เป้าหมายของเว็ปไซต์นี้คือจัดเตรียมบทเทศนาที่เขียนจากต้นฉบับ และในรูปแบบวีดีโอให้กับผู้รับใช้ และมิชชั่นนารีที่ไปรับใช้ในต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศในโลกที่สามที่ขาดแคลนพระคริสตธรรมหรือโรงเรียนอบรมพระคัมภีร์
ต้นฉบับของบทเทศนาเหล่านี้ถูกอ่านในคอมพิวเตอร์ประมาณ 1,500,000 เครื่อง และมากกว่า 221 ประเทศในแต่ละปี โปรดไปอ่านได้ที www.sermonsfortheworld.com ในขณะเดียวกันมีหลายร้อยคนดูวิดีโอบน YouTube และหลังจากนั้นคนเหล่านั้นก็จะย้ายจากดู YouTube มาอ่านเว็บไซต์ของเรา YouTube นำคนมาที่เว็บไซต์ของเรา บทเทศนาต้นฉบับนี้ถูกแปลออกเป็น 46 ภาษา และมีคนอ่านในคอมพิวเตอร์มากถึง 120,000 ทุก ๆ เดือน บทเทศนาต้นฉบับนี้ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อนุญาตให้นักเทศนาสามารถนำไปใช้เทศน์ได้ นอกจากนี้ยังมีในรูปแบบวีดีโอเป็นร้อย ๆ ซึ่งเทศน์โดย ดร. ไฮเมอร์ส และนักศึกษาของท่าน บทเทศนาต้นฉบับไม่สงวน แต่จะสงวนเฉพาะในรูปแบบวีดีโอ กรุณาคลิกที่นี่เพื่อเรียนรู้ว่าจะสนับสนุนการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกได้อย่างไร
ตอนที่คุณเขียนหนังสือไปให้ ดร. ไฮเมอร์ส บอกท่านเสมอว่าคุณเขียนมาจากประเทศอะไร หรือท่านไม่ได้ตอบคุณ อีเมล์ของ ดร. ไฮเมอร์ส คือ rlhymersjr@sbcglobal.net
บุคคลที่มักจะลืมขอบคุณ-บทเทศนาเกี่ยวการขอบคุณ (บทเทศนาที่ 65 จากพระธรรมปฐมกาล) โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอรส์ จูเนียร์ เทศนาในตอนเช้าวันอาทิตย์ที่ 18 เดือน พฤศจิกายน ค.ศ. 2012 ณ คริสตจักร “แต่หัวหน้าพนักงานน้ำองุ่นนั้นมิได้ระลึกถึงโยเซฟ กลับลืมเขาเสีย” (ปฐมกาล 40:23) |
หัวหน้าพนักงานน้ำองุ่นและหัวหน้าพนักงานขนมได้ทำให้ฟาโรห์โกรธ เขาจึงถูกขังอยู่ในคุกใต้ดินที่เดียวกับที่โจเซฟถูกขังที่นั่น โยเซฟคือชาวฮิบรูที่ถูกกล่าวหาว่าก่ออาชญากรรมที่เขาไม่ได้กระทำ แต่เป็นเพราะพระเจ้าทรงสถิตอยู่กับเขา นายผู้รักษาประตูคุกได้มอบหมายงานทั้งหมดให้อยู่ภายใต้การดูแลของโจเซฟ ในคืนแรกที่หัวหน้าคนงานอียิปต์คนนั้นเข้าไปอยู่ในคุกได้นอนฝัน เขาถามโยเซฟว่าฝันของเขานั้นหมายถึงอะไร โจเซฟบอกว่าพระเจ้าจะช่วยเขาอธิบายความฝันนั้น แล้วโยเซฟแปลความฝันของข้าราชการนั้นว่า เขาจะได้รับการปล่อยตัวให้กลับไปรับใช้ฟาโรห์ ข้าราชการคนนั้นได้สัญญากับโยเซฟว่าเมื่อเขาออกไปแล้วเขาจะทูลขอฟาโรห์ว่าเซฟบริสุทธิ์และขอปล่อยตัวเขา สามวันต่อมาคำทำนายฝันของโยเซฟก็เป็นจริง และข้าราชการคนนั้นก็ได้รับการปล่อยตัวและกลับไปในวังรับใช้ฟาโรห์ดังเดิม ตอนนี้โยเซฟมั่นใจว่าเขามีเพื่อนคนหนึ่งอยู่ในศาลและบอกฟาโรห์ว่าเขาบริสุทธิ์ แต่เวลาผ่านจากสัปดาห์กลายเป็นเดือนก็ไม่ได้รับข่าวคราวอะไรจากข้าราชการคนนั้นเลย ข้าราชการคนนั้นไม่อาจจะลือเรื่องราวของโยเซฟ อาจเป็นเพราะเขาไม่กล้าบอกให้ฟาโรห์ทรงทราบสิ่งที่ได้เกิดให้กับเขา เพราะมันอาจจะทำให้ฟาโรห์ทรงกริ้วและจับเขาเข้าคุกอีกรอบหนึ่ง หรืออาจจะเป็นเพราะเหตุผลอื่น ที่ทำให้เขาไม่อาจลืมโยเซฟ แน่นอนถ้าโยเซฟทำในสิ่งที่ไม่ดีให้เขาคงไม่มีวันที่เขาจะลืมโยเซฟได้ แต่เพราะโยเซฟทำดีโดยการช่วยเหลือเขา ก็เลยทำให้ข้าราชการคนนั้นก็ลืมโยเซฟไปโดยปริยาย “แต่หัวหน้าพนักงานน้ำองุ่นนั้นมิได้ระลึกถึงโยเซฟ กลับลืมเขาเสีย” (ปฐมกาล 40:23) มันเป็นภาพที่แสดงถึงความอกตัญญู! มันช่างเป็นเรื่องที่เลวร้ายมากที่มนุษย์ไม้รู้จักคำว่าขอบคุณ! ข้าราชการคนนั้นคือคนที่ไม่รู้จักคำว่าขอบคุณ นี่คือนิสัยที่มีมากขึ้นเรื่อยๆในยุคสุดท้ายแห่งความชั่วนี้ อาจารย์เปาโลกล่าวว่า “แต่จงเข้าใจข้อนี้ด้วย คือว่าในวันสุดท้ายนั้น จะเกิดเหตุการณ์กลียุค “การไมเชื่อฟังบิดามารดา ไม่รู้จักขอบคุณ จิตใจสกปรก” นี่คือสิ่งที่แสดงถึงคนใน “ยุคนี้”! ข้าราชการคนนั้นคือตัวแทนของคนในยุคนี้ “แต่หัวหน้าพนักงานน้ำองุ่นนั้นมิได้ระลึกถึงโยเซฟ กลับลืมเขาเสีย” (ปฐมกาล 40:23) คนในยุคนี้ “ไร้คำว่าขอบคุณ” และจิตใจสกปรก มีบุคคลสามประเภทใหญ่ๆที่คนหนุ่มคนสาวมักจะลืมขอบคุณ I. หนึ่ง คนมากมายไม่เคยขอบคุณบิดามารดาของพวกเขา พระวัจนะตรัสว่า “จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า” ประโยคถูกกล่าวไว้สองครั้งในพระคัมภีร์เดิม (อพยพ 20:12; เฉลยธรรมบัญญัติ 5:16) และหกครั้งในพระคัมภีร์ใหม่ (มัทธิว 15:4; 19:19; มาระโก 7:10; 10:19; ลูกา 18:20; เอเฟซัส 6:2) คำสั่งนั้นเป็นการสั่งที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ เพราะมันไม่ได้พูดว่า “จงให้เกียรติแก่บิดามารดาของเจ้า ถ้าพวกเขาทำดีต่อเจ้า” ไม่เลย พระวัจนะบอกไว้อย่างง่ายๆว่าจงให้เกียรติท่าน ตอนที่คุณเห็นเด็กทารกที่กำลังร้องไห้ถูกอุ้มไว้ในอ้อมแขนของแม่ ของคุณ มันช่วยเตือนความจำอะไรให้กับคุณถึงสิ่งที่แม่ของคุณได้ทำให้คุณหรือเปล่า? คุณเคยคิดบ้างไหมถึงสิ่งที่แม่ได้ทำให้กับคุณ เปลี่ยนผ้าอ้อมที่สกปรกของคุณ, เฝ้าดูคุณซักผ้าและรีดผ้าเสื้อผ้าของคุณ คอยหากอาหารให้คุณได้ทาน อธิษฐานเผื่อคุณ ยามใดที่กลับมาบ้านสายท่านนั่งเฝ้าเป็นกังวล นั่นเพราะคุณเป็นสมบัติล้ำค่าของท่านใช่หรือไม่? ผมขอบคุณพระเจ้าตอนที่ผมมีอายุแค่หกเดือนแม่ของผมสอนให้ผมพูด ผมขอบคุณพระเจ้าที่ท่านอ่านหนังสือให้ผมฟังในยามที่นอนเจ็บไข้ได้ป่วย เพราะยังไม่มีโทรทัศน์ให้ผมดูในสมัยนั้น ผมยังรู้สึกได้ว่ามือของท่านได้ลุบบนหน้าผากของผมและจูบลงที่แก้มของผมในเวลานี้ หลังจากที่ท่านได้จากไปเป็นเวลาหลายปีแล้ว ทุกวันผมจะขอบคุณพระเจ้าสำหรับแม่ผู้แสนดีของผม แล้วคุณล่ะ? ตอนไหนคือครั้งสุดท้ายที่คุณบอกท่านว่าคุณรักท่านมากเท่าไหร? แธดเดียส สตีเวนส์เป็นหนึ่งในนักพูดที่ทรงอิทธิพลที่สุดในอเมริกาในยุตของสงครามกลางเมือง ขาของเขาเป็นง่อยอยู่ข้างหนึ่ง แม่ของเขาต้องทำงานทั้งกลางวันและกลางคืนเพื่อช่วยลูกชายของเธอให้ได้รับการศึกษา ตอนที่เขาประสบความสำเร็จได้เป็นทนายความ เขาให้ทองให้แม่ของเขาทุกสัปดาห์เพื่อนำไปถวายที่คริสตจักรแบ๊บติสต์ที่ๆท่านไปนมัสการ จนถึงวันนี้ทุกฤดูใบไม้ผลิตและฤดูร้อนคุณจะพบดอกกุหลาบและดอกไม้อื่น ๆ เติบโตเต็มหลุมศพของเธอ ในสายตาของเขาแธดเดียส สตีเวนส์ได้ใช้เงินจำนวนเพื่อปลูกดอกไม้บนหลุมฝังศพของแม่ของเขาให้ดูสวยงานอยู่ตลอดเวลา ป้ายหลุมศพในสุสานในสกอตแลนด์สร้างขึ้นโดยมิชชันนารีที่ชื่อ ดร. เดวิด ลิฟวิงสและน้องชายและน้องสาวของเขา คำพูดเหล่านี้ถูกจารึกไว้บนนั่น สถานที่แสดงถึงที่พำนักของ ลิฟวิงนีล เชคสเปียบรรยายถึงความลึกแห่งความเศร้าโศกของกษัตริย์ ลีอาร์ ในยามที่กษัตริย์ในสถานะแห่งการเป็นพ่อได้ร้องไห้ออกมา "คมยิ่งกว่าฟันของงูก็คือการมีลูกที่ไม่รู้จักคำว่าขอบคุณ" การไม่ขอบคุณนั้นเป็นสิ่งที่ชั่วอยู่เสมอ แต่น่าเกลียดยิ่งกว่านั้นเมื่อพ่อแม่กลับเป็นฝ่ายพูดคำว่าขอบคุณให้ลูก เชคสเปียกล่าวว่า อกตัญญู, อสูรหินอ่อนใจเจ้า ตอนไหนคือครั้งสุดท้ายที่คุณบอกคุณแม่ว่าคุณรักท่าน? ตอนไหนคือครั้งสุดท้ายที่คุณบอกพ่อของคุณว่าขอบคุณที่เลี้ยงดูคุณ? การไม่รู้จักขอบคุณคุณพ่อคุณแม่เป็นสิ่งที่ชั่วร้ายและโหดร้ายสำหรับเด็ก “แต่หัวหน้าพนักงานน้ำองุ่นนั้นมิได้ระลึกถึงโยเซฟ กลับลืมเขาเสีย” II. สอง หลายๆคนไม่เคยของคุณเพื่อนและผู้มีพระคุณ พระเยซูทรงรักษาคนโรคเรื้อนสิบคนและส่งพวกเขาไปยังพวกปุโรหิตเพื่อประกาศว่าพวกเขาหายดีแล้ว แต่มีเพียงหนึ่งในสิบคนที่กลับมาขอบคุณพระเยซู พระผู้ช่วยให้รอดกล่าวว่า "ไมใช่สิบคนหรือที่หายสะอาด? แล้วเก้าคนนั้นอยู่ไหน? ไม่เห็นผู้ใดกลับมาสรรเสริญพระเจ้า เว้นไว้แต่คนต่างชาติคนนี้” (ลูกา 17:17-18) เราจำได้ถึงเรื่องการได้รับบาดเจ็บและคำดูถูก แต่จะมีสักคนที่ระลึกถึงผู้ที่คอยช่วยเหลือเรา ในประสบการณ์ในตอนวัยเด็กที่ต้องผ่านความยากลำบากมากและการทดลอง ฉันมักจะรู้สึกประหลาดใจเมื่อมีคนช่วยผมหรือสนับคอยให้กำลังใจให้ผม เช้านี้ผมขอขอบคุณพระเจ้าสำหรับผู้ที่ทำเช่นนั้น ผมจำได้ว่าคุณหมอและนางเฮนรี เมตรแมค โกแวนเป็นคนแรกที่พาผมไปโบสถ์แบ๊บติสต์ และผู้ที่ให้ผมมาที่บ้านของท่านคืนแล้วคืนเล่าในยามที่ผมหลงหายและโดดเดี่ยว ผมจำได้ว่านายเรย์ฟิลลิปเป็นคนแรกที่สอนให้ผมพูดในที่สาธารณะ ผมจำได้ว่าเมอร์ฟี่และลอร์นาลุมทำให้ผมรู้สึว่าผมคือหนุ่มผิวขาวคนเดียวที่ได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นในคริสตจักรของคนจีน ผมจำได้ว่าที่ๆผมทำงานซึ่งหลังจากคนอื่นกลับไปหมดแล้ว ทุกๆคืนนางเกวนเดฟลินคอยให้กำลังใจให้ผมกลับไปเรียนต่อที่วิทยาลัย ซึ่งผมรู้สึกว่าผมจะเรียนได้หรือเปล่า ผมจำได้ว่านาย จีนน์ วิลเกอร์สัน ซึ่งเป็นเพื่อนผมมาเป็นเวลาถึงห้าสิบปี สิ่งที่สามารถให้กำลังใจให้ผม คืนไหนที่ผมไม่มีที่จะไป ผมก็ไปนอนที่อพาร์ตเมนต์ของเขา ความคิดเช่นนี้มันอาจจะดูแปลกสำหรับคนที่มีที่อยู่อาศัย แต่สำหรับเด็กยากจนอย่างผมช่างเป็นเรื่องดีที่มีเพื่อนอย่างนายวิลเกอร์สัน ผมยังจำได้ว่าตอนที่ผมตกทุกข์ยากลำลาก มี ดร. ทิโมธีหลินคอยดูแล แต่ถ้าไม่มีท่านผมคงไม่มีอะไรเลยในวันนี้ ผมรักท่านด้วยสิ้นสุดใจของผม เพราะท่านสอนผมในทุกๆอย่างเกี่ยวกับการทำพันธกิจ ผมจำได้เสมอว่าภรรยาของผมรักผม ช่วยเหลือผม และทำทุกอย่างให้ผม ผมจำได้ ดร. คาเกน คือเพื่อนรักที่ดีที่สุดอย่างที่ไม่เคยมี ผมจำได้ว่าทุกวันที่ "39" ผู้คนมักจะถวายเงินเพื่อพันธกิจและเพื่อเราจะไม่สูญเสียอาคารโบสถ์ของเรา คนเหล่านี้และคนอื่น ๆ คือบุคคลที่ผมระลึกถึงทุกครั้งที่อธิษฐาน คุณเคยทำรายชื่อเช่นนี้ด้วยหรือเปล่า? คุณเคยบอกบุคคลเหล่านั่นหรือเปล่าว่าคุณขอบคุณพวกเขา? การเป็นเด็กยากจนมีคนไม่กี่คนที่คอยสนับสนุนและช่วยเหลือ ผมแสดงความกตัญญูโดยการขอบคุณคนเหล่านั้นอย่างซ้ำ ๆ ตลอดชีวิตของผม และเป็นสิ่งที่เต็มใจอยากจะทำอย่างนั้น นั่นทำให้ผมรู้สึกสบายใจที่ได้ขอบคุณพวกเขา และผมขอแนะนำให้คุณทำอย่างนั้นเช่นกัน!เพื่อนที่ดีและเป็นทั้งที่ปรึกษานั่นมีค่าเหมือนดั่งทองคำ! มันไม่ใช่ดาบอันคมกริชของบรูตัส แต่คือหัวใจที่เนรคุณของบรูตัส, ที่ได้ฆ่าซีซาร์ ดังที่เป็นเชคสเปียเขียนเอาไว้ เมื่อขุนนางซีซาร์เห็นเขาแทง ฉันรู้สึกประหลาดและเศร้าใจอยู่เสมอกับคนที่ "เอาของ" ของคริสตจักรไป –โดยไม่มีการขอบคุณแม้แต่สักคำ ผมคิดถึงผู้นำในคริสตจักรของเราที่มีการศึกษา และภรรยาของเขาด้วย เดินออกไปโดยที่ไม่มีคำขอบคุณและแถมยังสร้างความแตกแยกในคริสตจักร ผมคิดถึงชายหนุ่มคนหนึ่งที่แม่ของผมคอยช่วยเหลือเขาอย่างมาก แต่คืนหนึ่งในขณะที่เขาออกจากบ้านไปก็ได้ขโมยของขวัญวันในวันแต่งงานของแม่ของผม, คือมีดและส้อมที่มีสีเงินชุดหนึ่ง ทำให้ท่านร้องไห้เพราะท่านคิดอยู่เสมอว่าเขาเป็นเหมือนลูกชายคนที่สอง ขอพระเจ้าช่วยคุณอย่าให้เป็นคนเนรคุณเหมือนชายคนนี้! ฉันยังอดสงสัยไม่ได้ว่าคนเช่นนี้ยังสามารถคิดว่าตัวเองเป็นมนุษย์คนหนึ่งได้อย่างไรกัน! น่ารังเกียจ! อัครทูตเปาโลกล่าวถึงคนเช่นนี้ว่า “เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไปความเข้าใจได้กลับกลายเป็นมืดไป ทางของพระเจ้าได้เสียไปเขาอ้างตัวว่าเป็นคนมีปัญญา เขาจึงกลายเป็นคนโง่เขลาไป” (โรม 1:21-22). “แต่หัวหน้าพนักงานน้ำองุ่นนั้นมิได้ระลึกถึงโยเซฟ กลับลืมเขาเสีย” ผมต้องหยุดที่นี่สักครู่หนึ่ง และขอขอบคุณ ดร. คลาเรนซ์ เมคาทเนย์ (1879-1957), ผู้รับใช้คณะเพรสไบทีสำหรับความคิดของบทเทศนานี้และสำหรับบางส่วนของภาพประกอบ ดร. เมคาทเนย์ เสียชีวิตในปี 1957 III. สาม คนมากมายไม่เคยขอบคุณพระเจ้า อัครทูตเปาโลกล่าวว่าคนต่างชาติแห่งโลกกลายเป็นศาสนาไม่มีพระเจ้าเพราะพวกเขาล้มเหลวที่จะถวายเกียริตแด่พระเจ้าและขอบคุณพระองค์ เขากล่าวถึงคนต่างชาติไว้ดังนี้ “เพราะถึงแม้ว่าเขาทั้งหลายได้รู้จักพระเจ้าแล้ว เขาก็มิได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์ให้สมกับที่ทรงเป็นพระเจ้า หรือหาได้ขอบพระคุณไม่ แต่เขากลับคิดในสิ่งที่ไม่เป็นสาระ และจิตใจโง่เขลาของเขาก็มืดมัวไป ความเข้าใจได้กลับกลายเป็นมืดไปทางของพระเจ้าได้เสียไป” (โรม 1:21). การไม่ขอบคุณคือบาปที่ต่อต้านพระเจ้า เรามักจะลืมขอบคุณพระเจ้าถึงพระพรต่างๆที่พระองค์ประทานให้เรา นั่นคือความบาป อาจารย์เปาโลกล่าวว่า “จงขอบพระคุณในทุกกรณี เพราะนี่แหละเป็นน้ำพระทัยของพระเจ้าในพระเยซูคริสต์เพื่อท่านทั้งหลาย” (1 เธสะโลนิเก 5:18) แม่ของผมก็ไม่เคยกลับใจใหม่จนกระทั่งท่านมีอายุ 80 ปี ท่านรู้สึกเศร้าและหดหู่กับชีวิต แต่สิ่งเหล่านี้ได้มลายไปตอนที่ท่านมาถึงที่พระเยซูและกลับใจใหม่ ในการสนทนาครั้งสุดท้ายกับท่าน ผมสังเกตุเห็นถึงการพระเยซูคริสต์ได้เปลี่ยนใจของท่าน นั่นคืออยู่ในโรงพยาบาล ในช่วงที่กำลังจะเข้าสู่การผ่าตัดครั้งใหญ่ แต่ท่านได้ล้นลงโดยการขอบพระคุณพระเจ้า ที่ท่านกำลังเผชิญหน้ากับความตาย เราได้พูดคุยกับท่านถึงบุคคุลที่ท่านชื่นชอบนั่นคือประธานาธิบดี ลิงคอล์น เราได้พูดคุยถึงวันหยุดที่ท่านชื่นชอบ วันขอบคุณพระเจ้า เธอร้องเพลงนั่นกับผม แม้นความทุกข์ลำบาก เกิดขึ้นแก่ท่านเมื่อใด หลังจากแม่บอกว่า “โรเบิรต์ มันช่างประหลาดใจมากถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้กับเรา!” แม้ท่านจะอยู่ทีโรงพยาบาลและรอความตาย พระเจ้าทรงกระทำให้ใจของท่านได้กล่าวการขอบพระคุณถึงสิ่งที่พระองค์กระทำให้เรา ตอนที่ผมกำลังเขียนบทเทศนานี้ มีผู้หญิงคนหนึ่งได้โทรศัทพ์มาคุยกัลผมถึงลูกสาวของเขสที่กำลังเดินหลงไปทำบาป ผมบอกเธอถึงสิ่งที่ผมพึ่งถึงแม่ของผม ผมบอกเธอว่าจงขอบคุณพระเจ้าด้วนเหตุที่ลูกสาวของเธอยังมีชีวิตอยู่ และยังสามารถอธิษฐานให้กับเธอ และรับพระพรอีกหลายอย่างจากชีวิตของเธอ ยังที่อาจารย์เปาโลกล่าวว่า “จงขอบพระคุณในทุกกรณี” ถึงแม่ท่านจะพบกับความยุ่งยากลำลากในการทำพันธกิจ นับพระพรของท่านดูทีละอัน พระพรยิ่งใหญที่พระเจ้าประทานให้เราคือพระบุตรของพระองค์ คือพระเยซูคริสต์ เปาโลมีคำศัพท์อยู่มากมาย แต่เมื่อเขาพูดถึงพระเยซูคำพูดของเขาทำให้เขาผิดหวัง ทั้งหมดที่เขาสามารถจะพูด “จงขอบพระคุณพระเจ้าเพราะของประทานซึ่งพระองค์ทรงประทานนั้นที่เหลือจะพรรณนาได้” (2 โครินธ์ 9:15) บาทหลวงริชาร์ด วูรมเบรนด์ ใช้เวลา 14 ปีอยู่ในคุกคอมมิวนิสต์ที่ประเทศโรมาเนียเพราะเหตุการเทศนาข่าวประเสริฐ เดือนแห่งการขังเดี่ยว ปีแห่งการถูกทรมานทางร่างกาย ทนทุกข์จากความหิวและหนาว และความเจ็บปวดจากความโหดร้ายทั้งกายและใจ จากประสบการณ์ของวูรมเบรนด์ เขาได้ผ่านทุกช่วงความทุกข์ยากและสิ่งเหล่านี้ล้วนเกิดกับคริสเตียน? เขากล่าวว่า ถ้าหากหัวใจสามารถทำความสะอาดด้วยความรักของพระเยซูคริสต์ถ้าหัวใจรักพระองค์ คนนั้นสามารถต้านทานการทรมาน ... ถ้าคุณรักพระคริสต์เหมือนอย่างที่มารีย์ทำ ผู้มีพระคริสต์เป็นทารกอยู่ในอ้อมแขนของเธอ... แล้วคุณจะสามารถต้านทานกับการทรมาน (Richard Wurmbrand, Th.D., Tortured for Christ, Living Sacrifice Books, 1998 edition, p. 38). ดังคำถามที่อยากจะถามคือ – คุณรักพระคริสต์หรือเปล่า? ถ้าคุณรัก คุณสามารถที่จะขอบพระคุณพระเจ้าสำหรับพระบุตรของพระเจ้าในทุกๆเรื่อง แต่ถ้าคุณไม่รักพระคริสต์ สักวันมันจพนำคุณเข้าสู่ภาวะแห่งความทุกข์ใจและทำลายความหวังทั้งหมดของคุณ ในเช้านี้ข้าพเจ้าขอวิงวอนท่านให้มาที่พระเยซู วางใจในพระองค์และรับการช่วยกู้! ในโลกนี้จะไม่มีความหวังใดๆเลยถ้าปราศจากพระคริสต์ แต่ถ้าคุณมารู้จักกับพระองค์ ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้น คุณก็จะสามารถพูดเหมือนกันกับเหล่าอัครสาวกว่า "ขอบคุณพระเจ้าสำหรับของขวัญนี้." คำขอบคุณที่แท้จริงออกมาจากใจของผู้ที่มีประสบการณ์ในการรักพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนเพื่อไถ่บาปของเรา และเป็นขึ้นมาจากความตายเพื่อให้เรามีชีวิตและมีความหวังว่าจะเอาชนะโลกนี้ กรุณายืนขึ้นและร้องบทเพลงนมัสการบทที่สามนี้ คือเพลงโปรดของคุณแม่ของผม แม้นความทุกข์ลำบากเกิดขึ้นแก่ท่านเมื่อใด (จบการเทศนา) You may email Dr. Hymers at rlhymersjr@sbcglobal.net, (Click Here) – or you may อ่านพระวัจนะก่อนเทศนา โดย ดร. กรีกฟตัน เอล์ ชัน: โคโลสี 3:12-15 |
โครงร่างของ บุคคลที่มักจะลืมขอบคุณ-บทเทศนาเกี่ยวการขอบคุณ (บทเทศนาที่ 65 จากพระธรรมปฐมกาล) โดย ดร. อาร์ เอล์ ไฮเมอรส์ จุเนียร์ “แต่หัวหน้าพนักงานน้ำองุ่นนั้นมิได้ระลึกถึงโยเซฟ กลับลืมเขาเสีย” (2 ทิโมธี 3:1-2) I. หนึ่ง คนมากมายไม่เคยขอบคุณบิดามารดาของพวกเขา อพยพ 20:12; II. สอง หลายๆคนไม่เคยขอบคุณเพื่อนและผู้มีพระคุณ ลูกา 17:17-18;
III. สาม คนมากมายไม่เคยขอบคุณพระเจ้า โรม 1:21; 1 เธสะโลนิเก 5:18; |