เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
จงไล่ฝูงเหยี่ยวให้ออกจากที่บูชา บทเทศนาตอนที่ 68 ในพระธรรมปฐมกาล โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ เทศนาในตอนเย็นของวันที่ 20 เดือน มกราคม ค.ศ. 2013 ณ คริสตจักร |
ตอนที่ผมเริ่มโตเป็นหนุ่มและได้ร่วมการประชุมประจำปีของแบ๊บบติสต์ใต้กับ ดร.ทิโมธี ลีน ที่เมืองซานฟรานซิสโก ตอนนั้นพวกแบ็บติสต์ใต้ที่หัวค่อนข้างไปทางเสรีนิยมได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งโจมตีพระธรรมปฐมกาล ตอนนั้น ดร. ลีน “ได้ลุกจากที่นั่ง” พูดโต้ตอบหนังสือที่เขียนโดยคนเหล่านั้น ตอนนั้นผมอายุแค่ 22 ปี แต่ก็คิดอยู่ในใจว่าวันหนึ่งผมจะเขียนหนังเล่มหนึ่งเพื่อใช้ปกป้องพระธรรมปฐมกาล ตอนนี้ผมก็เห็นว่าบทเทศนานี้ก็มาจากหนังสือเล่มนี้ และนี่ก็อยู่ในตอนที่หกสิบแปด กรุณายืนขึ้นและเปิดพระคัมภีร์ของท่านไปที่พระธรรมปฐมกาลบทที่ 15:11 “เมื่อฝูงเหยี่ยวลงมาที่ซากสัตว์เหล่านั้น อับรามก็ไล่มันไปเสีย” (ปฐมกาล 15:11) กรุณานั่งลงได้ อับราฮัมชรามากแล้ว แต่ก็ยังไม่บตุรสักคน พระเจ้าได้มาปรากฏแก่ท่านในนิมิตว่าลูกหลานของท่านจะมากมายเหมือนดั่งดวงดาวในท้องฟ้า “ด้วยว่าพระคัมภีร์ว่าอย่างไร ก็ว่า ‘อับราฮัมได้เชื่อพระเจ้า และพระองค์ทรงนับว่าเป็นความชอบธรรมแก่ท่าน” (โรม 4:3) “ตั้งแต่มาหะลาเลลให้กำเนิดยาเรดแล้ว ก็มีอายุต่อไปอีกแปดร้อยสามสิบปี และให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาวหลายคน” (ปฐมกาล 15:6) อับราฮัมได้รับความรอดเพราะเชื่อในพระเจ้า ไม่ใช่โดยการกระทำ ถึงกระนั้นก็ตามอับราฮัมได้ขอร้องพระเจ้าให้สำแดงนิมิตนี้ให้ชัดเจน พระเจ้าจึงได้เสด็จมาหาและทำพันธสัญญากับท่าน โดยจะประทานแผ่นดินคานาอันให้กับลูกหลานของท่าน พระเจ้าทรงบอกให้อับรามให้นำวัวหนุ่ม, แพะ, แกะ, นกพิราบเต่าและนกพิราบและแยกกลางแบ่งออกไปสองส่วน ท่าน “แยกพันธสัญญา” ซึ่งนั่นคือบรรพบุรุษที่ฆ่าสัตว์และแยกออกเป็นสองส่วน เพื่อที่จะสามารถเดินในระหว่างสองส่วนคือในพันธสัญญานี้ (เยเรมีย์ 34:18-21) การบูชานี้จึงเป็นหมายสำคัญที่ชี้ไปที่พระคริสต์ พระองค์ผู้ซึ่งทำให้การบูชาตามในพระคัมภีร์เดิมนั้นสมบูรณ์แบบ อับราฮัมเชื่อฟังพระเจ้า และได้วางเครื่องบูชานั้นไว้ที่พื้น แล้วท่านก็รอคอยพระเจ้าทรงสำแดงตัวของพระองค์เอง แต่ในเวลานั้นฝูงอีแร้งได้บินมา ที่ทะเลทรายเมืองอาริโซนาผมก็เคยเห็นพวกอีแร้งบินมาอย่างไมน่าเป็นไปได้ ถ้าสัตว์อะไรก็ตามที่ตายบนถนน ไม่ช้าอีแร้งพวกนี้ก็บินเต็มอยู่บนท้องฟ้า ฝูงเหยี่ยวนี้จะบินวกไปวนมา ผมไม่เข้าใจว่านกพวกนี้บินมาจากไหนได้อย่างรวดเร็วอย่างนี้ แต่ก็เป็นอย่างนั้นจริง หลักการทางวิทยาศาสตร์อาจทราบเรื่องนี้มานั้นแล้ว แต่ผมก็หาคำตอบไมได้เลย พระเยซูทรงตรัสว่า “ด้วยว่าซากศพอยู่ที่ไหน ฝูงนกอินทรีก็จะตอมกันอยู่ที่นั่น” (มัทธิว 24:28) พระธรรมตอนนี้กล่าวถึงพันธสัญญาของอับราฮัม และนี่ก็เป็นการยืนยันถึงพันธสัญญาที่ได้ทำกับอับราฮัมในพระธรรมปฐมกาล 12:1-3 ซึ่งพระเจ้าสัญญากับท่านว่าลูกหลานของท่านจะเข้าครอบครองแผ่นดินคานาอัน แต่เป้าหมายของเราในค่ำคืนนี้จะไม่กล่าวถึงพันธสัญญานี้ แต่จะพูดถึงว่าจะนำพันธสัญญานี้มาประยุกต์ใช้กับชีวิตของเราในทุกวันนี้ ดังนั้นเราควรจะมุ่งไปที่พระธรรมข้อนี้ “เมื่อฝูงเหยี่ยวลงมาที่ซากสัตว์เหล่านั้น อับรามก็ไล่มันไปเสีย” (ปฐมกาล 15:11) ในเทศนานี้ เราจะศึกษาถึงการบูชาโดยใช้ซากสัตว์เหล่านั้น และการบินมาของฝูงเหยี่ยว I. หนึ่ง การนำซากสัตว์มาบูชา การบูชาทุกอย่างที่ปรากฏในพระคัมภีร์เดิมนั้นชี้ไปที่พระคริสต์ ที่พระองค์ทรงใช้ตัวพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาบนไม้กางเขน และพระธรรมนี้ก็ไม่ต่างกัน “[อับราฮัม] ทูลว่า ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้าพระเจ้า ข้าพระองค์จะรู้ได้อย่างไรว่าข้าพระองค์จะได้ดินแดนนี้เป็นมรดก พระองค์ตรัสแก่ท่านว่า จงเอาวัวตัวเมียอายุสามปี แพะตัวเมียอายุสามปี แกะตัวผู้อายุสามปี นกเขาตัวหนึ่งและนกพิราบหนุ่มตัวหนึ่งมาให้เรา ท่านจึงนำบรรดาสัตว์เหล่านี้มาและผ่ากลางตัวมันวางข้างละซีกตรงกัน แต่นกทั้งหลายนั้นท่านหาได้ผ่าไม่” (ปฐมกาล 15:8-10) ตอนที่อับราฮัมถามว่าจะรับแผ่นดินนั้นมาเป็นมรดกได้อย่างไร ท่าน อาร์เทอร์ ดับบริว พินก์ กล่าวว่า “พระเจ้าทรงตอบโดยชี้ไปที่พระคริสต์ ต่อหน้าท่าน” จากนั้น พินก์ ยังกล่าวต่อว่า “ภาพนี้ช่างสมบรูณ์แบบ…[สัตว์] แต่ละตัวนั้นต่างก็แสดงถึงพระเยซูถึงการที่พระองค์ทรงทำพันธกิจได้อย่างสมบูรณ์แบบ เช่นวัวที่มีอายุสามปีนั้นกล่าวถึงพละกำลังของพระองค์ แพะคือแบบของการไถ่ถอนบาป ส่วนลูกแกะนั้นจะเป็นสัตว์ที่มีไว้เพื่อการบูชาของพวกเลวีแสดงถึงการมอบอุทิศ ส่วนนกหนึ่งในนั้นมาจากสวรรค์ ‘สามปี’ กล่าวซ้ำถึงสามครั้ง บางที่อาจกล่าวถึงการบูชาตัวของพระคริสต์เอง หลังจากที่พระองค์เสร็จสิ้นพันธกิจในระยะเวลาสามปี! จะสังเกตุเห็นว่าสัตว์ทุกตัวที่นำมาบูชานั้นต้องฆ่าให้ตาย เพราะหากไม่มีเลือดแล้วการนั้นก็จะไม่สำเร็จ เพราะหากไม่มีเลือดนั้นแล้วก็จะไม่มีมรดกใดๆเกิดขึ้น” (Arthur W. Pink, Gleanings in Genesis, Moody Press, 1981 edition, pp. 168, 169). ทุกคนที่อ่านพระคัมภีร์เดิมก็จะรู้ว่าการบูชานั้นสำคัญมากฉะไหน และตอนที่เรามาอ่านพระคัมภีร์ใหม่ เราจะพบว่าการบูชาเหล่านั้นต่างก็ชี้ไปที่การบูชาของพระองค์ที่ทรงสิ้นพระชนม์และช่วยเราให้รอดพ้นจากบาป พระธรรมฮีบรูกล่าวว่า “เพราะถ้าเลือดวัวตัวผู้และเลือดแพะ และเถ้าของลูกโคตัวเมีย ที่ประพรมลงบนคนบาป สามารถชำระเนื้อหนังให้บริสุทธิ์ได้มากยิ่งกว่านั้นสักเท่าไรพระโลหิตของพระคริสต์ โดยพระวิญญาณนิรันดร์ได้ทรงถวายพระองค์เองแด่พระเจ้าเป็นเครื่องบูชาอันปราศจากตำหนิ จะได้ทรงชำระใจวินิจฉัยผิดและชอบของท่านทั้งหลายให้พ้นจากการกระทำที่ตายแล้ว เพื่อจะได้ปฏิบัติพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” (ฮีบรู 9:13-14) ซากสัตว์และนกเหล่านั้น อับราฮัมได้นำมาวางไว้ต่อหน้าพระพักต์ของพระเจ้า ซึ่งแสดงอย่างชัดเจนถึงการบูชาของพระคริสต์ ผมอ่านบทเทศนาของสเปอร์เจียนอยู่ทุกวัน ผมได้รับความรู้มากมายจากหนังสือของท่านที่กล่าวถึงการบูชาของพระเยซู ท่านนำเราไปในสวนเกทเสมนีนในยามค่ำคืน ท่านบอกเราว่าพระเยซูทรงโศกเศร้าเพราะแบกบาปของโลกนี้ เราเห็นพระองค์ทรงอธิษฐานด้วยความทุกข์เพราะบาปของเรา เหงื่อของพระองค์ “ดั่งเลือดหลั่งลงมา” พระผู้ช่วยให้รอดทรงล้มลงที่พื้น หลังจากนั้นนักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่ท่านนี้ได้นำเราไปยังพวกธรรมจารย์ ที่ๆพระองค์ทรงถูกหัวเราะเยาะเย้ย เราเห็นพระผู้ช่วยของเราถูกเฆี่ยนตี และยังเห็นพวกเขาตบพระพักต์ของพระองค์ พร้อมกับดึงหนวกของพระองค์ หลังจากนั้นท่านสเปอร์เจียนนำเราต่อไปที่คฤหัสถ์ของปีลาต ท่านบอกเราว่าพวกเขาได้เอาแส้หวดลงบนหลังของพระองค์ พร้อมกับเอามงกุฏหนามสวมลงบนศีรษะของพระองค์ จากนั้น ท่านนำเราเดินทางไปตามเส้นทางที่พระองค์ทรงแบกไม้กางเขนเดินไปนั้น ตอนท้ายท่านบอกเราถึงพระเยซูว่า พวกเขาเอาตะปูตอกไปที่ฝ่ามือและเท้าของพระเยซู ทรงสิ้นพระชนม์ที่นั่น เพื่อไถ่บาปของเรา ที่ไม้กางเขนนั้น! แต่สเปอร์เจียนไม่หยุดเพียงแค่นั้น ท่านยังนำเราไปที่ถ้ำ ที่ๆเขาเอาพระศพของพระองค์ไปเก็บไว้ เราออกจากที่นั่นเพราะมืด และก็พบว่าประตูถ้ำถูกปิดอย่างแน่นหนา ตอนเช้านักเทศน์ผู้ยิ่งใหญ่นี้นำเราไปที่นั่นกับพวกผู้หญิงอีกครั้งหนึ่ง เราหยุดยืนกับพวกเธอด้วยความกลัวตอนที่ได้ยินเสียงทูตสวรรค์ว่า “อย่ากลัวเลย เพราะเรารู้อยู่ว่าท่านทั้งหลายมาหาพระเยซูซึ่งถูกตรึงที่กางเขน พระองค์หาได้ประทับอยู่ที่นี่ไม่ เพราะพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาแล้วตามที่พระองค์ได้ตรัสไว้นั้น มาดูที่ซึ่งองค์พระผู้เป็นเจ้าได้บรรทมอยู่นั้น” (มัทธิว 28:5-6) ฮาเลลูยา ! ฮาเลลูยา ! ฮาเลลูยา ! “เรื่องซึ่งข้าพเจ้ารับไว้นั้น ข้าพเจ้าได้ประกาศแก่ท่านทั้งหลายก่อน คือว่าพระคริสต์ได้ทรงวายพระชนม์เพราะบาปของเราทั้งหลาย ตามที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์และทรงถูกฝังไว้ แล้ววันที่สามพระองค์ทรงเป็นขึ้นมาใหม่ตามที่มีเขียนไว้ในพระคัมภีร์นั้น” (1 โครินธ์ 15:3-4) นี่คือพระกิตติคุณ! นั่นคือคำเทศนาของเรา! และนั่นคือการบูชาของอับราฮัมที่ได้ทำเอาไว้! อาเมน และ อาเมน “เมื่อฝูงเหยี่ยวลงมาที่ซากสัตว์เหล่านั้น อับรามก็ไล่มันไปเสีย” (ปฐมกาล 15:11) II. สอง ฝูงเหยี่ยวลงมา ตามรากศัทพ์ในภาษาฮีบรูคือ “ฝูงอีแร้ง” และนี่กำลังกล่าวถึงอะไร? และนั่นหมายถึงอะไร? ผมไม่สงสัยเลยที่จะกล่าวว่านี่คือสัญาลักษณ์ของซาตาน และพวกวิญญาณชั่ว ปัจจุบันนี้จะมีสักกี่ครั้งที่เราได้ยินการเทศนาที่กล่าวถึงวิญญาชั่ว ในขณะเดียวกันคนในประเทศของเราก็กำลังหลงไปกับสิ่งเหล่านี้ ในแต่ละวันเราจะได้ยินแต่เรื่องร้ายๆ อย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน – นี่คือช่วงเวลาแห่งความมืด – เราแถบจะไม่ได้ยินเรื่องของซาตานอยู่บนธรรมาส์ของเรา สิ่งที่ให้เราคือคำเทศนาที่ให้แต่ความเพลิดเพลิน ผู้รับใช้มากมายที่ขาดการเทศนาที่สอนให้เรา “ต่อสู้กับเทพผู้ครอบครอง ศักดิเทพ เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้ ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ” (เอเฟซัส 6:12) ละเลยที่จะเทศน์ถึงเรื่องวิญญาชั่ว พวกเขาทำให้เราตกเป็นเหยื่อของซาตานอย่างง่ายดาย “ท่านทั้งหลายจงเป็นคนใจหนักแน่น จงระวังระไวให้ดี ด้วยว่าศัตรูของท่าน คือพญามาร วนเวียนอยู่รอบๆดุจสิงโตคำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” (1 เปโตร 5:8) พระเยซูทรงกล่าวถึง “มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านเมล็ดพืชของตน และเมื่อเขาหว่าน เมล็ดพืชนั้นก็ตกตามหนทางบ้าง ถูกเหยียบย่ำ และนกในอากาศมากินเสีย” (ลูกา 8:5) พระเยซูทรงบอกเราไว้อย่างชักเจนถึงฝูงอีแร้งเหล่านี้คือ พระองค์ตรัสว่า “แล้วพญามารมาชิงเอาพระวจนะจากใจของเขา เพื่อไม่ให้เขาเชื่อและรอดได้” (ลูกา 8:12) “เมื่อฝูงเหยี่ยวลงมาที่ซากสัตว์เหล่านั้น อับรามก็ไล่มันไปเสีย” (ปฐมกาล 15:11) เราจึงไม่สงสัยเลยว่านกสี่ตัวนั้นถูกส่งมาโดยซาตาน เพื่อจะกินพันธสัญญาแห่งการบูชานั้น และ แนะนอน มารซาตานจะมาในทุกโอกาสเพื่อถอนเอาพระกิตติคุณจากใจของคนบาป – และออกจากคริสตจักรด้วย! ในช่วงต้นๆศตวรรษที่ 20 ได้มีการโจมตีเรื่องการทรงไถ่ของพระเยซูบนไม้กางเขน และนี่คือซาตานกำลังโจมตีสเปอร์เจียนผู้ที่เทศนาต่อต้านมันอย่างแรงกล้า และก็ทำได้ดี การต่อต้านซาตานในยุคของเรานี้ดูเหมือนจะน้อยมาก นักเทศน์ใช้ปากบอกถึงการทรงไถ่ของพระคริสต์ – แต่จะพูดแบบลอยๆไม่ให้ความสำคัญ! แม้แต่ในคริสตจักรใหญ่ๆก็ตามเราแถบจะไม่ได้ยินเลยกับคำเทศนาที่กล่าวถึงการทนทุกข์และสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์ ดร. มิเชลล์ เอส ฮอร์ตัน กล่าวว่า ดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่ยากเหลือเกินที่ทุกคนจะกล่าวถึงพระคริสต์ในแบบต่างๆ ไว้ในหนังสือของท่านชื่อว่า คริสเตียนที่ไร้พระคริสต์ (Baker, 2008) ผมอยากให้ผู้รับใช้ในอเมริกาอ่านหนังสือเล่มนี้ – แล้วก็ถามตัวเองว่า “ครั้งไหนที่เป็นครั้งสุดท้ายที่ฉันเทศนาถึงพระเยซูอย่างเต็มรูปแบบ?” ผมเชื่อว่าหลายคนอาจจะตกใจถ้าต้องมาตอบคำถามนี้จากใจจริง การเทศนาส่วนมากในสมัยนี้จะมุ่งไปที่คน สิ่งที่พวกเขาต้องการ ปัญหา ความสุขของพวกเขา แต่ไม่มีพระเยซูเลย! ดร. เดวิด เอฟ เวลล์ ก็เคยกล่าวในลักษณะเช่นนี้ ท่านกล่าวว่า “การประกาศข่าวประเสริฐ…การเทศนา…คือการอบรมตัวเอง ไม่ใช่มีพระเจ้าเป็นศูนย์กลาง แต่จะเป็นเรื่องที่เราทำ เรื่องที่เราอยากจะได้ ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำไว้ หรือสิ่งที่พระองค์ประทานให้เราโดยทางพระคริสต์…ไม่ใช่สิ่งที่พระเจ้าประทานให้เราคือการที่พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์แทนเรา” (David F. Wells, Ph.D., The Courage to Be Protestant, Eerdmans, 2008, pp. 182, 183). คุณคิดว่าการกล่าวถึงพระเยซูนั้นยากเกินที่จะเอ๋ยหรือ? ลองถามตัวคุณเอง ครั้งไหนคือครั้งสุดท้ายที่คุณได้ยินคำเทศนาที่เกี่ยวกับการถูกตรึงของพระคริสต์ การฟื้นคืนพระชนม์ และการเสด็มาในครั้งที่สอง (ไม่ใช่เรื่องสนุกสนานของเรา แต่การเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์!)? แม้ใช้พระวัจนะ-ผู้เชื่อในคริสตจักรทั้งหลาย การเทศนาจะอยู่บนหลักแห่งความต้องการและความรู้สึกของเรา – ไม่ใช่พระคริสต์! “เมื่อฝูงเหยี่ยวลงมาที่ซากสัตว์เหล่านั้น อับรามก็ไล่มันไปเสีย” (ปฐมกาล 15:11) บางที่ บางอย่าง บางคนจำเป็นที่จะต้องลุกขึ้นยืนและไล่พวกอีแร้งให้ออกไปจากการบูชาของพระคริสต์! บางที่ บางอย่าง บางคนต้องลุกขึ้นพร้อมกับอาจารย์เปาโลและกล่าวว่า “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆในหมู่พวกท่านเลยเว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์ และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน” (1 โครินธ์ 2:2) บางคนอาจแย้งว่า “นั่นไม่ได้ให้ในสิ่งที่เราต้องการ” ผมพูดว่า แต่ให้ในสิ่งที่ผมต้องการ – มากยิ่งกว่าพวกนักร้องป๊อบ –จิตวิทยาจากโอปราห์ วินเฟรย์ นักอ่านอย่างดีเจสท์ หรือ โจเอล อ็อสติน! อาจารย์เปาโลกล่าวว่า “โดยพระองค์ท่านจึงอยู่ในพระเยซูคริสต์ เพราะพระเจ้าทรงตั้งพระองค์ให้เป็นปัญญา ความชอบธรรม การแยกตั้งไว้ และการไถ่โทษ สำหรับเราทั้งหลายเพื่อให้เป็นไปตามที่เขียนว่า ให้ผู้โอ้อวด อวดองค์พระผู้เป็นเจ้า” (1 โครินธ์ 1:30-31) “ด้วยว่าพวกยิวเรียกร้องหมายสำคัญและพวกกรีกเสาะหาปัญญา แต่พวกเราประกาศเรื่องพระคริสต์ผู้ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น อันเป็นสิ่งที่ให้พวกยิวสะดุด และพวกกรีกถือว่าเป็นเรื่องโง่ แต่สำหรับผู้ที่พระเจ้าทรงเรียกนั้น ทั้งพวกยิวและพวกกรีกต่างถือว่า พระคริสต์ทรงเป็นฤทธานุภาพและพระปัญญาของพระเจ้า” (1 โครินธ์ 1:22-24) พระคริสต์ – ฤทธิ์เดชของพระเจ้า! สติปัญญาของพระเจ้า! พระคริสต์คือทุกสิ่งที่ผมต้องการ! และพระคริสต์ก็คือทุกอย่างที่พวกท่านต้องการเช่นกัน! ท่านที่รู้เรื่องขององค์พระผู้ช่วยให้รอดจงพูดกับอาจารย์เปาโลว่า “ข้าพเจ้ากระทำทุกสิ่งได้โดยพระคริสต์ผู้ทรงเสริมกำลังข้าพเจ้า” (ฟีลิปปี 4:13). ขอให้ทุกคนที่ได้ยินคำเทศนานี้จงยกพระนามของพระเยซู และความรักของพระองค์ที่ทรงประทานให้เราบนไม้กางเขน! ขอให้เราทุกคนจงยอมจำนนต่อพระกิตติคุณ เชื่อ กล่าว และเป็นพยานให้กับคนที่ยังหลงหาย! สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องได้ไม่ใช่พวกนักร้องป๊อบ – จิตวิทยา หรือการพูดใดๆ สิ่งที่พวกเขาจำเป็นต้องได้คือพระกิตติคุณที่เปียกโชกด้วยโลหิตของพระคริสต์! ฉันรักที่จะกล่าวถึงเรื่องเบื้องบนที่ไม่เคยได้เห็น ความเมตตาสร้างซีวิตฉันขึ้นใหม่ ฉันจะสรรเสริญพระองค์! ฉันจะสรรเสริญพระองค์! “เมื่อฝูงเหยี่ยวลงมาที่ซากสัตว์เหล่านั้น อับรามก็ไล่มันไปเสีย” (ปฐมกาล 15:11) คนที่ยังหลงหายจงฟังให้ดี พระคริสต์ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อคุณ ไถ่บาปของคุณบนไม้กางเขน ตอนที่พระองค์ไปที่ไม้กางเขนนั้นพระองค์มีคุณอยู่ในใจ พระองค์มีคุณอยู่ในใจตอนที่พระองค์ทนทุกข์เพื่อไถ่บาปของคุณ ตอนที่พระองค์ทรงร้องว่า “สำเร็จแล้ว” พระองค์มีคุณอยู่ในใจ และสิ้นพระชนม์แทนที่ของคุณ ทรงไถ่บาปของคุณ คืนนี้พระคริสต์มองจากสวรรค์ลงมา พระองค์อธิษฐานให้คุณ พระองค์มีคุณอยู่ในใจ พระองค์เรียกคุณ “จงมาหาเรา และเราจะให้ท่านทั้งหลายหายเหนื่อยเป็นสุข” (มัทธิว 11:28) คุณจะเข้ามาที่พระองค์หรือไม่? คีนนี้คุณจะวางใจพระองค์พรือไม่? มารซาตานจะเข้ามาและกระซิบที่หูของคุณว่า “มันไม่มีทางที่จะเป็นไปได้” คุณไม่มีวันรอดหรอก” จงไล่มารให้ออกไป – เหมือนอย่างที่อับราฮัมไล่พวกอีแร้ง อย่าได้ฟังเสียงของมารชั่วนี้เลย! จงปฏิเสธความคิดของมัน จงไล่มันให้ออกไปจากแท่นบูชา! จงเข้ามา มอบใจและวางใจในพระเยซู พระองค์จะทรงให้อภัยท่าน พระองค์จะชำระคุณให้เป็นคนชอบธรรม พระองค์ทรงช่วยคุณให้รอด – ตอนนี้! เราจะร้องท่อนรับของบทเพลงนี้ – “ความเมตตาทรงสร้างชีวิตฉันขึ้นใหม่” และ “ฉันจะสรรเสริญพระองค์” ถ้าคุณอยากจะคุยกับเราถึงการรับการช่วยกู้ และกลายมาเป็นคริสเตียนที่แท้จริง กรุณาก้าวออกไปข้างหลังของห้องนมัสการนี้ในขณะที่เรากำลังร้องเพลง ดร. คาเกน จะนำพวกท่านไปที่ห้องเงียบๆเพื่อให้คำแนะนำและอธิษฐานเผื่อ เดินออกไปได้ในขณะที่เรายังร้องเพลงนี้ ความเมตตาสร้างซีวิตฉันขึ้นใหม่ ดร. ชาน กรุณานำเราอธิษฐาน (จบการเทศนา) You may email Dr. Hymers at rlhymersjr@sbcglobal.net, (Click Here) – or you may อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนาโดยท่าน ลีคยูดง: ปฐมกาล 15:1-18 |
โครงร่างของ จงไล่ฝูงเหยี่ยวให้ออกจากที่บูชา บทเทศนาตอนที่ 68 ในพระธรรมปฐมกาล โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอร์ส จูเนียร์ “เมื่อฝูงเหยี่ยวลงมาที่ซากสัตว์เหล่านั้น อับรามก็ไล่มันไปเสีย” (ปฐมกาล 15:11) (โรม 4:3; ปฐมกาล 15:6;. เยเรมีย์ 34:18-21; มัทธิว 24:28) I. หนึ่ง การนำซากสัตว์มาบูชา ปฐมกาล 15:8-10; ฮีบรู 9:13-14; II. สอง ฝูงเหยี่ยวลงมา เอเฟซัส 6:12; I เปโตร 5:8; |