515, 516) อย่าไปทำตามแบบอย่างที่ไม่ดีของคนเหล่านี้! สำหรับคนที่คิดว่าตัวเองยังอยากที่จะทำบาปชั่วร้ายจะไม่สามารถพบกับพระคริสต์ คนที่ยอมแพ้ความชั่วไม่อาจพบพระเยซู คนที่ทำตามแบบอย่างคริสเตียนเท็จก็ไม่อาจพบกับพระเยซู “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) III. สาม ใครที่จะได้พบพระเยซู? ผมจะอ้างพระธรรมของเราอีกครั้งหนึ่ง “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเรา ด้วย สิ้น สุดใจ ของ เจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) คุณต้องแสวงหาพระคริสต์สิ้นสุดใจของคุณ! โดยปกติเรามักจะแสวงพระองค์อย่างทันทีทันใดและก็พบกับพระคริสต์! แต่คนที่แสวงหาเพียงแค่ครึ่งของใจก็จะอยู่ในบาปต่อไปอย่างไม่มีวันสิ้นสุด สเปอร์เจียนยังบอกอีกว่า ต้องแสวงหาด้วยใจทั้งหมดของคุณ เพราะสิ่งที่คุณแสวงหานั้นสมบูรณ์แบบ และนี่คือสิ่งที่คริสเตียนแท้นั้นอธิฐานกัน พวกเขาอธิษฐานเพียงแค่ครึ่งของใจเท่านั้นหรือเปล่า? ในพระธรรมสดุดีกล่าวว่า “ข้าพระองค์แสวงหาพระองค์ด้วยสุดใจของข้าพระองค์” (สดุดี119:10)…พวกเขาอธิษฐานต่อสู้เหมือนอย่างยาโคบ ““ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า” (ปฐมกาล 32:26) การอธิฐานคือการหายใจของคริสเตียน ถ้าคนๆนั้นไม่อธิษฐานด้วยสิ้นสุดใจ จะเห็นชัดเจนว่าการมีชีวิตในฝ่ายวิญญาณ ผู้แสวงหาต้องแสวงหาด้วยสิ้นสุดใจ (เล่มเดียวกัน หน้า 512, 513) คุณอาจพูดว่า “ฉันต้องอธิษฐานมุ่งมั่นอย่างหนักเหมือนกับท่านลีและท่านพลูดโฮมมีหรือเปล่า? ฉันต้องอธิษฐานด้วยความกระตือรือร้นเหมือนอย่างท่าน จอห์น คาเกน หรือ เอนโทนี คิมอย่างนั้นหรือ? ใช่! ควรจะเป็นอย่างนั้นและก็ช่วยคุณได้จริงๆ! เพราะความกระตือรือร้นเช่นนี้ทำให้ไม่มีอันตรายใดๆมาขัดขวางการแสวงหาพระคริสต์ของคุณ! คุณไม่จำเป็นต้องไปในที่ใดๆจากที่คุณอยู่ ผมยังเคยได้ยินหญิงสาววัยรุ่นดีเลิศกลุ่มหนึ่ง ว่าได้อธิษฐานละทิ้งสิ่งสิ่งต่างๆในตอนที่พวกเธอมากลับใจใหม่นั้น! ผมเคยได้ยินว่ามีเด็กๆอธิษฐานด้วยใจร้อนรนทำให้ผมถึงกับร้องไห้ออกมา! เหตุผลหนึ่งที่เราไม่ได้ยินเด็กตัวเล็กอธิษฐานอย่างนี้อีกเป็นเพราะว่ายุคที่ไม่เชื่อเรื่องของบาปอย่างทุกวันนี้นั้นเด็กที่กลับใจใหม่จริงๆคือส่วนน้อย การขาดการอธิษฐานด้วยใจกระตือรือร้นเช่นนี้คือเหตุผลหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังโพลล์สำรวจของจอร์ด บาร์มา ที่บอกเราว่า – คริสตจักรของเราสูญเสียเด็กๆเหล่านี้ไปประมาณ 80% ก่อนที่พวกเขาจะมีอายุครบสามสิบปี นั่นคือความจริงที่น่าตกใจและน่าเป็นห่วงอย่างมาก! ถ้าเรามีเด็กๆที่กลับใจอย่างจริงๆเราคงได้ยินการอธิษฐานแบบกระตือรือร้นเหมือน ท่าน บีบาวท์ หรือทิโมธี ชาน หรือโนอาห์ ซอง คุณอาจพูดว่า “พวกเรายังเป็นวัยรุ่นอยู่! และวัยรุ่นไม่อาจที่จะอธิษฐานจริงจังอย่างนั้นได้!” คุณพูดเล่นหรือเปล่า? ผมฟังคุณตอนที่คุณเล่นอยู่ข้างนอก คุณมีปัญหาในการพูดเวลาอยู่ที่นั่นหรือเปล่า? ไม่! ไม่มีเลย! คุณอาจเป่าหูใครบางคนในขณะที่คุณเล่น ทำไม? เพราะว่าเกมส์นั้น สำคุญ ให้กับคุณ มากๆ! แต่การอธิษฐานกลับไม่สำคัญให้กับคุณ! คุณจะต้องอธิษฐานจนเหงื่อออกพระเจ้าถึงจะชักนำคุณมาที่พระคริสต์! ผมเคยเห็นคนที่อธิษฐานอย่างจริงจังและร้องไห้ทุกครั้งที่มีการฟื้นฟู! แต่ยังพึ่งเชื่อคำพูดของผม ให้อ่านพระธรรมกิจการก่อน! “เมื่อเขาทั้งหลายได้ฟังจึงพร้อมใจกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้า” (กิจการ 4:24) พวกเขาพร้อมใจกัน “เปล่งเสียง” นั่นคือการอธิษฐานที่ร้อนรน! “เมื่อเขาอธิษฐานแล้ว ที่ซึ่งเขาประชุมอยู่นั้นได้หวั่นไหว และคนเหล่านั้นประกอบด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ได้กล่าวพระวจนะของพระเจ้าด้วยใจกล้าหาญ” (กิจการ 4:31) นั่นคือหลักข้อสำคัญของการอธิษฐานและการเป็นพยานที่เราเห็นว่าคุณกลับใจจริงๆ! มีศิษยาภิบาลคนหนึ่งบอกชายหนุ่มคนหนึ่งว่า “อย่าส่งเสียงดัง! อย่าเทศน์ไปที่พระเจ้า!” ศิษยาภิบาลคนนี้พูดถูกหรือเปล่า? ไม่ เขา พูด ผิด อย่าง มหันต์ ในพระธรรมกิจการบอกว่า “พร้อมใจกันเปล่งเสียงทูลพระเจ้า” ถ้าทุกคนทำอย่างนั้นในคริสตจักรของเรา อาจทำให้สมาชิกจอมปลอมทั้งหลายต้องเอามือปิดหู! สิ่งหนึ่งที่ทำให้สมาชิกจอมปลอมพวกนั้นเอามือออกจากหูและร้องไห้ออกมาด้วยความตื่นเต้นคือตอนดูกีฬาที่สนานบาสเกตบอล นั่นแหละคือสิ่งที่สามารถทำให้คนพวกนี้ดูกระฉับกระเฉง! แต่สำหรับคริสเตียนที่บังเกิดใหม่อย่างแท้จริงแล้วจะชื่นชมยินดีกับการอธิษฐานที่ร้อนรน – อย่างที่คริสตจักรในประเทศจีน อินเดีย แอฟริกา และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ทำกัน ขอพระเจ้าทรงเมตตาประเทศอเมริกาและประเทศแถบตะวันตกของเราที่มีสมาชิกแต่เหมือนตายแล้ว! เราอยู่ห่างไกลจากมาตราฐานของประเทศในโลกที่สาม – และคริสตจักรในพระธรรมกิจการมาก! ขอพระเจ้าทรงช่วยวัยรุ่นทั้งหลายออกจากไฟและมาพบกับพระคริสต์เดี๋ยวนี้! คนที่เพียงแต่ตามมาและไม่อยากร้องเพลงหรืออธิษฐานด้วยใจกระตือรือร้น ตอนที่พระเจ้าลงมาพิพากษาคนเหล่านี้จะถูกคายออกจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า! พระคริสต์ทรงตรัสว่า “ดังนั้น เพราะเหตุที่เจ้าเป็นแต่อุ่นๆไม่เย็นและไม่ร้อน เราจะคายเจ้าออกจากปากของเรา” (วิวรณ์ 3:16) คุณจะไม่มีวันรอดจนกว่าคุณจะอธิษฐานด้วยใจกระตือรือร้นในการแสวงหาพระคริสต์! คุณต้องแสวงหาพระคริสต์ด้วยสิ้นสุดจิตถึงจะได้รับการช่วยกู้! “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วย สิ้น สุดใจ ของ เจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) ความกระตือรือร้น! ความกระตือรือร้น! ความกระตือรือร้น! ในยุคที่มีการฟื้นฟูใหญ่ครั้งแรกนั้น ผู้คนจะเรียกในยุคนั้นว่า พวกเมทอดิสต์ “ที่กระตือรือร้น” เพราะไม่ว่าพวกเขาจะร้องเพลง อธิษฐาน เป็นพยาน และเทศนาก็ล้วนออกมาจากใจ! ผม หวังว่า แบ๊บติสต์ ของ เรา จะ เป็น อย่างนั้น ใน คริสตจักร ของ เรา ใน ทุก วันนี้! ไม่แปลกใจอะไรที่คุณไม่พบกับพระเยซู! เพราะคุณมาคริสตจักรเหมือนบาทหลวงที่ตายแล้วแต่ยังคาดหวังที่จะพบกับพระคริสต์! ช่างไร้เหตุผล! คุณต้องแสวงหาพระคริสต์ด้วยสิ้นสุดใจทั้งหมดของคุณและเข้ามาที่พระองค์ แล้วคุณก็จะกลับบ้านพร้อมกับร้องตะโกนว่า “ฮาเลลูยา! ฉันรอดแล้ว!” รอดพ้นจากความตาย ความแห้งแล้ง ของคุณ บาทหลวงที่ตายแล้ว และศาสนาของพวกแบ๊บติสต์ในยุคสมัยใหม่ และจากโลกนี้! “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเรา ด้วย สิ้น สุดใจ ของ เจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) ขอให้คุณร้องขอไปกับยาโคบว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า” (ปฐมกาล 32:26) แล้วพระเยซูโกรธเขาหรือเปล่า? ไม่เลย! พระองค์ทรงตอบคำอธิษฐานของเขาและช่วยจิตวิญญาณของเขารอด ในตอนที่เขาร้องออกมาและวางใจพระเยซูองค์พระผู้เป็นพระเจ้าก่อนที่จะมาประสูตรเป็นมนุษย์ยังโลกนี้ด้วยใจกล้าหาญและศัทธา! อย่าร้องไห้เสียงดังในเวลาที่เข้าไปที่ห้องอธิษฐาน! โอ้ อย่าเลย คุณอย่าร้องไห้ตะโกนเสียงดัง! คุณอย่าอธิษฐานร้องไห้เสียงดังเพื่อความรอดเหมือน จอห์น คาเกน และทิโมธี ชาน ทำกัน! ใครบอกให้คุณทำอย่างนั้น? มันคือซาตานบอกคุณ! ใครบอกให้คุณทำอย่างนั้น? มันคือปีศาจชั่ว! คุณรับคำแนะนำนั้นมาจากซาตาน และอะไรคือสิ่งที่ดีที่คุณทำเอาไว้? คุณคือคนที่หลงหายอย่างวันแรกที่คุณเข้าไปในห้องอธิษฐาน! สิ่งที่คุณทำนั้นไม่มีอะไรดีเลย! คุณอยากมีความรู้สึกอย่างนั้นหรือเปล่า? คุณจะไม่มีวันรู้สึกแม้แต่นิดถ้าคุณเข้าไปที่ห้องอธิษฐานเหมือนกับคนที่ตายแล้ว! คุณจะมีความรู้สึกอย่างนั้นถ้าคุณร้องไห้ออกมาอย่างคนแบ๊บติสต์ เพรสไบทีเรียน และเมโทดิสต์ในสมัยก่อน! พวกเขาร้องไห้ด้วยความพึงพอใจในพระองค์ ผู้ซึ่งสามารถช่วยจิตวิญญาณของพวกเขาให้รอดพ้นจากบาปและความตาย! นี่คือสิ่งที่คุณต้องการ! คือการแสวงหาด้วยใจร้อนรน! อธิษฐานด้วยใจร้อนรน! ร้องไห้ด้วยใจร้อนรน! ร้องตะโกนด้วยใจร้อนรน! และชื่นชมยินดีด้วยใจร้อนรน! “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเรา ด้วย สิ้น สุดใจ ของ เจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) ถ้าคุณเข้าไปที่ห้องอธิษฐานอย่างที่คุณเคยเป็น ไม่มีทางที่คุณจะได้รับความรอด ถ้าใครไปทางที่ผมบอกให้ด้วยท่าที่ร้องไห้และอธิษฐานร้อนรน คืนนี้คนนี้ก็จะได้รับความรอด! และร้องขอพร้อมกับยาโคบว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า” (ปฐมกาล 32:26) ทำไมไม่ใช่ตอนนี้? ทำไมไม่ใช่ตอนนี้? กรุณาไปที่ห้องอธิษฐานและร้องพร้อมกับยาโคบว่า “ข้าพเจ้าไม่ยอมให้ท่านไป นอกจากท่านจะอวยพรแก่ข้าพเจ้า” ไปด้วยท่าทีที่ปราถนากระหายหาพระเยซู แล้วก็จะได้พบกับพระองค์ “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเรา ด้วย สิ้น สุดใจ ของ เจ้า” (เยเรมีย์ 29:13) พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของคุณ และพระองค์ก็เป็นขึ้นมาจากความตายและประทานชีวิตใหม่ให้คุณ ถ้าคุณอยากให้พระเยซูอภัยบาปของคุณ และชำระบาปของคุณด้วยพระโลหิตของพระองค์ จงไปที่ห้องอธิษฐานและร้องขอความรอดจากพระคริสต์ ขอให้ออกไปข้างหลังของห้องนมัสการในตอนนี้ ดร. คาเกน จะพาพวกท่านไปยังห้องอธิษฐาน ดร. ชาน กรุณานำเราอธิษฐานเผื่อคนที่ต่อสนองรับเอาความรอดนี้ อาเมน (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net |
โครงร่างของ การแสวงหาและพบกับพระคริสต์ โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “เจ้าจะแสวงหาเราและพบเราเมื่อเจ้าแสวงหาเราด้วยสิ้นสุดใจของเจ้า” (ฟิลิปปี 2:12, 13; โรม 3:11) I. คนที่พระเจ้าทรงเรียก พวกเขาก็จะแสวงหาพระคริสต์ด้วยสิ้นสุดจิตสุดใจเพื่อที่จะได้พบกับพระองค์! ฟิลิปปี 2:13; มาระโก 10:24, 26, 27; โรม 3:11; ยอห์น 6:44 II. สอง คนที่ ไม่ได้ ถูกชักนำ ไม่สามารถพบกับพระคริสต์ ยอห์น 3:19 III. สาม ใครที่จะได้พบพระเยซู? สดุดี 119:10; ปฐมกาล 32:26; กิจการ 4:24, 31; วิวรณ์ 3:16 |