บทเทศนาของผมในตอนนี้เป็นการดัดแปลงมาจากบทเทศนาของ โรเบร์ต เมอเรย์ เมคเชน์
(1813-1843) ท่านเสียชีวิตก่อนที่ใกล้จะมีอายุครบสามสิบปี
เมคเชน์มักถูกเชิญให้ไปเทศนาฟื้นฟูที่ประเทศบ้านเกิดของเขาคือสก็อตแลนด์
ท่านคือผู้ที่เชื่อเรื่องเกี่ยวกับก่อนพันปี
โดยเชื่อว่าชาวยิวจะได้รับการฟื้นฟูให้กลับประเทศของพวกเขาพร้อมกับการกลับใจใหม่ในยุคสุดท้าย
ท่านกล่าวว่า “คนอิสราเอลรุ่นใหม่เป็นเหมือนน้ำค้างที่มาจากพระเจ้า” ดูเคน เมเทสัน
กล่าวถึงศิษยาภิบาลหนุ่มคนนี้ว่า “เขาเทศนาออกจากสิ่งที่ถูกจารึกไว้บนหน้าผากของเขา”
ผมอยากจะนำบทเทศนาของเมคเชน์มาแป่งปันให้กับพวกคุณ
และผมก็หวังว่าบทเทศนานี้จะช่วยให้ใครบางคนในพวกท่านได้หวนคิด
ถึงความรักและสันนติสุขของพระเยซูที่มีต่อผู้ที่ “ใจได้แตกสลายและชอกช้ำ” (1813 - 1843)
“เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงรับได้คือจิตใจที่ชอกช้ำ จิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำนั้น
โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะมิได้ทรงดูถูก” (สดุดี 51:17)
คำว่า“เสียใจ” ตามภาษาฮีบรูนั้นหมายถึง “ชอกช้ำ” ดาวิดก็ได้กล่าวถึง “ใจที่แตกสลายและใจที่ชอกช้ำ”
เมคเชน์กล่าวว่าไม่มีบทสดุดีไหนอีกแล้วที่บรรยายได้ลึกซึ้งเกี่ยวกับประสบการณ์แห่งใจที่ได้มีการเสียใ
จและสำนึกผิด: เขาได้ถ่อมตนสำนึกผิดในความบาป (ข้อ 3, 4, 5);
เขาปราถนาที่จะรับการให้อภัยบาปโดยทางพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ (ข้อ 7);
ฟื้นน้ำใจให้หนักแน่นหลังจากที่ถูกชำระให้สะอาด (ข้อ10)
ความปรารถนาของเขาคือต้องการทำบางอย่างให้กับพระเจ้าและเพื่อพระองค์…เขาจะมอบ
(พระเจ้า) ด้วยใจที่แตกสลายและชอกช้ำ (ข้อ 16 และ 17)
ที่ผ่านๆมาผู้คนมักจะฆ่าแกะเพื่อถวายแด่พระเจ้าในวันขอบคุณพระองค์
แต่เขาพูดว่าเขาจะมอบใจที่ถูกฆ่าและแตกสลายให้แก่พระเจ้า
ผมอธิษฐานเพื่อว่าคุณจะมาหาพระเจ้าด้วยเหตุผลเดียวกันนี้
นั่นคือมอบใจที่แตกสลายให้กับพระเจ้าในค่ำคืนนี้
ภายใต้แห่งสนธิสัญญาฉบับใหม่บอกเราว่า “ผู้ใดเกลียดชังพี่น้องของตน ผู้นั้นก็เป็นฆาตกร
และท่านทั้งหลายก็รู้แล้วว่า ไม่มีฆาตกรคนใดที่มีชีวิตนิรันดร์ดำรงอยู่ในเขาเลย” (1 ยอหน์ 3:15)
ดาวิดได้ฆ่าคน ดังนั้นตามความคิดเห็นส่วนตัวของผมถึงการชดใช้อันนี้
อะไรจะเกิดให้กับดาวิดถ้าพิจาณาตามแบบพระคัมภีร์ใหม่ ให้เราดูเนื้อหาของเราเป็นไปตามนี้
“เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงรับได้คือจิตใจที่ชอกช้ำ
จิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำนั้น โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะมิได้ทรงดูถูก”
(สดุดี 51:17)
I. ประการแรก โดยธรรมชาติแล้วใจนั้นไม่แตกสลาย
ไม่มีอะไรที่สามารถทำให้ใจของมนุษย์แตกสลาย
เขาสามารถรับรู้ประสบการณ์เกี่ยวกับความเมตตา การกดขี่ขมเหง
และแม้แต่ความตายก็ไม่สามารถทำให้ใจนั้นแตกสลาย ในสายพระเนตรของพระเจ้า
แล้วใจเป็นสิ่งที่นุ่มนวมและยึดหยุ่น
เราจะเห็นได้ชัดเจนเกี่ยวกับใจที่แข็งกระด้างของฟาโรห์ในพระธรรมอพยพ
การลงโทษครั้งแล้วครั้งเล่าเพราะเหตุที่เขาไม่ยึดถือสัจจะของตัวเอง
เขาปฎิเสธที่จะทำตามคำตักเตือนของโมเสสและอาโรน “ก็กลับมีพระทัยแข็งกระด้าง
ไม่ยอมเชื่อฟังโมเสสและอาโรน เหมือนที่พระเยโฮวาห์ได้ตรัสไว้แล้ว” (อพยพ 8:15)
ถึงแม้ว่าพระเจ้าลงโทษให้บุตรคนแรกของเขาต้องตาย แต่ใจของเขาก็ยังแข็งกระด้าง
เรายังเห็นอีกว่าเศรษฐีที่ตกนรกนั้นก็มีใจที่แข็งกระด้างถึงขั้นที่มีการต่อรองกับอับราฮัม! (ลูกา 16:30)
แม้แต่ความตายและนรกก็ไม่สามารถทำอะไรให้กับใจที่แข็งกระด้างและใจที่ไม่ยอมรับการสั่งสอนของ
เขา! เขาไม่เคยสำนึกในความผิดบาปเลย ชีวิตที่ไม่มีพระเจ้านำพาเขา!
ในขณะที่พระคริสต์ทรงรักษาชายที่มือลีบนั้นพระองค์
“ทรงเสียพระทัยเหตุเพราะใจที่แข็งกระด้างของเขา” (มาระโก 3:5)
ใจของเขาไม่ได้แตกสลายและชอกช้ำถึงแม้ว่าพวกเขาได้เห็นการอัศจรรย์ด้วยตาของเขาเองก็ตาม
อาจารย์เปาโล กล่าวถึงคนที่เกลีดชังความดีของพระเจ้า ว่าเป็นพวกที่มีจิตใจที่แข็งกระด้าง (โรม 2:5)
ธรรมบัญญัติ พระกิตติคุณ พระคุณ การกดขี่ขมเหง ความตาย
และแม้กระทั่งนรกก็ไม่สามารถทำให้จิตใจของผู้ที่ยังไม่กลับใจแตกสลาย!
เพราะใจของพวกนั้นแข็งยิ่งกว่าหิน ไม่มีสิ่งอื่นใดในโลกนี้ที่แข็งเท่ากับใจของคนที่ไม่ยอมกลับใจใหม่
เยเรมีย์กล่าวว่า “เขาได้กระทำให้หน้าของเขากระด้างยิ่งกว่าหิน เขาปฏิเสธไม่ยอมกลับใจ”
(เยเรมีย์ 5:3)
ทำไมใจของคนที่ยังไม่ได้รับความรอดแข็งกระด้างถึงเพียงนี้?
ตามพระคัมภีร์แล้วใจพวกเขาถูกผ้าคลุมปิดบังอยู่
พระคัมภีร์จึงกล่าวว่า“ผ้าคลุมนั้นก็ยังปิดบังใจของเขาไว้” (2 โครินธ์ 3:15)
โดยธรรมชาติแล้วใจจะไม่เชื่อเรื่องเกี่ยวกับพระคัมภีร์ ความเข้มงวดของธรรมบัญญัติ
และก็ไม่เชื่อเรื่องของพระพิโรธที่จะมาถึง การถูกครอบงำ
หรือผ้าคลุมที่ปิดบังนั้นทำให้ตาของพวกเขาไม่สามารถมองเห็นความจริง
อย่างที่สอง ซาตานครอบงำและปิดบังใจของพวกเขาเอาไว้ เขาคือ
“วิญญาณที่ครอบครองอยู่ในบุตรแห่งการไม่เชื่อฟัง” (เอเฟซัส 2:2)
“พญามาร…มาชิงเอาพระวจนะจากใจของเขา เพื่อไม่ให้เขาเชื่อและรอดได้” (ลูกา 8:12)
อย่างที่สาม พวกเขาคือพวกที่ “ตายแล้วโดยการละเมิดและการบาป” (เอเฟซัส 2:1)
จิตวิญญาณที่ตายแล้วไม่สามารถได้ยินพระคำของพระเจ้า
จิตวิญญาณที่ตายแล้วจะไม่รู้สึกถึงบาปที่จะต้องถูกลงโทษ จิตวิญญาณที่ตายแล้วคือ
“ใจ…แห่งความมืดมน” (เอเฟซัส 4:18) “ความรู้สึก” ของพวกเขาจมอยู่กับอดิต (เอเฟซัส 4:19)
อย่างที่สี่ ความมั่นคงที่พวกเขาหวังเอาไว้นั้นมีแต่เรื่องลมๆแล้งๆ
ผู้เผยพระวัจนะอิสยาห์กล่าวว่า “เราได้กระทำพันธสัญญาไว้กับความตาย
และเราทำความตกลงไว้กับนรก เมื่อภัยพิบัติอันท่วมท้นผ่านไป จะไม่มาถึงเรา
เพราะเราทำให้ความเท็จเป็นที่ลี้ภัยของเรา และเราได้กำบังอยู่ในความมุสา” (อิสยาห์ 28:15)
ความหวังของพวกเขาคือเชื่อตามหลักคำสอนในพระคัมภีร์ เช่น การอธิษฐานตามความเป็นจริง
การถวายทรัพย์ให้กับคริสตจักร และการรับบัพติศมา หรือบางสิ่งบางอย่างที่เป็นเพียงการหลอกลวง
การอธิษฐานเช่นขอพระเจ้าช่วยให้หลุดพ้นจากความตายเพราะถูกสาปแช่ง
ใจที่ไม่ยอมแตกสลายนั้นเป็นเพราะว่าคุณยืนอยู่บนฐานแห่งความไม่แน่นอน
และอีกไม่นานมันก็จากสลายไป ดังนั้นการที่คุณจะพบกับความหวังที่แท้จริงคุณต้องเข้ามาหาพระคริสต์
II. ประการที่สอง ใจที่มีอยู่นั้นเป็นแค่แผล แต่ยังไม่แตกสลาย
“เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงรับได้คือจิตใจที่ชอกช้ำ จิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำนั้น
โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะมิได้ทรงดูถูก” (สดุดี 51:17)
ใจที่ตื่นอยู่เสมอนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่นั่นคือใจที่มีแผล ถึงกระนั้นก็ตามแค่นี้มันอาจไม่เพียงพอ
ใจของคุณต้องแตกสลาย ความเชื่อเกี่ยวกับการปลุกใจให้ตื่นคือการเตรียมใจเข้าสู่การแตกสลาย
ความเชื่อเช่นนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไร?
บาดแผลแรกเกิดจากธรรมบัญญัติ ในเวลาที่พระเจ้าช่วยคนๆหนึ่ง
พระองค์ก็จะทำให้คนๆนั้นรู้ถึงบาปของเขาจากการที่เขาได้ทำผิดต่อธรรมบัญญัติ พระคัมภีร์กล่าวว่า
“เพราะว่าคนทั้งหลายซึ่งพึ่งการกระทำตามพระราชบัญญัติก็ถูกสาปแช่ง เพราะมีคำเขียนไว้ว่า
ทุกคนที่มิได้ประพฤติตามทุกข้อความที่เขียนไว้ในหนังสือพระราชบัญญัติก็ต้องถู
กสาปแช่ง” (กาลาเทีย 3:10)
การที่พระวิญญาณของพระเจ้าได้ทรงกระทำให้ใจของคุณเกิดเป็นรอยแผล
นั่นเพื่อให้เห็นว่าความบาปที่อยู่ในชีวิตของคุณ และใจของคุณดูน่าขยะแขยงเหลือเกิน
คนบาปก็จะรับรู้ได้ในทันทีว่าความบาปของเขาได้ต่อต้านความบริสุทธิ์ของพระเจ้า
แล้วเขาก็จะพูดว่า “ข้าพระองค์ได้ทำบาปต่อพระองค์ ต่อพระองค์เท่านั้น
และได้กระทำสิ่งที่ชั่วร้ายในสายพระเนตรพระองค์
ทั้งนี้เพื่อพระองค์จะทรงชอบธรรมในคำตรัสของพระองค์
และกระจ่างแจ้งในการพิพากษาของพระองค์” (สดุดี 51:4)
บาดแผลที่สาม เกิดจากการที่คุณรู้ว่าคุณพยายามนำเอาความสิ้นหวังมาสร้างตัวเองให้ดีขึ้น
ตอนนี้ใจของคุณยังไม่ได้แตกสลาย ใจของคุณได้ลุกขึ้นต่อต้านพระเจ้า
เพราะธรรมบัญญัติของพระองค์นั้นเข้มงวด
และเพราะตัวคุณเองไม่สามารถสร้างความเชื่อให้เกิดขึ้นในพระคริสต์
ด้วยเหตุนี้คุณจึงรู้สึกโกรธพระเจ้า นั่นแสดงว่าใจของคุณยังไมได้แตกสลาย
คุณอาจจะรู้สึกเสียใจให้กับตัวเองและผิดหวังการที่พระเจ้าไม่ช่วยอะไรคุณเลย
เรียนรู้ได้ว่าสิ่งหนึ่งคือใช้ในการตักสินลงโทษ และอีกสิ่งหนึ่งเพื่อช่วยให้รอด
อย่ายึดมั่นอยู่ในบาป! ถึงตอนนี้คุณก็ยังไม่ได้กลับใจ
III. ประการที่สาม ตามความเชื่อแล้วใจที่แตกสายนั้นแยกออกเป็นสองทาง
ทางแรก ใจของคุณจะแตกสลายออกจากความชอบธรรมของตนเอง
เมื่อพระวิญญาณของพระเจ้านำคุณมาถึงที่พระคริสต์ผู้ถูกตึงบนไม้กางเขน
ใจของคุณจะแตกออกจากทางที่คุณพยายามแสวงหาความรอดด้วยตัวเอง
หลังจากนั้นคุณจะรับรู้ได้ว่ามีทางเดียวที่ช่วยคุณให้รอดนั่นคือพระเยซู คุณก็จะพูดเช่นเดียวกับ ดาวิด
เบรนเนอร์ด ว่า “ทำไมฉันจึงไม่คิดเลยว่ายังมีทางรอดอื่นอีก”
ในเวลานั้นดูเหมือนว่าพระคุณของพระเยซูช่างประเสริฐเหลือเกิน
ใจของคุณได้แตกสลายเช่นนี้ด้วยหรือเปล่า
– แตกสลายเพราะคุณคิดว่าพระเยซูทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขาเพราะบาปของคุณ
และประทานความชอบธรรมของพระองค์ให้คุณ?
คุณจะไม่มองไปที่หลักประกันแห่งความรอดอื่นอีกต่อไป
บัดนี้คุณจะมองไปที่พระเยซูคริสต์ผู้เดียวเท่านั้น
นั่นคือมองดูที่ใจของพระเยซูที่กอรปด้วยรักซึ่งทำให้ใจเรานั้นแตกออกจากความชอบธรรมของเราเองม
าที่พระองค์ โอ้ จงอธิษฐานให้กับใจที่แตกสลายนั้น! เพื่อใจที่หยิ่งผยองนั้นจะถูกแยกออกไป
และคุณก็จะพูดว่า “พระเมษโปดกผู้ทรงถูกปลงพระชนม์แล้วนั้น” เพื่อตัวฉันเอง! (วิวรณ์ 5:12)
พระเจ้ายังทรงเรียกอยู่ ฉันไม่อาจหยุดได้;
ใจของฉันยอมจำนนอย่างไม่รีรอ;
โลกที่บดบัง พ้นออกไป! นั่นคืออดิตของฉัน;
เมื่อเสียงของพระเจ้าเข้ามาประชิดหัวใจของฉัน!
(“God Calling Yet” by Gerhard Tersteegen, 1697-1769;
แปลโดย Jane L. Borthwick, 1813-1897).
ทางที่สอง ตอนที่คุณเข้ามาไว้วางใจในพระคริสต์อย่างจริงจัง
ใจของคุณจะแตกออกจากการรักในบาป คุณก็จะเกลียดความบาป
เกลียดเพราะมันทำให้คุณแยกออกจากพระเจ้า
คุณเกลียดความบาปเพราะมันทำให้พระเยซูถูกตรึงที่กางเขน
ทำให้จิตวิญญาณของพระองค์ต้องเป็นทุกข์จนกระทั่งเหงื่อหลายออกเป็นเลือดและทรงสิ้นพระชนม์
คุณเกลียดความบาปเพราะมันไม่สามารถนำอะไรดีมาสู่ชีวิตของคุณนอกจากความทุกข์
การกระทำบาปนี้ทำให้คุณร้องไห้คร่ำครวญ เพราะมันต่อต้านความรักของพระเยซูคริสต์
IV. ประการที่สี่ ข้อได้เปรียบของใจที่แตกสลาย
“เครื่องบูชาที่พระเจ้าทรงรับได้คือจิตใจที่ชอกช้ำ
จิตใจที่สำนึกผิดและชอกช้ำนั้น โอ ข้าแต่พระเจ้า พระองค์จะมิได้ทรงดูถูก”
(สดุดี 51:17)
ใจที่แตกสลายจะยับยั้งไม่ให้ต่อต้านพระคำของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องของกางเขน
แต่ใจของผู้ที่ยังไม่กลับใจใหม่นั้นจะต่อต้านพระคำของพระเจ้านี้ หลายๆคนเกลียดที่จะฟัง
หลายๆคนยังคิดว่ามันไร้สาระและเป็นเรื่องโง่ๆ
มีบางคนที่ละทิ้งคริสตจักรเพราะใจที่ต่อต้านไม่ยอมฟังพระคำของพระเจ้าเกี่ยวกับเรื่องแห่งความรอดบ
นไม้กางเขน พระคัมภีร์จึงกล่าวว่า
“คนทั้งหลายที่กำลังจะพินาศก็เห็นว่าการประกาศเรื่องกางเขนเป็นเรื่องโง่
ต่พวกเราที่รอดเห็นว่าเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้า” ( 1 โครินธ์ 1:18)
พระคัมภีร์อีกตอนยังกล่าวไว้ว่า
“เพราะว่ามีคนหลายคนที่ประพฤติตัวเป็นศัตรูต่อกางเขนของพระคริสต์”
(ฟีลิปปี 3:18)
แต่ใจที่ได้แตกสลายแล้วนั้นจะไม่ต่อต้านพระคำของพระเจ้าแห่งไม้กางเขน
ใจที่แตกสลายสามารถได้ยินเรื่องราวแห่งความชอบธรรมตลอดไปโดยที่ไม่ต้องทำอะไรเลย
เพราะพระคริสต์ทรงกระทำแทนบนไม้กางเขนโดยการสิ้นพระชนม์ที่นั่น!
ใจที่แตกสลายรักที่จะเห็นคนละทิ้งความสกปรกและยืนหยัดอยู่บนรากฐานแห่งความชอบธรรม!
ใจที่แตกสลายนั้นเข้ามาพักฟื้นอยู่ในพระคริสต์
ส่วนใจของคนที่ไม่ยอมกลับใจใหม่จะไม่สามารถเข้ามาพักได้
“แต่คนชั่วนั้นเหมือนทะเลที่กำเริบ เพราะมันนิ่งอยู่ไม่ได้
และน้ำของมันก็กวนตมและเลนขึ้นมา” (อิสยาห์ 57:20)
ใจที่ตื่นอยู่นั้นไม่ใช่เรื่องของการพักฟิ้น
ความเศร้าโศกและการทนทุกข์ทรมาณคือใจของคนที่เชื่อเรื่องของความบาป
แต่ปฏิเสธที่จะเชื่อและวางใจในพระคริสต์ ใจที่แตกสลายอย่างแท้จริงนั้นคือการเข้ามาหาพระคริสต์
และความชอบธรรมของพระองค์นั้นได้ขจัดทุกความกลัวออกไป ในความรักของพระคริสต์
“ขจัดความกลัวออกไป” (1ยอห์น 4:18) ใจที่แตกสายนั้นพึงพอใจที่จะอยู่กับพระเยซู
เพราะพระองค์คือทุกๆอย่างที่พวกเขาต้องการ คุณพอใจที่จะอยู่กับพระเยซูหรือเปล่า?
ใจของคุณได้แตกสลายพร้อมที่จะมาหาพระองค์และวางใจในพระองค์หรือยัง?
หรือว่ายังยากสำหรับคุณที่จะเรียนรู้และวางใจในพระองค์?
ผมอธิษฐานเพื่อว่าคุณจะที้งอุปสรรค์เหล่านั้นและมาไว้วางใจในพระคริสต์
และในพระองค์ผู้เดียวเท่านั้น! กรุณายืนขึ้นและเปิดเพลงบทที่แปดแล้วร้องด้วยกัน
กรุณายืนขิ้นและร้องเพลงนมัสการนี้ด้วยกัน ถ้าคุณยังไม่ได้รับความรอด
และถ้าอยากจะคุยกับ ดร. คาเกนและผมเกี่ยวกับเรื่องนี้
ในขณะที่เรากำลังร้องเพลงนี้กรุณาลุกออกจากที่นั่งของท่านเดินไปข้างหลังห้องนมัสการนี้
หลังจากนั้นเราจะพาคุณไปอีกห้องหนึ่งเพื่อให้คำปรึกษาและอธิษฐานเผื่อ
มาเถิดท่านผู้เหน็ดเหนื่อยและแบกภาระหนัก
ใจที่ชอกช้ำและแตกสลายเพราะการล้มลง
ถ้าคุณจะรอวันที่คุณดีกว่านี้
จะไม่มีวันที่คุณสามารถมาได้
ไม่ใช่คนชอบธรรมไม่ใช่คนชอบธรรม
พระเยซูเสด็จมาเพื่อเรียกคนบาป
ไม่ใช่คนชอบธรรมไม่ใช่คนชอบธรรม
พระเยซูเสด็จมาเพื่อเรียกคนบาป
(“Come, Ye Sinners” โดย Joseph Hart, 1712-1768).
(จบการเทศนา)
คุณสามารถอ่านบทเทศนาของ ดร. ฮิวเมอร์ ได้ในแต่ละอาทิตย์ทางอินเตอร์เนทได้ที่ www.realconversion.com. (กดที่นี่) “บทเทศนาในภาษาไทย”
You may email Dr. Hymers at rlhymersjr@sbcglobal.net, (Click Here) – or you may
write to him at P.O. Box 15308, Los Angeles, CA 90015. Or phone him at (818)352-0452.
อ่านพระคัมภีร์ก่อนเทศนา โดย ดร. กรีฟตัน เอล์ ชาลล์: สดุดี 34:15-18
ร้องเพลงเดี่ยวโดย มร. เบนจามิน คินเคดกรีฟท์:
“พระเจ้าทรงเรียก” (โดย เกอฮาร์ด เทอสทินเจน 1697-1769)
|