เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
ปฏิเสธข่าวประเสริฐ (บทเทศนาตอนที่ 2 ในพระธรรมอิสยาห์ 53) โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเช้าของวันที่ 3 เดือน มีนาคม ค.ศ. 2013 ณ คริสตจักร “ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย พระกรของพระเยโฮวาห์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด” (อิสยาห์ 53:1) |
อิสยาห์กล่าวถึงพระกิตติคุณของพระคริสต์ อาทิตย์ที่แล้วผมพูดถึงสามข้อสุดท้ายในบทที่ 52 เป็นตอนที่ผู้เผยพระวัจนะอิสยาห์กล่าวถึงการทนทุกข์ของพระคริสต์ “หน้าตาของท่านเสียโฉมมากกว่ามนุษย์คนใด และรูปร่างของท่านก็เสียโฉมมากกว่าบุตรทั้งหลายของมนุษย์คนใด” (อิสยาห์ 52:14) นี่คือภาพของพระคริสต์ ที่ถูกโบยตีและถูกตึงตรึงเพราะบาปของเรา และเป็นขึ้นมาจากความตาย “ท่านจะสูงเด่นและ…เป็นที่เทิดทูน และท่านจะสูงนัก” (อิสยาห์ 52:13) แต่เนื้อหาของเราในตอนนี้ จะพูดถึงการที่อิสยาห์กล่าวว่าผู้ที่จะเชื่อฟังพระกิตติคุณของพระคริสต์นั้นมีน้อยมาก ดร. เอ็ดเวิร์ด เจ ยัง เป็นนักวิชาการด้านพระคัมภีร์เดิม และเป็นเพื่อสมัยเรียนกับศิษยาภิบาลของผมชื่อ ดร. ทิโมธี หลิน ได้กล่าวถึงพระธรรมตอนนี้ว่า “ใครล่ะจะเชื่อฟังในสิ่งที่เราพูด? และพระหัตถ์ของพระเจ้าจะสำแดงแก่ผู้ใด” ”ดร. ยัง กล่าวว่า นี่คือ “มันเป็นการกล่าวที่ชัดเจนเกินกว่าที่จะสามารตั้งคำถาม ไม่จำเป็นต้องถามใดๆ แต่เป็นการการกล่าวที่ง่ายถึง [จำนวนน้อย] คนที่เป็นผู้เชื่ออย่างจริงจังในโลกนี้…ผู้เผยพระวัจนะ[คือ] ตัวแทนของคนเหล่านั้น ที่กล่าวถึงจำนวนคนเล็กน้อยนั้น” (Edward J. Young, Ph.D., The Book of Isaiah, William B. Eerdmans Publishing Company, 1972, volume 3, p. 240). “ใครล่ะจะเชื่อฟังในสิ่งที่เราพูด? และพระหัตถ์ของพระเจ้าจะสำแดงแก่ผู้ใด?” คำว่า “รายงาน” หมายถึง “การประกาศข่าวประเสริฐ” ลูเทอร์แปลว่า “คำเทศนาของเรา” (ยัง เล่มดียวกัน) “ใครจะเชื่อคำเทศนาของเรา?” คือคำพูดใช้ควบคู่กับประโยคที่ว่า “แล้วพระหัตถ์ของพระเจ้าจะสำแดงให้ใคร?” “พระหัตถ์ของพระเจ้า” นั่นเป็นการแสดงถึงพลังของพระเจ้า ส่วนประโยคที่ว่า ใครจะเชื่อคำเทศนาของเรา? พระหัตถ์ของพระเจ้าจะสำแดงให้ใคร? ใครล่ะจะได้รับการช่วยกู้จากฤทธิ์เดชของพระคริสต์? “ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย พระกรของพระเยโฮวาห์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด” (อิสยาห์ 53:1) ข้อนี้กำลังบ่งบอกว่าคุณต้องเชื่อพระกิตติคุณของพระคริสต์เป็นอันดับแรก และกลับใจใหม่โดยฤทธิ์เดชของพระเจ้าในพระคริสต์ และผู้เผยจึงบอกไว้อย่างชัดเจนว่าน้อยคนนักที่จะเชื่อและกลับใจใหม่ “ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย พระกรของพระเยโฮวาห์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด” (อิสยาห์ 53:1) I. หนึ่ง น้อยคนที่เชื่อและกลับใจใหม่ในช่วงเวลาที่พระคริสต์ทรงทำพันธกิจในโลกนี้ ตอนที่พระเยซูมาที่หลุมฝังศพของลาซารัส ชายผู้นี้เสียชีวิตมาแล้วสี่วัน พระเยซูตรัสกับพวกเขาว่า "จงเอาศิลาออกเสีย" (ยอห์น 11:39) แต่น้องสาวของลาซารัสได้ห้ามพระองค์ เธอบอกว่า “เมื่อพระองค์ตรัสดังนั้นแล้ว จึงเปล่งพระสุรเสียงตรัสว่า ลาซารัสเอ๋ย จงออกมาเถิด ผู้ตายนั้นก็ออกมา มีผ้าพันศพพันมือและเท้า และที่หน้าก็มีผ้าพันอยู่ด้วย พระเยซูตรัสกับเขาทั้งหลายว่า จงแก้แล้วปล่อยเขาไปเถิด" (ยอห์น 11:43-44) “ฉะนั้นพวกปุโรหิตใหญ่และพวกฟาริสีก็เรียกประชุมสมาชิกสภาแล้วว่า เราจะทำอย่างไรกัน เพราะว่าชายผู้นี้ทำการอัศจรรย์หลายประการ” (ยอห์น 11:47) หลายครั้งที่พวกเขาเห็นพระองค์ทำการอัศจจรย์ และกลัวว่าฝูงชนจะติดตามพระองค์แทนที่ติดตามพวกเขา “ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา เขาทั้งหลายจึงปรึกษากันจะฆ่าพระองค์เสีย(ยอห์น 11:53). พวกธรรมจารย์แลพพวกฟารีสีจึงได้เข้าประชุมหารือเพื่อที่จะกำจัดพระเยซู “เอาให้ถึงตาย” อัครสาวกยอห์นกล่าวว่า “ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์หลายประการทีเดียวต่อหน้าเขา เขาทั้งหลายก็ยังไม่เชื่อในพระองค์ เพื่อคำของอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์จะสำเร็จซึ่งว่า พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด (ยอห์น 12:37-38) พวกเขาเห็นพระองค์ทำการอัศจรรย์โดยการเลี้ยงคนห้าพันคน และก็เห็นพระองค์ทรงรักษาคนง่อย และเปิดตาคนที่ตาบอด เห็นพระองค์ขับไล่วิญญาณชั่ว และทำให้คนเป็นง่อยสามารถเดินได้ พวกเขาไม่เพียงแต่เห็นพระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำให้กลายเป็นเหล้าองุ่น แต่ยังเคยได้ยินคำประกาศของพระองค์ด้วย “พระเยซูได้เสด็จดำเนินไปตามนครและหมู่บ้านโดยรอบ ทรงสั่งสอนในธรรมศาลาของเขา ประกาศข่าวประเสริฐแห่งอาณาจักรนั้น ทรงรักษาโรคและความป่วยไข้ทุกอย่างของพลเมืองให้หาย (มัทธิว 9:35) ตอนที่พระองค์ทำให้ลาซารัสเป็นขึ้นมาจากความตาย “เขาทั้งหลายจึงปรึกษากันจะฆ่าพระองค์เสีย” (ยอห์น 11:53) “ถึงแม้ว่าพระองค์ได้ทรงกระทำการอัศจรรย์หลายประการทีเดียวต่อหน้าเขา เขาทั้งหลายก็ยังไม่เชื่อในพระองค์ เพื่อคำของอิสยาห์ศาสดาพยากรณ์จะสำเร็จซึ่งว่า พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย? และพระกรขององค์พระผู้เป็นเจ้าได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด” (ยอห์น 12:37-38) แน่นอนแล้วว่า น้อยคนนักที่เชื่อฟังคำสั่งสอนของพระองค์และกลับใจใหม่ ในช่วงเวลาที่พระองค์ทรงทำพันธกิจในโลกนี้ II. สอง น้อยคนนักที่เชื่อและกลับใจในยุคของพวกอัครสาวก กรุณาเปิดไปที่โรม 10:11-16 ขอให้เรายืนขึ้นและร้องอ่านพระธรรมตอนนี้ด้วยกัน “เพราะมีข้อพระคัมภีร์ว่า `ผู้ใดที่เชื่อในพระองค์นั้นก็จะไม่ได้รับความอับอาย เพราะว่าพวกยิวและพวกกรีก ไม่ทรงถือว่าต่างกัน ด้วยว่าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันของคนทั้งปวง ซึ่งทรงโปรดอย่างบริบูรณ์แก่คนทั้งปวงที่ทูลขอต่อพระองค์ เพราะว่า `ผู้ใดที่จะร้องออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าก็จะรอด แต่ผู้ที่ยังไม่เชื่อในพระองค์จะทูลขอต่อพระองค์อย่างไรได้ และผู้ที่ยังไม่ได้ยินถึงพระองค์จะเชื่อในพระองค์อย่างไรได้ และเมื่อไม่มีผู้ใดประกาศให้เขาฟัง เขาจะได้ยินอย่างไรได้ และถ้าไม่มีใครใช้เขาไป เขาจะไปประกาศอย่างไรได้ ตามที่มีคำเขียนไว้แล้วว่า เท้าของคนเหล่านั้นที่ประกาศข่าวประเสริฐแห่งสันติสุข และประกาศข่าวประเสริฐแห่งสิ่งอันประเสริฐ ก็งามสักเท่าใด แต่มิใช่ทุกคนได้เชื่อฟังข่าวประเสริฐนั้น เพราะอิสยาห์ได้กล่าวไว้ว่า พระองค์เจ้าข้า ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย” (ยอห์น 10:11-16) พวกคุณนั่งลงได้ ในข้อที่ 12 กล่าวเอาไว้ว่า “เพราะว่าพวกยิวและพวกกรีก ไม่ทรงถือว่าต่างกัน ด้วยว่าทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียวกันของคนทั้งปวง ซึ่งทรงโปรดอย่างบริบูรณ์แก่คนทั้งปวงที่ทูลขอต่อพระองค์” (โรม 10:12) นั่นคือพระธรรมที่เขียนโดยอาจารย์เปาโลประมาณสามสิบปีหลังจากที่พระองค์เสด็จสู่สววรค์ ดังนั้นเปาโลเขียนพระธรรมโรมช่วงระหว่างท้ายที่ทำพันธกิจที่พบในพระธรรมกิจการ ท่านกล่าวให้กับคนยิวและต่างชาติ ส่วนพระเยซูนั้นส่วนใหญ่ประกาศให้กับคนยิว เปาโลกล่าวว่า “มันไม่มีอะไรที่ต่างกันระหว่างคนยิวกับพวกกรีก” ทุกคนล้วนต้องการพระคริสต์! ผู้คนส่วนมากนี้ก็ไม่ใช่คนยิวด้วย เปาโลกล่าวในสิ่งเดียวกันที่พระคริสต์ได้ตรัสเอาไว้ โดยการอ้าจจากพระธรรมอิสยาห์ 53:1 ถ้าเปรียบเทียบกับคนต่างชาติแล้วจำนวนคนยิวเชื่อน้อยมาก – และอ้างจากอิสยาห์ 53:1 จากคำกล่าวที่ผู้เผยพระวัจนะได้กล่าวเอาไว้ ถ้าประยุกต์ใช้แล้วจะเห็นว่าคนต่าวชาติกลับเชื่อมากกว่าคนยิว อาจารย์เปาโลอ้างจากอิสยาห์เพื่อนำมากล่าวในที่นี้ “ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย พระกรของพระเยโฮวาห์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด” (อิสยาห์ 53:1) คนต่างชาติเปิดใจมากกว่าคนยิว และในขณะเดียวกันในสมัยอาจารย์เปาโลนั้นก็ถือว่ายังมีตนต่างชาติมาเชื่อพระเยซูน้อยมาก ช่วงนั้นได้มีการฟื้นฟูอย่างยิ่งใหญ่ แต่นำคนต่างชาติน้อยคนมารับเอาความรอดในพระคริสต์ การประกาศนั้นยากมาก แม้แต่ท่ามกลางชาวโรมันก็ตาม! ดังนั้นคนจะเชื่อเชื่อน้อยมากไม่ว่าในยุคของพระคริสต์หรือพวกอัครสาวกก็ตาม จากจำนวนที่น้อยนี้เลยทำให้คนอื่นมองเป็นคนกลุ่มน้อยและทำการกดขี่ขมแหง! ยอห์นและเปาโลจึงบันผู้เชื่อต่างๆเอาไว้ – เพื่อใช้ยืนยันว่าทำไมผู้คนที่ได้คำเทศนาของท่านทั้งสองยังไม่กลับใจ “ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย พระกรของพระเยโฮวาห์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด” (อิสยาห์ 53:1) และนี่ก็คือความจริงที่เกิดขึ้นให้กับคนในยุคสมัยนี้ ทุกๆครั้งที่มีการประกาศก็มีจำนวนน้อยคนที่เชื่อและกลับใจอย่างจริงจัง และนี่ยังเป็นความจริงที่กำลังเกิดในยุคนี้ด้วย ไม่มีอะไรเลยที่เปลี่ยนไป เราจึวจ้องมาดูในข้อสุดท้าย III. สาม น้อยคนนักที่เชื่อและกลับใจในยุคสมัยนี้ ทุกวันนี้เราก็ยังเผชิญในสิ่งที่อิสยาห์ได้พยากรณ์เอาไว้ และนั่นก็เป็นคำถามที่เศร้าใจมาก “ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย พระกรของพระเยโฮวาห์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด” (อิสยาห์ 53:1) เศร้าใจมาก ที่เราต้องมาพูดว่าน้อยคนมากที่มาเชื่อในพระกิตติคุณของพระคริสต์ และก็น้อยคนนักที่ได้การช่วยกู้โดยพระเยซู แม้แต่หญ้าพี่น้องคนใกล้ชิดก็ตามยังปฏิเสธพนะองค์ และพวกคุณก็รู้ว่าน้อยคนที่ถูกพามาที่คริสคจักรและรับเชื่ออย่างจริงจัง ผมอยากจะเสนอความคิดเห็นสามอย่างไว้ในที่นี้ (1) ประการแรก มีที่ไหนที่พระคัมภีร์บอกว่าคนมากมายจะมารับการช่วยกู้? ไม่มี ความจริงจะเห็นว่าพระเยซูกลับตรัสตรงกันข้าม พระองค์ตรัสว่า “จงเข้าไปทางประตูแคบ เพราะว่าประตูใหญ่และทางกว้างนั้นนำไปถึงความพินาศ และคนที่เข้าไปทางนั้นมีมากเพราะว่าประตูซึ่งนำไปถึงชีวิตนั้นก็คับและทางก็แคบ ผู้ที่หาพบก็มีน้อย” (มัทธิว 7:13-14) ผู้ที่หาพบก็มีน้อย! เราควรต้องคระหนัดอยู่ในใจเสมอว่าทุกครั้งที่เราประกาศนั้นมีน้อยคนนักที่กลับใจใหม่อย่างที่เราหวังเอาไว้ และมาในประการที่สองที่ผมอยากจะพูด (2) การประกาศของเรานั้นไม้ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนคนมากน้อยที่จะมารับเชื่อ แทนที่เราจะมุ่งเน้นที่จำนวน หรือตามของเราไม่ควรที่จะมองไปที่ตัวเลขของคนที่มารับเชื่อ แต่เราควรมุ่งไปที่การเชื่อฟังพระเจ้า ตาของเราควรมองตรงไปที่พระเจ้า และเชื่อฟังพระองค์ ตาของเราควรมองตรงไปที่พระเจ้า และเชื่อฟังพระองค์ในทุกที่ๆเราทำการประกาศ และตาของเราควรมองตรงไปที่พระเจ้า และเชื่อฟังพระองค์ ตาของเราควรมองตรงไปที่พระเจ้า และเชื่อฟังพระองค์ตอนที่เราเทศนา! พระคริสต์ตรัสว่า "ท่านทั้งหลายจงออกไปทั่วโลกประกาศข่าวประเสริฐแก่มนุษย์ทุกคน” (มาระโก 16:15) นั่นคือสิ่งที่พระคริสต์ตรัสไว้ให้เราทำ และต้องทำตามนั้นไม่ว่าคนจะรับฟังหรือไม่ หรือคนจะกลับใจใหม่หรือไม่ก็ตาม เราต้องประกาศเพราะพระคริสต์ทรงบัญชาให้เราทำ! การประสบความสำเร็จของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนคนที่ตอบสนอง! ไม่เลย! ความสำเร็จของเราคือการเชื่อฟังพระคริสต์ ดังนั้น เรา ต้อง ไป ประกาศ ไม่ ว่า คน จะเชื่อ ใน พระกิตติคุณ หรือ ไม่! และ ประการที่สามก็ตามมา (3) คุณเชื่อในพระคริสต์หรือไม่? คุณกลับใจมาหาพระคริสต์หรือไม่? แม้ว่าจะไม่มีใครเลยในครอบครัวของคุณที่มารับเชื่อ และแม้แต่เพื่อนคนเดียวก็ไม่มี คุณยังจะกลับใจ และแสวงหาพระคริสต์หรือไม่? คุณยังมาที่พระคริสต์หรือไม่? จำได้คำกล่าวของพระคริสต์ “ผู้ที่เชื่อและรับบัพติศมาก็จะรอด แต่ผู้ที่ไม่เชื่อจะต้องถูกลงพระอาชญา” (มาระโก 16:16) คุณจะมาหาพระคริสต์ และรับบัติศมาหรือไม่? หรือคุณจะเป็นหนึ่งในคนหมู่มากที่ปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอด และตกอยู่ในบึงไฟนรกตลอดไปหรือไม่? “แต่ผู้ที่ไม่เชื่อจะต้องถูกลงพระอาชญา” (มาระโก 16:16) ผมขออธิษฐานเพื่อคุณจะได้ไม่เป็นหนึ่งในผู้คนที่ต้องตกนรก แต่เป็นคนหนึ่งที่มาร่วมนมัสการในคริสตจักร ออกจากโลกนี้! มาที่พระคริสต์โดยความเชื่อ! จงเข้ามาที่คริสจักรท้องถิ่น และรับการช่วยก็ไปตลอดชีวิตโดยพระโลหิตของพระคริสต์ผู้ทรงชอบธรรม “ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย พระกรของพระเยโฮวาห์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด” (อิสยาห์ 53:1) คุณควรจะเป็นหนึ่งในผู้คนที่เชื่อและกลับใจ! คุณควรเป็นหนึ่งในจำนวนน้อยที่เชื่อในพระกิตติคุณตอนที่เราเทศนา คุณควรพูดว่า “ใช้แล้ว พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อบาปของฉัน ใช่แล้วพระองค์เป็นขึ้นมาจากความตาย ใช่แล้วฉันจะมาหาพระองค์ด้วยความเชื่อ” คุณควรเป็นหนึ่งในน้อยคนในเวลาที่พระหัตถ์ของพระสำแดง และมีประสบการณ์ในความรอดโดยการวางใจในพระองค์ "จงดูพระเมษโปดกของพระเจ้า ผู้ทรงรับความผิดบาปของโลกไปเสีย” (ยอห์น 1:29) คุณต้องเป็นหนึ่งในคนที่มาหาพระคริสต์ และรับการชำระบาปโดยพระโลหิตของพระองค์ คุณตองรับฟังในสิ่งที่เราประกาศ และรับเอาความรอดพ้นจากบาปโดยทางพระคริสต์! อาเมน! กรุณายืนขึ้นและร้องเพลง “ฉันมาที่พระคริสต์” บทเพลงบทที่เจ็ด ได้ยินเสียงของพระเจ้า เรียกข้าให้มาเข้าเฝ้า ถ้าคุณอยากจะคุยดับเราถึงการชำระบาปของคุณโดยพระเยซู กรุณาเดินออกไปข้างหลังของห้องนี้ ดร. คาเกน จะพาพวกท่านไปยังห้องที่เงียบๆเพื่อจะได้พูดคุยแนะนำ ดร. ชาน กรุณานำเราอธิษฐานเผื่อคนที่ตอบสนองนี้ด้วย (จบการเทศนา) คุณสามารถส่งอีเมล์ถึง ดร. ไฮเมอร์ส ที่ rlhymersjr@sbcglobal.net อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดยท่าน อาเบล พลูโฮมมี: อิสยาห์ 52:13-53:1 |
โครงร่างของ ปฏิเสธข่าวประเสริฐ (บทเทศนาตอนที่ 2 ในพระธรรมอิสยาห์ 53) โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “ใครเล่าได้เชื่อสิ่งที่เขาได้ยินจากเราทั้งหลาย พระกรของพระเยโฮวาห์ได้ทรงสำแดงแก่ผู้ใด” (อิสยาห์ 53:1) (อิสยาห์ 52:14, 13) I. หนึ่ง น้อยคนที่เชื่อและกลับใจใหม่ในช่วงเวลาที่พระคริสต์ทรงทำพันธกิจในโลกนี้ II. สอง น้อยคนนักที่เชื่อและกลับใจในยุคของพวกอัครสาวก III. สาม น้อยคนนักที่เชื่อและกลับใจในยุคสมัยนี้ มัทธิว 7:13-14; |