เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
ข้อขัดแย้งถึงการฝังพระศพของพระคริสต์ (เทศนาตอนที่ 10 ในอิสยาห์ 53) โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเย็นวันของพระเป็นเจ้าวันที่ 7 เดือน เมษายน ค.ศ. 2013 ณ “และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนชั่ว ในความตายของท่านเขาจัดไว้กับเศรษฐี แม้ว่าท่านมิได้กระทำการทารุณประการใดเลย และไม่มีการหลอกลวงในปากของท่าน” (อิสยาห์ 53:9) |
มีสักกี่ครั้งที่คุณได้ยินคำเทศนาที่กล่าวถึงการฝังพระศพของพระคริสต์? สำหรับผมแล้วไม่เคยได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียว แม้ว่าผมเทศนามาแล้ว 55 ปี และรับใช้อยู่ในคริสตจักรมาแล้ว 59 ปี และก็จำไม่ได้ว่าเคยอ่านคำเทศนาที่กล่าวถึงการฝังศพของพระคริสต์หรือเปล่า!! เราน่าจะได้ยิน เหนือสิ่งอื่นใดการฝังศพนั้นไม่ใช่สิ่งที่สำคัญ ความจริงก็คือนั่นเป็นจุดรองที่พระกิตติคุณกล่าวถึง! “คือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์” (I โครินธ์ 15:3) นั่นคือจุดแรกของพระกิตติคุณ “และทรงถูกฝังไว้” (I โครินธ์ 15:4) นั่นคือจุดที่สองของพระกิตติคุณ เราจะพูดได้อย่างไรกันว่าเราเทศนาพระกิตติคุณของพระเจ้าทั้งที่ไม่เคยกล่าวถึงในจุดที่สองนี้เลย? อย่างไรก็ตามกับปัจจุบันนี้ก็มีเหมือนกันแต่น้อยมากที่กล่าวถึงในจุดที่สองหรือสาม! นั่นคือจุดอ่อนที่สุดของการเทศนาในยุคสมัยใหม่ เราควรจะใช้พระกิตติคุณเป็นศูนย์กลาง เราควรจะให้เกียรติพระเยซูมากกว่านี้ และการเทศนาของเราควรจะยืนหยัดอยู่บนรากฐานของการที่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์แทนเราเป็นประเด็นหลัก ได้มีการกล่าวไว้อย่างน่าสะพึงกลัวว่าการเทศนาที่ดีในปัจจุบันนี้แถบหาไม่ได้เลย และผมเองก็เห็นด้วยอย่างนั้น การเทศนาในสมัยนี้ส่วนดีมีน้อยมาก น้อยมากจริงๆ! ความจริงคืออะไรกันแน่? ในความเป็นจริงก็คือว่าการเทศนาส่วนใหญ่ไม่กล่าวถึงพระกิตติคุณเลย ศิษยาภิบาล “สอนผู้เชื่อ” แทนที่จะเทศนาเกี่ยวกับพระกิตติคุณให้กับคนที่ยังหลงหาย เพราะแม้แต่ในคริสตจักรเองก็ยังมีผู้ที่ยังหลงหายอยู่! “การสอนเกี่ยวกับคุณธรรม” ที่เรียกกันว่า “คริสเตียน” ไม่ใช่จุดที่สำคัญในอำดับแรก! ถ้าพระคริสต์ไม่ใช่จุดศูนย์กลางแล้ว การเทศนานั้นๆก็ถือว่าไม่สำคัญเลย! การรู้ถึงพระกิตติคุณนั้นอยู่ห่างไกลจากการที่รู้เรื่องเกี่ยวกับพระคริสต์ ความรู้ในพระกิตติคุณที่แท้จริงนั้นคือการรู้ถึงตัวของพระเยซูนั่นเอง พระเยซูตรัสว่า “และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยอห์น 17:3) โรเจอร์ ริสเกอร์ แบรี่ เคยกล่าวเอาไว้กับคำว่า “รู้” เป็นคำกิริยาน่าจะแปลว่า “รู้…โดยประสบการณ์” (Greek-English New Testament Lexicon) การเป็นคริสเตียนที่แท้จริงนั้นคุณต้องมีประสบการณ์กับพระคริสต์ด้วยตัวคุณเอง การรู้เท่านั้นไม่สามารถช่วยให้คุณให้รอดได้ คุณต้องรู้ถึงการที่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพราะบาปของเราโดยประสบการณ์ คุณต้องรู้ถึงการฝังพระองค์ด้วยประสบการณ์ของคุณเอง คุณต้องรู้ถึงการเป็นขึ้นมาของพระองค์ด้วยประสบการณ์ของคุณเอง นั่นคือทางสู่ความรอด นั่นคือหนทางสู่ชีวิตนิรันดร์ “และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยอห์น 17:3) ถ้าคุณยังไม่เคยมีประสบการณ์เหล่านี้ ผมรู้สึกว่าผมกำลังทำสิ่งที่ไม่ง่ายเลยสำหรับคุณ นั่นแหละจึงไม่เป็นที่สงสัยเลยว่าทำไมคุณไม่ใช่คริสเตียนที่แท้จริง เพราะว่าคุณไม่เคยมีประสบการณ์แห่งการกลับใจที่แท้จริง คุณก็จะอยู่อย่างมีปัญหาไปจนกระทั่งวันที่คุณเปลี่ยนใจของคุณ และล้มลงที่พระบาทของพระคริสต์และพบกับความรอดที่แท้จริงในพระองค์และโดยพระองค์เท่านั้น การรู้จักกับพระคริสต์ คุณต้องไปที่กางเขน และมองดูพระองค์ผู้ทรงสิ้นพระชนม์ที่นั่นเพื่อไถ่บาปของเราด้วยความเชื่อ และให้ลงไปที่อุโมงค์บรรจุศพของพระองค์โดยความเชื่อและก็ “ถูกฝังไว้กับพระองค์แล้วโดยการรับบัพติศมาเข้าส่วนในความตายนั้น” (โรม 6:4ก) โดยเดชพระรัศมีของพระบิดาอย่างไร เราก็จะได้ “ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยอย่างนั้” (โรม 6:4ข) ดังนั้นให้เรากลับมาที่เนื้อหาของเราอีกครั้งหนึ่งเพื่อเรียนรู้ถึงการฝังพระศพของพระองค์ เพื่อเราจะได้มีประสบการณ์ของพระองค์นี้ด้วยกัน “และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนชั่ว ในความตายของท่านเขาจัดไว้กับเศรษฐี แม้ว่าท่านมิได้กระทำการทารุณประการใดเลย และไม่มีการหลอกลวงในปากของท่าน” (อิสยาห์ 53:9) เราเห็นถึงคำพูดที่ขัดแย้งกันเองถึงการฝังศพของพระองค์ มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน เพื่อการศึกษานั่นเอง และเราก็รู้คำตอบแล้วเสียด้วย I. หนึ่ง ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการฝังพระศพของพระองค์ “และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนชั่ว ในความตายของท่านเขาจัดไว้กับเศรษฐี…” (อิสยาห์ 53:9) ในสมัยของพระคริสต์นั้น “คนที่ทำชั่ว” คือบรรดานักโทษทั้งหลาย คน “รวย” คือผู้ที่มีหน้ามีตามีเกิยรติยศ ดังนั้นพระองค์เกี่ยวข้องอย่างไรทั้งกับคนชั่วและ “ในความตายของท่านเขาจัดไว้กับเศรษฐี”? นี่คือข้อที่นักอรรถธิบายของคนยิวในสมัยโบราณไม่เข้าใจและเกิดการสับสน จึงเกิดการขัดแย้งกันเอง และในใจของพวกเขาดูเหมือนจะเป็นคนละเรื่องกัน แต่ปริศนานี้ได้รับการเปิดเผยเอาไว้ในพระกิตติคุณยอห์น พระเยซูทรงสิ้นพระชนม์ระหว่างผู้ร้ายสองคน นั่นคือคนหนึ่งอยู่ทางซ้ายอีกคนหนึ่งอยู่ทางขวา ตามเนื้อหาของเราคนทั้งสองนี้คือ “คนชั่ว” พระเยซูสิ้นพระชนม์ก่อนในขณะที่คนร้ายทั้งสองคนนี้ยังไม่ตาย “เพราะวันนั้นเป็นวันเตรียม พวกยิวจึงขอให้ปีลาตทุบขาของผู้ที่ถูกตรึงให้หัก และให้เอาศพไปเสีย เพื่อไม่ให้ศพค้างอยู่ที่กางเขนในวันสะบาโต [เพราะวันสะบาโตนั้นเป็นวันใหญ่]” (ยอห์น 19:31) ทหารได้หักขาของคนร้ายทั้งสองคน นี่เป็นการป้องกันไม่ให้คนทั้งสองดิ้นเพื่อจะได้ตายช้าๆ แต่ตอนที่พวกทหารมาที่พระคริสต์ผู้ที่ถูกตรึงอยู่ตรงกลางก็พบว่าพระองค์ได้สิ้นพระชนม์แล้วก่อนหน้านั้น ทหารคนหนึ่งจึงแทงที่สีข้างของพระองค์ด้วยหอกเพื่อตรวจดูว่าตายจริงๆ น้ำและโลหิตก็ไหลออกมา นั่นแสดงว่าพระองค์ทรงพระชนม์แล้วจริงๆ พระองค์ไม่ได้ทรงครองบนบัลลังก์ด้วยงาช้าง, แต่มีสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นอย่างไม่คาดฝัน มีชายสองคนได้มาขอพระศพของพระองค์ นั่นคือโยเซฟชาวอาริมาเทียผู้เป็นเศษฐีและดำรงตำแหน่งในสภาสูงสุดของพวกยิวด้วย และอีกท่านหนึ่งคือนิโคเดมัสผู้นำของคนยิว คือคนเดียวกันที่เคยมาหาพระเยซูในตอนกลางคืน (ดูยอห์น 3:1-2) ท่านทั้งสองคือสาวกลับๆและตอนนี้คือครั้งแรกที่ท่านทั้งสองเปิดเผยฐานะตัวเองเป็นครั้งแรก การกระทำของทั้งสองนี้ก็เสี่ยงมาก ดร. เมคกี้ กล่าวว่า อย่าไปวิพากวิจารณ์คนทั้งสองนี้เลย พวกเขาอยู่เบื้องหลัง แต่ตอนนี้สาวกของพระเยซูได้กระจัดกระจายไปอย่างแกะที่ไม่มีผู้เลี้ยง ชายทั้งสองคนนี้จึงต้องเปิดเผยตัวเอง (J. Vernon McGee, Th.D., Thru the Bible, Thomas Nelson, 1983, volume IV, p. 494). โยเซฟชาวอาริมาเทียและนิโคเดมัสได้มาเอาพระศพของพระคริสต์ สำหรับโยเซฟนั้นคือคนที่ร่ำรวยและเขาก็นำพระศพของพระองค์ไปบรรจุไว้ในอุโมงค์ใหม่ของท่าน “แล้วเชิญพระศพไปประดิษฐานไว้ที่อุโมงค์ใหม่ของตน ซึ่งเขาได้สกัดไว้ในศิลา เขาก็กลิ้งหินใหญ่ปิดปากอุโมงค์ไว้แล้วก็จากไป” (มัทธิว 27:60) ตอนนี้ข้อขัดแย้งระหว่างการบรรจุพระศพของพระองค์ก็ได้รับการเปิดเผย แน่นอนพระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนด้วยกันกับคนชั่วสองคน แต่พระศพของพระองค์ถูกฝังเอาไว้”กับเศรษฐี” (อิสยาห์ 53:9) ในที่เก็บศพของคนรวย พระคริสต์ทรงมีประสบการณ์สิ้นพระชนม์ร่วมกับผู้ร้าย แต่พระศพของพระองค์ได้รับเกียรติถูกฝังเอาไว้ในที่ของเศรษฐี นี่แสดงให้เห็นว่าความอัปยศอดสูของพระองค์ได้สิ้นสุดลงแล้ว พระศพของพระองค์ไม่ได้ถูกฝังเหมือนอย่างคนร้ายทั้งสองคนนั้น แต่เป็นการแสดงถึงการให้เกิยรติอย่างที่พระองค์ทรงสมควร ซึ่งถูกบรรจุไว้ในอุโมงค์ของคนรวยและอย่างคนที่มีเกียรติยศ จากข้อขัดแย้งและข้อปริศนาให้กับพวกธรรมจารย์ที่พยายามศึกษาเรื่องนี้ ก็ได้รับการเปิดเผยจากเนื้อหาของเราในตอนนี้ “และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนชั่ว ในความตายของท่านเขาจัดไว้กับเศรษฐี” (อิสยาห์ 53:9) อีกเหตุผลหนึ่งที่แสดงถึงการที่พระเยซูทรงเกี่ยวข้องกับคนชั่วและเศรษฐี ตามที่ผมได้กล่าวเอาไว้แล้ว คนยิวได้แต่บอกว่านักโทษคือผู้ที่ทำผิดกฏหมาย นั่นคือ “คนชั่ว” และพวกเขาก็คิดว่า “คนรวย” คือผู้ที่สมควรได้รับการให้เกียรติ ความจริงที่แสดงถึงการที่พระเยซูต้องเกี่ยวข้องกับคนสองกลุ่มนี้เพื่อยืนยันว่าพวกธรรมจารย์ในสมัยโบราณได้แยกแยะระหว่าง “คนชั่ว” กับ “เศรษฐี”ผิดไปอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่คนสองกลุ่มแต่เป็นกลุ่มเดียวเพราะต่างก็คือคนบาปกันทั้งนั้น และนี่ก็เป็นความจริงให้กับคนในยุคสมัยนี้ ดูถูกคนบาปเหมือนอย่างที่เรียกกันว่า “คนชั่ว” ในขณะที่ผมกำลังเตรียมบทเทศนานี้ก็มีคนโทรศัพท์มาหาผม ขอร้องให้ผมบริจาคเงินให้กับพันธกิจของพวก “อนุรักษ์นิยม” คนที่พูดในทางโทรศัพท์นั้นบอกว่า “สิ่งต่อไปนี้อะไรที่คุณคิดว่าสำคัญที่สุดที่กำลังเกิดกับประเทศอเมริกา – การทำแท้ง ขาดการสนับสนุนประเทศอิสราเอล หรือพวกรักร่วมเพศ?” ผมจึงบอกว่า “ทั้งหมดนี้ไม่ใช่เลย สิ่งที่สำคัญที่สุดที่กำลังเกิดขึ้นให้กับประเทศอเมริกาคือศิษยาภิบาลของเราไม่ยอมเทศนาเรื่องของบาปให้กับสมาชิกในคริสตจักรต่างหาก” ผมกำลังหมายถึงอะไร? หมายความว่า การทำแท้ง การแต่งงานกับคนในเพศเดียวกัน และการขาดการสนับสนุนอิสราเอลเป็นเพียงอาการของโรค แต่ไม่ใช่ต้นเหตุของโรคที่แท้จริง เป็นเพียงอาการของโรคที่เกิดจากความเจ็บไข้ได้ป่วย คุณสามารถรักษาอาการนั้นได้ แต่จะไม่มีทางหายอย่างเด็ดขาดจนกว่าคุณจะกำจัดต้นตอคือตัวของเชื้อโรค และเชื้อโรคนั้นก็คือบาป – บาปที่ได้ฆ่าทำลายทั้งพวกเสรีและอนุรักษ์นิยมไปจนหมดสิ้น บาปที่ทำลายทั้งพรรคเดโมเครตและรีพับลิกัน บาปที่ทำลายทั้ง “คนชั่ว” และ “คนรวย” บาปซ่อนอยู่ที่ใจ ใจของมนุษย์นั้นจึงหลงผิดไป ไม่เฉพาะการกระทำภายนอกเท่านั้น บาปได้ควบคุมความคิดที่อยู่ภายในและความต้องการเหล่านั้น ใจบาปของคุณบังคับให้คุณคิดถึงแต่เรื่องที่ผิดๆ และธรรมชาติบาปของคุณก็พาคุณไปต่อต้านพระเจ้าและยอมจำนนต่อบาปที่คุณคิดนั้น บาปได้ควบคุมส่วนที่อยู่ภายและแสดงออกมาโดยการทรยศต่อต้านสิทธิอำนาจ ต่อต้านพระเจ้า ใจที่ทรยศของคุณนั้นมีพลังอำนาจเกินที่คุณจะสามามรถเปลี่ยนมันได้ หรือหยุดมันเพื่อไม่ให้ควบคุมคุณ จำเป็นที่คุณจะต้องถูกนำไปในที่แห่งหนึ่งเพื่อคุณจะสามารถพูดเหมือนอย่างอาจารย์เปาโลดังต่อไปนี้ “โอ ข้าพเจ้าเป็นคนเข็ญใจจริง ใครจะช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากร่างกายแห่งความตายนี้ได้” (โรม 7:24) เวลานั้นคุณก็จะเข้าใจถึงการที่พระเยซูคริสต์เข้าไปมีส่วนกับ “คนชั่ว” และกับ “เศรษฐี” – “ในการสิ้นพระชนม์ของพระองค์” ไม่ว่าพื้นแพของคุณจะเป็นมาอย่างไรก็ตาม พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์และถูกฝังเพื่อบาปของคุณ เพื่อบาปนั้นจะได้รับการอภัยและล้างออกไป เหมือนอย่างที่ ดร. เจ ไวเบอร์ เชบเมม เขียนเอาไว้ในบทเพลงของท่านที่ชื่อว่า “การฝังนั้น พระองค์นำความบาปของฉันไกลออกไป” (“One Day” by Dr. J. Wilbur Chapman, 1859-1918) พระคริสต์ผู้เดียวเท่านั้นที่สามารถอภัยบาปให้คุณได้! พระคริสต์เท่านั้นที่ทรงสามารถเปลี่ยนใจบาปแห่งการทรยศนั้นออกไป! “และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนชั่ว ในความตายของท่านเขาจัดไว้กับเศรษฐี” (อิสยาห์ 53:9) II. สอง ข้อขัดแย้งได้รับการเปิดเผย ประการที่สองในเนื้อหาของเรานี้เป็นการอธิบายถึงเรื่องทำไมพระคริสต์ถึงสิ้นพระชนม์ร่วมกับคนร้าย แต่ถูกนำไปฝังอย่างสมเกียรติ “เพราะว่าท่านมิได้กระทำการทารุณประการใดเลย…” (อิสยาห์ 53:9) “และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนชั่ว ในความตายของท่านเขาจัดไว้กับเศรษฐี เพราะว่าท่านมิได้กระทำการทารุณประการใดเลย และไม่มีการหลอกลวงในปากของท่าน” (อิสยาห์ 53:9) พวกท่านนั่งลงได้ นี่คือเหตุที่บ่งบอกถึงการที่พระคริสต์ถูกนำไปฝังอย่างมีเกียรติ การให้เกียรติในที่นี่ เพราะว่าท่านมิได้กระทำการทารุณประการใดเลย หรือทำร้ายผู้ใดเลย พระองค์ไม่เคยทำความผิดหรือเป็นคนทำผิดกฏหมายใดๆ เช่นฆ่าคน หรือทำการโหดร้ายประการใดๆ พระองค์ไม่เคยนำฝูงชนก่อจลาจล หรือทำการใดๆที่แสดงถึงการต่อต้านรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นของพวกยิวหรือฝ่ายโรม พระองค์ไม่เคยพูดเท็จ พระองค์ไม่เคยนำหลักคำสอนเท็จมาสอน พระองค์ไม่เคยหลอกลวงผู้ใด อย่างที่พระองค์ถูกใส่ร้าย นั่นเป็นเพราะการเป็นพยานเท็จใส่ร้ายพระองค์ พระองค์ไม่เคยที่จะนำคนให้ถอยห่างออกจากการนมัสการพระเจ้าที่แท้จริง พระองค์ให้ความจงรักภักดีและให้เกียรติกับบทบัญญัติของโมเสส และบรรดาผู้เผยพระวัจนะทั้งหลาย พระองค์ไม่ใช่ศัตรูให้กับศาสนาและประเทศของพวกเขา ที่สำคัญไปกว่านั้นพระองค์ไม่เคยทำผิดที่เกี่ยวข้องกับบาปเลย เปโตรได้กล่าวถึงพระคริสต์ว่า “พระองค์ไม่ได้ทรงกระทำบาปเลย และไม่ได้พบอุบายในพระโอษฐ์ของพระองค์เลย” (I เปโตร 2:22) ดร. ยัง กล่าวว่า “[พระคริสต์] ถูกนำไปฝังอย่างสมเกียรติหลังจากที่พระองค์พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์อย่างไร้เกียรติ เพราะว่าพระองค์ทรงไร้ซึ่งความผิด [ตั้งแต่] พระองค์ไม่เคยกระทำเหมือนอย่างคนที่ทำผิด พระศพของพระองค์จึงไม่ได้ถูกบรรจุไว้กับคนเหล่านั้น แต่ถูกบรรจุไว้อย่างสมเกียรติกับเศรษฐี” เรื่องนี้ทำให้ผมคิดถึงท่าน วินสตัน เชอร์เชลล์ เลือกที่จะถูกฝังข้างหลุมฝังศพกับบิดาของท่านในคริสตจักรที่ชนบทแห่งหนึ่ง แทนที่จะเลือกถูกฝังร่วมกับคนที่เป็นศัตรูกับบิดาของท่าน และศัตรูของท่านเอง ท่ามกลางคนที่ทรยศต่อประเทศอังกฤษ ที่สุสานเวสทมินสเตอร์ อาบเบย์ ซึ่งมีศพของฮิตเลอร์และคนของเขาถูกฝังที่นั่น แม้ว่าท่านเชอร์เชลล์ จะไม่ได้บังเกิดใหม่เป็นคริสเตียนก็ตาม แต่ก็เป็นบุคคลที่ได้รับความนับถือ แน่นอนพระเยซู เป็นผู้ยิ่งใหญ่ตลอดที่พระองค์ทรงพระชนม์อยู่บนโลกนี้ พระองค์ทรงเป็นมนุษย์ทั้งในอดิตและปัจุบัน “คือพระเยซูคริสต์ผู้ทรงสภาพเป็นมนุษย์” (1 ทิโมธี 2:5) ความยิ่งใหญ่ของพระองค์คือการที่พระองค์ทรงวายพระชนม์เพื่อไถ่บาปของ เรา ตามในสายพระเนตรของพระเจ้า ช่วงเวลาไม่นานก่อนที่พระองค์จะถูกตรึงที่กางเขน พระองค์ได้ตรัสเอาไว้ว่า “ไม่มีผู้ใดมีความรักที่ยิ่งใหญ่กว่านี้ คือการที่ผู้หนึ่งผู้ใดจะสละชีวิตของตนเพื่อมิตรสหายของตน” (ยอห์น 15:13) จากทางขรุขระกลายเป็นบัลลังก์ของพระองค์ และในตอนนี้ เพื่อนที่รักของผม คุณจะทำอะไรให้กับพระเยซูผู้ที่ถูกเรียกว่าพระคริสต์บ้าง? เหมือนอย่างที่ท่าน ซี เอส ลูวิส เขีนนเอาไว้ว่า มีอยู่สองอย่างที่สามารถเป็นไปได้ – “คุณเลือกที่จะตีและฆ่าพระองค์เหมือนอย่างซาตาน หรือเลือกที่จะกราบลงที่พระบาทของพระองค์และเรียกพระองค์ว่าพระผู้เป็นเจ้า” คุณจะเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งหรือเปล่า? และยังเหลืออีกทางหนึ่งคือทางที่สามนั่นคือปฏิเสธพระองค์อย่างสิ้นเชิง และเดินไปตามทางของคุณโดยถือว่าการทนทุกข์และสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์นั้นไร้ความหมายให้กับคุณ ผมรู้สึกเศร้าใจเป็นอย่างมากที่คนส่วนใหญ่ปฏิบัติต่อพระคริสต์อย่างไร้ความนับถือ ผมอธิษฐานเพื่อคุณจะได้ไม่เป็นหนึ่งในนั้น ท่าน ที เอส อีโลอิท เรียกคนเหล่านั้นว่า “มนุษย์โพรง” – คือคนที่อยู่เพื่อความสุขความต้องการที่เป็นแค่ชั่วประเดี๋ยวเดียว ใช่แล้ว ผมอธิษฐานเผื่อคุณจะได้ไม่เป็นหนึ่งในนั้น สำหรับพวกเขาที่เดียวที่จะไปคือนรก เกรงว่าจะลืมสวนเกทเสมเนไป ผมอธิษฐานเพื่อคุณจะมาที่พระคริสต์ วางใจในพระองค์ด้วยสิ้นสุดจิตสุดใจ และผ่านพ้นจากความตายสู่การมีชีวิตอย่างคริสเตียนที่ได้กลับใจใหม่อย่างแท้จริง ขอให้พวกเรายืนขึ้นด้วยกัน ถ้าคุณต้องการที่จะพูดคุยกับพวกเราถึงการที่คุณจะรับการชำระบาปโดยพระเยซู กรุณาเดินออกไปข้างหลังของห้องนี้ในตอนนี้ ดร. คาเกนจะพาพวกท่านไปยังห้องที่เงียบๆเพื่อเราจะสามารถคุยถึงเรื่องนี้ ท่านลีกรุณานำเราอธิษฐานเผื่อคนที่ตอบสนองนี้ (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดย ดร. กรีนตัน เอลล์ ชาน : อิสยาห์ 53:1-9 |
โครงร่างของ ข้อขัดแย้งถึงการฝังพระศพของพระคริสต์ (เทศนาตอนที่ 10 ในอิสยาห์ 53) โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนชั่ว ในความตายของท่านเขาจัดไว้กับเศรษฐี แม้ว่าท่านมิได้กระทำการทารุณประการใดเลย และไม่มีการหลอกลวงในปากของท่าน” (อิสยาห์ 53:9) (I โครินธ์ 15:3-4; ยอห์น 17:3; โรม 6:4) I. หนึ่ง ข้อขัดแย้งเกี่ยวกับการฝังพระศพของพระองค์ อิสยาห์ 53:9a; ยอห์น 19:31; II. สอง ข้อขัดแย้งได้รับการเปิดเผย อิสยาห์ 53:9b; I เปโตร 2:22; I ทิโมธี 2:5; |